ในเมื่อตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมาก สงสัยจริงว่าจะคลายผนึกแหวนคลังเวทได้หรือยัง หวังเป่าเล่อทดสอบพลังของตนเอง พลังที่เขาสัมผัสได้สร้างความพึงพอใจและเสริมให้รู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น ชายหนุ่มโบกมือเรียกแหวนคลังเวทที่ได้มาจากผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นออกมา จากนั้นก็ถือไว้ในระดับสายตาและขยายสัมผัสวิญญาณไปโอบล้อมแหวนคลังเวทไว้โดยสมบูรณ์
“คลายออก!” หวังเป่าเล่อร้องคำรามพร้อมปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณทั้งหมดลงบนแหวนคลังเวท ทว่า…แหวนคลังเวทเป็นดังหินแกร่ง ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามใช้สัมผัสวิญญาณบดขยี้อย่างไรมันก็ยังไม่ไหวติงต่อแรงปะทะ
“ทลาย!”
“ปลดผนึก!”
เขาตะโกนต่อไปไม่หยุดพร้อมเสริมพลังสัมผัสวิญญาณให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ถึงกับใช้พลังจากเกราะมหาจักรพรรดิเข้ามาช่วย แต่ช่างน่าขายหน้ายิ่งนักเพราะทำอะไรแหวนไม่ได้เลย โชคดีที่ไม่มีใครเห็นความน่าขายหน้าครั้งนี้ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอแห้งๆ จากนั้นก็เก็บแหวนที่ทำอะไรกับมันไม่ได้ไปอย่างเงียบเชียบ
“วันนี้สภาพร่างกายไม่เข้าที ค่อยลองใหม่วันหลังแล้วกัน” หวังเป่าเล่อบ่นพึมพำ จากนั้นก็ขยับตัวเล็กน้อย เกราะมหาจักรพรรดิบนร่างกายพลันเลือนรางและจางหายไป พลังของหวังเป่าเล่อลดจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นไปเป็นขั้นแสร้งอมตะ จากนั้นเขาก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมอย่างรื่นเริง
ได้เวลาตามหาเซี่ยไห่หยางแล้ว พอได้ของที่ต้องการ ข้าจะกลับระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อลูบหน้าท้องแบนราบของตนเองอย่างสุขใจ เขาบุ้ยปากและถอนหายใจให้กับน้ำหนักที่ลดลง จากนั้นก็เสกน้ำเย็นหล่อวิญญาณขึ้นมาด้วยเคล็ดวิชาสารัตถะ…และยกขึ้นดื่มขณะเดินไปร้านของเซี่ยไห่หยาง…
ไม่นานชายหนุ่มก็เห็นร้านของเซี่ยไห่หยางอยู่ไม่ไกล มันเป็นร้านที่สร้างขึ้นมาเหมือนตำหนัก ดูร่ำรวยโดดเด่นกว่าร้านอื่นๆ ในตลาด ร้านไหนๆ ก็ไม่สามารถเทียบชั้นความมั่งคั่งนี้ได้ เป็นร้านที่เหนือชั้นกว่าร้านรวงทั้งหมด มีผู้ฝึกตนเดินเข้าออกกันขวักไขว่ แม้ไม่ได้แน่นขนัดจนไม่มีพื้นที่ให้หายใจ แต่ก็มีคนหนาตาอยู่เนืองๆ
นั่นคือภาพที่หวังเป่าเล่อเห็นเมื่อเดินเข้ามาในร้าน ผู้คนเต็มร้าน พนักงานวิ่งบริการมือเป็นระวิง แม้จะมีคนอยู่มากมาย แต่ก็มีคนสังเกตเห็นการมาของชายหนุ่ม
คนที่สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อคือพนักงานที่ดูแลเขารอบที่แล้ว ดวงตาของอีกฝ่ายเป็นประกายเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ รีบถอยออกจากลูกค้าที่ดูแลอยู่และพุ่งไปกุมหมัดทักทายชายหนุ่มทันที
“มาแล้วหรือ ท่านศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่ นายน้อยของเราบอกว่าให้ท่านขึ้นไปชั้นสองได้ตามสะดวก” พนักงานคนนั้นรีบมาต้อนรับหวังเป่าเล่อทันทีที่เขาเข้ามาในร้าน ชายหนุ่มรู้สึกพอใจกับท่าทีของพนักงานคนนี้ เขากระแอมกระไอ จากนั้นก็หยิบศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดก้อนหนึ่งออกมาท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของฝูงชนและโยนให้พนักงานคนนั้นเป็นรางวัล
พนักงานดูปลาบปลื้มอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรับศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดไป เขานำทางหวังเป่าเล่อไปยังบันไดด้วยแววตาเป็นประกาย หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าตนเองได้รับการดูแลแตกต่างจากคนอื่น ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแววตาเคารพยำเกรงที่มองมาจากฝูงชน จึงได้แต่แอบถอนหายใจ
ชีวิตคนรวยนี่เป็นเช่นนี้นี่เอง ช่างเรียบง่ายและเถรตรง หวังเป่าเล่อส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไป เขาไม่พบเซี่ยไห่หยางตอนขึ้นไปถึงชั้นสอง ไม่มีใครสักคน ขณะที่กำลังหันมองรอบๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากทางด้านหลัง
“พี่เป่าเล่อ ไม่เจอกันนาน เป็นเช่นไรบ้าง”
หวังเป่าเล่อกะพริบตาเมื่อได้ยินเช่นนั้นและแสร้งทำเป็นชะงักไปชั่วครู่ หลังจากนั้นก็รีบหันกลับไป ใบหน้าผุดรอยยิ้มยินดีเมื่อพบเซี่ยไห่หยาง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“น้องไห่หยาง เราเพิ่งพบกันไปเอง”
“พี่เป่าเล่อ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสร้างผลงานยอดเยี่ยมในการปฏิบัติภารกิจ ช่างมีฝีมือเสียจริง” เซี่ยไห่หยางเอ่ยชมหวังเป่าเล่อขณะที่ทั้งสองนั่งลง เซี่ยไห่หยางมองหวังเป่าเล่อสักพักและสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีตอบสนองกับสิ่งที่ตนเพิ่งพูด ไม่มีแม้แต่แววงุนงงบนใบหน้า เซี่ยไห่หยางพึมพำอะไรบางอย่างกับตนเอง จากนั้นก็กระแอมกระไออย่างกระอักกระอ่วน
“เจ้าคือชายหน้ากากหมูใช่ไหม”
“หน้ากากหมูหรือ” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ถึงท่าทีจะดูเกินพอดีก็ไม่เป็นไร เขาจะไม่ยอมรับสิ่งที่ไม่ควรต้องยอมรับ ถึงจะต้องมอบผลึกสีชาดจำนวนมากให้เซี่ยไห่หยางทีหลังและเผยไต๋ว่าที่ทำไปเมื่อครู่คือแสร้งทำ แต่นั่นก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“เป่าเล่อ เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว แล้วแต่เจ้าเถอะ เจ้าไม่ใช่ชายหน้ากากหมูก็ไม่สำคัญอะไร ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าตอนนี้เขาดังใหญ่แล้ว สร้างความแค้นเคืองให้ตระกูลไม่รู้สิ้น พวกนั้นจะทำทุกอย่างเพื่อสืบให้รู้ว่าชายคนนั้นคือใคร คนเดียวที่รู้คือปรมาจารย์แห่งไฟ แต่เขาลบหลักฐานทุกอย่างที่จะสาวไปถึงตัวชายหน้ากากหมูทิ้งไปหมด นอกจากปรมาจารย์แห่งไฟแล้วก็ไม่มีใครในจักรวาลนี้รู้ว่าชายหน้ากากหมูคือใครแน่นอน”
ตอนที่พูดเซี่ยไห่หยางตั้งใจเน้นคำว่า ‘แน่นอน’ จากนั้นก็เผยยิ้มให้หวังเป่าเล่อ ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบขึ้นเล็กน้อย เขารู้ว่าเซี่ยไห่หยางพยายามบอกใบ้อะไรบางอย่าง ชายหนุ่มยิ้มตอบ เซี่ยไห่หยางยังประสบการณ์น้อยเกินไป ไม่รู้หลักสำคัญของการนิ่งเงียบแม้จะมองการกระทำออกหมดจด
ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหนือชั้นกว่า เขานึกถึงอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงและบทเรียนอันทรงคุณค่ามากมายที่ได้เรียนรู้มา
ดวงตาเซี่ยไห่หยางแฝงไปด้วยแววความลุ่มลึก แต่เขาไม่ได้เก็บอาการได้อย่างท่าทีที่แสดงออก จริงๆ แล้วยังตื่นตกใจอยู่ การกระทำของชายหน้ากากหมูนั้นเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงเกินบรรยาย ชายหน้ากากหมูไม่ได้แค่ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเท่านั้น แต่ยังเกือบปลิดชีพผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ อีกทั้งยังทำให้ดาวเคราะห์ทั้งดวงล่มสลาย
ไม่มีใครกล้าสู้กับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์หรือผู้ฝึกตนในระดับที่เหนือกว่าตนเอง ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่ร่วมภารกิจอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่งอยู่เบื้องหลังความโกลาหลมากมายในภารกิจ เขาน่าจะสร้างความวิบัติใหญ่โตขึ้นอีกเมื่อบรรลุขั้นการฝึกตนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ต้องเป็นหวังเป่าเล่อแน่ เขาเป็นคนเดียวที่จะทำเช่นนี้ได้โดยที่ข้าไม่แปลกใจ เขาเป็นหายนะที่เคลื่อนที่ได้ ไปดาวอังคาร ดาวอังคารก็วุ่นวายไปหมด ไปกระบี่สำริดเขียวโบราณ สำนักวังเต๋าไพศาลก็เกิดกบฏแทบจะทันที… เซี่ยไห่หยางถอนหายใจเงียบๆ ถึงกระนั้นก็ยังแอบตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย
เซี่ยไห่หยางเป็นนักธุรกิจที่ชอบเสี่ยงดวงกับผู้คน ยิ่งทำสิ่งใดแล้วผลงานดีเท่าไหร่ เซี่ยไห่หยางก็ยิ่งชอบคนผู้นั้นมากขึ้นเท่านั้น เขาชอบทุ่มเวลากับความพยายามไปกับลูกค้าเช่นนี้ ดวงตาของเซี่ยไห่หยางฉายแสงวาบขณะโน้มไปกระซิบกับหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ ข้าได้ข้อมูลยิ่งใหญ่มา เจ้าสนใจซื้อไหม ข้าสัญญาว่าข้อมูลนี้จะทำให้เจ้าบรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ในเวลาที่สั้นที่สุดถ้าเจ้าคว้าโอกาสนี้ไว้และใช้มันให้ดี!”
“ข้อมูลอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อมองประเมินเซี่ยไห่หยาง แม้เซี่ยไห่หยางจะไม่ได้ฉลาดเท่าเขา แต่ชายหนุ่มก็เชื่อมั่นในความสามารถของอีกฝ่ายจึงเอ่ยถามราคาไป
“ผลึกสีชาดสามพันก้อน!” เซี่ยไห่หยางตอบในทันที เขากำลังจะอธิบายต่อว่าข้อมูลนี้คุ้มราคาอย่างไร แต่หวังเป่าเล่อที่จ้องมากลับยักไหล่ให้
“มาคุยกันเรื่องวัตถุดิบที่ข้าเคยขอไปดีกว่า”
“เป่าเล่อ ถ้าเจ้าได้ข้อมูลนี้ไป เจ้า…” เซี่ยไห่หยางพยายามโน้มน้าวหวังเป่าเล่อ
“มากเกินไป ข้าไม่สนใจ!” หวังเป่าเล่อขัดเซี่ยไห่หยางขณะแอบแค่นเสียงไม่พอใจ นี่มันเหมือนกับขโมยกันโต้งๆ ชัดๆ วัตถุดิบที่เขาพยายามหาอย่างหนักราคาเพียงสามร้อยผลึก เซี่ยไห่หยางรู้ว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อรวยแล้วจึงกล้าเรียกสามพันผลึกเพื่อแลกกับข้อมูลโง่ๆ นี้
เซี่ยไห่หยางรู้ว่าหวังเป่าเล่อได้ตัดสินใจไปแล้ว จึงรู้สึกเสียดายที่ตนรีบร้อนเกินไป เขากระแอมกระไอและหยุดเสนอขายข้อมูล จากนั้นก็หยิบวัตถุดิบที่หวังเป่าเล่อขอให้จัดหาเอาไว้และตกลงกันเรื่องการจ่ายเงิน หลังจากเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็สนทนากันต่ออีกสักพักก่อนที่หวังเป่าเล่อจะบอกว่าเขาต้องการวัตถุดิบเพิ่ม
“บอกมาเลยว่าต้องการอะไร พี่เป่าเล่อ ร้านข้ามีเกือบทุกอย่าง ข้าสั่งให้วัตถุดิบมาส่งที่ร้านได้ถ้าเราไม่มีของ น่าจะใช้เวลามากสุดไม่เกินสองชั่วโมง เจ้าจะได้ของภายในสองชั่วโมง”
หวังเป่าเล่อหยิบรายการของที่ต้องการออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยไห่หยางรับรายการไปและจัดการตระเตรียมตามรายการ เขาหาทุกอย่างที่หวังเป่าเล่อต้องการได้ภายในหนึ่งชั่วโมง รวมทั้งหมดต้องจ่ายผลึกสีชาดสองพันผลึก หวังเป่าเล่อรู้สึกเจ็บปวดใจ เชื่อว่าเซี่ยไห่หยางต้องโก่งราคาขึ้นแน่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าต้องไปซื้อวัตถุดิบพวกนี้ที่อื่น จะต้องตกเป็นเป้าความสนใจจากการใช้ผลึกสีชาดจำนวนมากในครั้งเดียวแน่ หวังเป่าเล่อกล่าวอะไรกับอีกฝ่ายเล็กน้อย จากนั้นก็กลับออกไป
เซี่ยไห่หยางค่อยๆ ผุดยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขณะมองหวังเป่าเล่อเดินออกจากร้านไป จากนั้นก็เริ่มหัวเราะ
ปฏิเสธเป็นศิษย์ปรมาจารย์แห่งไฟ หวังเป่าเล่อ…เหมือนว่าข้าจะต้องศึกษาภูมิหลังของเจ้าเพิ่มเสียแล้ว…
หวังเป่าเล่อไม่ได้หันหลังกลับมาขณะเดินไปตามทาง หากชายหนุ่มหันกลับมา เขากลัวว่าจะเห็นเซี่ยไห่หยางยืนอยู่ในร้านและจ้องมาที่ตน แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนัก ชายหนุ่มเดินอย่างไร้กังวลไปตามถนน เริ่มออกสำรวจตลาด อยากรู้ว่ามีอะไรน่าสนใจหรือเป็นประโยชน์ที่จะหาได้จากตลาดก่อนที่กลับออกไปหรือไม่
ชายหนุ่มเดินผ่านตลาด ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไม่มีอะไรที่ต้องการ ขณะเดินกลับออกไป สายตาก็พลันเหลือบไปเห็น…หุ่นเชิดตัวหนึ่งวางอยู่ในร้าน!
รูปลักษณ์ของหุ่นเชิดทำให้หวังเป่าเล่อนึกถึงวานรเพชรที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาชะงักและเดินตรงไปยังร้าน
“นี่มัน…”
“นี่คือเรือบินรบเวทที่พังเสียหาย วัตถุดิบที่ต้องใช้ซ่อมแซมนั้นหายากเกินไปจึงถูกนำมาทิ้งเป็นขยะ สหายเต๋า เจ้าสนใจซื้อไปใช้ศึกษาค้นคว้าดูหรือไม่” ร้านที่ว่านี้เป็นร้านเล็กๆ มีเจ้าของร้านเฝ้าอยู่คนเดียว ไม่มีพนักงานอื่นใด ชายชราที่นั่งอยู่ในร้านสังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อมองหุ่นเชิดอยู่เลยเสนอขายอย่างไม่กระตือรือร้นอะไร
…………………………….