หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 948 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน!

แทบเป็นชั่วอึดใจเดียวกับที่หวังเป่าเล่อเอ่ยปาก สายฟ้าที่อยู่รายรอบก็ราวกับฟังคำเขารู้เรื่อง สามารถสัมผัสได้ถึงพลังจิตของเขา มันฟาดลงมาดังกึกก้องและขยายตัวออกไป แม้ไม่ได้ขยายตัวเป็นวงกว้างนัก เพียงออกไปอีกร้อยกว่าจั้งเท่านั้น ทว่ามันกลับรวมตัวกันจนกลายเป็นอสุนีบาตหมุนเกลียวดั่งน้ำวน

แกนกลางอสุนีบาตนี้มืดดำเหลือคณา คล้ายเป็นหลุมลึกอยู่ภายใน ทั้งมีแรงดูดแสนอัศจรรย์ออกมาจากในนั้นด้วย แรงดูดนี้ไม่มีผลใดต่อเหล่าผู้ฝึกตน แต่คล้ายว่ามีผลอย่างยิ่งยวดต่อวัตถุเวท!

ด้วยเหตุนี้เองในชั่วพริบตาที่เกลียวอสุนีบาตปรากฏขึ้น…ไม่ทันให้แม่นางกระพรวนตั้งตัว ไม้กลองตรงหน้าที่เพิ่งจะหลอมเสร็จก็เกิดสั่นสะเทือนอย่างแรง มันแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ภาพของมันก็เลือนรางลง จนหายวับไปกับตา!

หากจะพูดให้ถูกก็คือมีหลุดดำที่มองไม่เห็นหลุมหนึ่งปรากฏขึ้นรอบวัตถุเวทนั้น แล้วดูดกลืนไม้กลองลงไปทันใด เพียงพริบตาหลังจากนั้น…ไม้กลองที่เปล่งรัศมีสว่างจ้า ทั้งมีหน้าตาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!

ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วจุดประกายจากหินไฟเท่านั้น อย่าว่าแต่แม่นางกระพรวนจะตั้งตัวไม่ทันเลย แม้แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองที่แม้จะเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ก็ยังคงต้องใจเต้นตูมตามเมื่อได้เห็นภาพแสนอัศจรรย์นี้ ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน ไม้กลองที่เพิ่งหลอมเสร็จพร้อมกันในเวลานี้ หาได้ถูกหวังเป่าเล่อฉกชิงเอาไปเพียงหนึ่ง แต่มีถึง…สามไม้!

ในเวลาเดียวกับที่ไม้กลองของแม่นางกระพรวนหลอมสำเร็จ ไม้กลองในภูผาใหญ่ที่ชายหนุ่มผู้สง่างาม มหาศิษย์แห่งเต๋าจากสำนักที่หนึ่งแห่งเต๋าฝ่ายซ้ายจับจองอยู่ก็หลอมเสร็จเช่นกัน ในขณะที่มันกำลังเปล่งรัศมีเจิดจ้า ไม้กลองของหญิงสวมหน้ากากก็กำลังทอรัศมีจับตาเช่นเดียวกัน

ไม้กลองทั้งสามไม้หลอมสำเร็จแทบจะในเวลาเดียวกัน ในขณะที่กำลังเป็นที่ดูดดึงความสนใจของทุกคน ทั้งที่เดิมทีไม่ควรจะทำให้เกิดผลกระทบใดมากมายนัก อย่างมากก็เพียงทำให้แต่ละคนยิ่งพยายามมากขึ้นเท่านั้น แต่ยามนี้…หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ กลับเกิดความแตกตื่นความโกลาหลขนานใหญ่

“นี่มันเรื่องใดกัน!”

“ไม้กลองถูกชิงรึไป?!”

“เซี่ยต้าลู่ชิงเอาไม้กลองของอินหลิงไป!!”

ระหว่างที่เสียงกำลังก้องสะท้อนไปมา ที่ที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนขึ้นมาในทันใด นอกจากชายหนุ่มชุดดำสีหน้าเย็นชาที่สะพายกระบี่เล่มโตที่หลังที่ไม่ได้มองไปทางนั้นแล้ว ทุกคนล้วนกวาดสายตาไปที่เขา

เมื่อถูกคนเหล่านี้เพ็งสายตามา หวังเป่าเล่อก็ยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ เพราะเขาคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้เสียแล้ว กลับกันเขาได้ยินคนเอ่ยนามของแม่นางกระพรวนเป็นคราแรก และรู้สึกว่าไม่ใคร่เสนาะหูนัก

“สวี่อินหลิง? ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นผู้เลิศเลออันใด ชื่อก็ไม่ไพเราะเอาเสียเลย” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ สีหน้าเขาแสดงความพึงพอใจ พลางยกมือขวาขึ้นคว้า ทันใดนั้นเองไม้กลองที่หลอมสำเร็จและปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ตรงปรี่เข้าใส่มือเขา

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อรับไม้กลองไว้ได้ แม่นางกระพรวนที่อยู่บนภูผาใหญ่ห่างออกไปก็เพิ่งจะได้สติจากอาการตกตะลึงและงงงัน สีหน้านางหม่นคล้ำขึ้นมาทันตา ดวงตาเต็มไปด้วยไฟโทสะ ทั้งตัวสั่นสะท้าน ก่อนจะค่อยๆ แสยะยิ้มขึ้นมา

“เซี่ยต้าลู่ เจ้ามันรนหาที่ตายเอง!!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรงเป็นที่สุด ขณะที่เอ่ยคำออกมา ร่างก็ของแม่นางกระพรวนก็พุ่งออกไปเต็มแรง ประหนึ่งกระบี่คมทะลวงแทงอากาศ ยามนางแผดเสียงพลังปราณก็ปะทุขึ้นทั่วตัว

สองมือของแม่นางกระพรวนกวัดแกว่งหมัด และแผดเสียงไปทั่วสี่ทิศ บังเกิดเป็นวงคลื่นเสียงถาโถมดังทะเลคลั่งออกมาจากรอบกายนางระลอกแล้วระลอกเล่า ยามนางผนึกฝ่ามือก็พลันเกิดมโนภาพของปลามังกรยักษ์ มันใช้คลื่นเสียงเป็นดังทะเล ยามโบกหางแหวกว่ายราวกับสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งจนย่อยยับได้ มันพุ่งตัวตามแม่นางกระพรวนไปยังสระอัสนีที่หวังเป่าเล่ออยู่!

ยามนี้ แม่นางกระพรวนมีเพียงความคิดหนึ่งเดียวในใจ นั่นก็คือ… ไปสับเซี่ยต้าลู่ ไอ้เจ้าคนน่ารังเกียจจนถึงขีดสุด จงเกลียดจงชังจนไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า แล้วเอาไม้กลองกลับคืนมา

ความคิดนี้รุนแรงแข็งกร้าวกว่าสิ่งใดๆ ภายในใจของนางแล้ว

ชั่วชีวิตนางไม่เคยต้องพลาดท่าให้ผู้ใดเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกที่สิ่งของที่ตนเองสร้างมาอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกชิงเอาไปในชั่ววินาทีที่มันสร้างเสร็จนั้น ทำเอานางแทบคลั่ง ด้วยความทะนงตนของนาง ฐานะของนาง ตลอดจนทุกสิ่งที่นางเป็น ทำให้นางไม่อาจทนรับความอัปยศนี้ได้ ยามนี้แววพิฆาตระเบิดอยู่ในดวงตา ร่างนางเคลื่อนไปด้วยความเร็วที่น่าตื่นตกใจ จนหายวับไประหว่างทางที่ตรงไปยังหวังเป่าเล่อ แล้วไปปรากฏตัวอีกครั้งที่นอกสระอัสนีที่เขาอยู่

ด้วยโทสะถาโถมเข้าสู่สมอง แม่นางกระพรวนไม่ได้ยั้งกายแต่อย่างใด รุกเข้าไปจนถึงกลางสระอัสนี ด้วยหวังจะข้ามไปสังหารหวังเป่าเล่อให้จงได้

แม้แต่ทาสศึกสองสามคนที่นางหาเอาไว้อย่างลับๆ ในที่แห่งนี้ ก็ยังพากันขบฟันและเร่งตามมาสำทับกำลังกับนางภายในเวลาเพียงพริบตาเดียว แต่ไม่ทันรอให้พวกเขาเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น แล้วแม่นางกระพรวนที่พุ่งตัวเข้าไปในสระอัสนีก็ต้องกระเด็นกลับออกมาในความเร็วที่เท่ากัน

ร่างของนางสะบักสะบอมเอาการ ผมบางส่วนไหม้เกรียม ยามนางกระเด็นออกมานั้นยังมีสายฟ้าจำนวนไม่น้อยที่คำรามไล่ตามมา แม้ในที่สุดนางจะถอยออกมาพ้นสระอัสนีและสายฟ้าเหล่านี้ก็สลายตัวไป แต่ภัยมหันต์ที่พวกมันก่อขึ้นก็ยังทำให้แม่นางกระพรวนที่แม้ว่าจะกำลังโกรธหนักสงบลงบ้าง

แต่บางเรื่อง ก็ใช่ว่าอยากจะสงบก็สามารถสงบลงได้ เมื่อเห็นว่าแม่นางกระพรวนไม่อาจผ่าเข้ามาได้ หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ ณ ใจกลางของสระอัสนี ควงไม้กลองในมือเล่นไปพลาง เงยหน้าขึ้นมองแม่นางกระพรวนไปพลาง แล้วลูบใต้คางไปหนหนึ่ง

“ไยไม่เข้ามาเล่า? เจ้าเข้ามาสิ!”

“เซี่ยต้าลู่!!” ไฟโทสะในดวงตาของแม่นางกระพรวนพลันลุกโชน ทั้งไอสังหารในใจก็รุนแรงพอกัน อารมณ์ที่เดิมทีกำลังจะสงบลง แต่แล้วก็กลับโถมกระหน่ำขึ้นมาอีกคราตามวาจาของหวังเป่าเล่อ แต่นางกลับจนปัญญาเป็นที่สุด เพราะหลังจากนางทดสอบดูก็ได้รู้แล้วว่าต่อให้ตนเข้าแลกด้วยพละกำลังทั้งหมด ก็ยากเกินจะเข้าไปยังใจกลางของสระอัสนีที่อีกฝ่ายอยู่ได้

มหัตภัยของสระอัสนีแห่งนี้อยู่ในระดับเหนือธรรมดา ราวกับพลังของฟ้าดินทั่วสารทิศมาหลอมรวมกัน การไปต่อกรกับมันก็ประหนึ่งต่อกรกับทั้งโลก นางจึงขบฟันแน่น จำขืนใจตนสะกดคำที่กำลังจะออกจากปากเอาไว้ หลังจากจดจ้องไปยังหวังเป่าเล่อด้วยสายตาดั่งมองคนตายคราวหนึ่ง นางก็หันหลังขวับแล้วพุ่งตัวไปยัง… ภูผาใหญ่ลูกหนึ่งที่มีไม้กลองหลอมได้เจ็ดในสิบส่วนแล้ว

เมื่อผู้ฝึกตนสามคนที่อยู่บนภูผาใหญ่ลูกนี้มาแต่เดิมเห็นดังนี้ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด หนึ่งในนั้นกำลังจะเอ่ยคำ แต่ยังไม่ทันออกปาก สิ่งที่ตอบกลับมาหาก็คือการจู่โจมจากแม่นางกระพรวนที่กำลังอยู่ในเพลิงโทสะ

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น คลื่นเสียงลูกยักษ์ระเบิดตัวออกมา แรงปะทะของมันทำให้ผู้ฝึกตนทั้งสามคนไม่อาจไม่ถอยออกไปได้

“หากจะโทษ ก็ไปโทษเซี่ยต้าลู่โน่น!” สิ้นคำ แม่นางกระพรวนก็หาได้แยแสทั้งสามคนนั้น นางนั่งลงขัดสมาธิอยู่บนภูผาใหญ่ที่ตนชิงมาได้ ทางหนึ่งก็เร่งหลอมวัตถุเวทต่อ อีกทางหนึ่งก็จับจ้องยังไปหวังเป่าเล่อ

ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนทั้งสามคนที่ถูกช่วงชิงภูผาใหญ่ไปต่างเคืองโกรธหนักหนาเช่นกัน แต่ก็รู้ว่านี่หาใช่ยามจะมาแสดงอารมณ์ แล้วดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววอำมหิต เร่งแยกยายกันออกไปชิงวัตถุเวทที่ภูผาใหญ่ลูกอื่น

เมื่อสถานการณ์เป็นดังนี้ นอกจากชายหนุ่มผู้สง่างามและหญิงสวมหน้ากากสองคนที่คว้าสิทธิ์ไปได้แล้ว คนอื่นนั้นล้วนได้รับผลกระทบกันไปมากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าคนเช่นชายหนุ่มชุดดำและแม่นางน้อยผู้ใช้ศาสตร์มืดย่อมได้รับผลกระทบเพียงน้อยนิด อย่างมากก็แค่ถูกผู้คนที่ถูกความโลภเข้าครอบงำจับจ้องมาหาบ้างเท่านั้น

หวังเป่าเล่อมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วหรี่ตาลง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นในเรื่องเล็กน้อย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคอยจ้องหาเรื่องเขาหลายครั้งหลายครา เช่นนั้นลำพังแค่แย่งไม้กลองมาไม้หนึ่งย่อมไม่สาแก่ใจ เขาจึงผนึกมุทราทั้งสองมือ เริ่มใช้เวทย้ายบุปผาต่อต้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งเป้าหมายในครานี้…ก็ยังเป็นแม่นางกระพรวน!

เมื่อถูกสายตาเขาจับจ้องมา แม่นางกระพรวนก็ถึงกับขนลุกอยู่ในใจ ใช่ว่านางไม่เคยคาดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีช่วงชิงของจากนาง แต่นางคิดว่าคราวก่อนเป็นเพราะตนเองไม่ได้เตรียมป้องกัน แต่หากวิธีเดียวกันนี้มาปรากฏต่อหน้าอีกครา นางก็ไม่คิดว่าเขาจะทำสำเร็จได้

ทว่าต่อให้เป็นดังนั้น เมื่อเห็นว่าตนกำลังถูกจับจ้อง ความร้อนรนและรำคาญใจก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในอก นางจึงถลึงตากลับไป กำลังจะเอ่ยปาก แต่จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เบิกตากว้าง ทั้งตะเบ็งเสียงออกมา

“อัสนีเทพสยบมาร ยังไม่ไปเอาไม้กลองนั่นมาให้ข้าอีก!”

เมื่อเสียงตะโกนนี้ดังขึ้นก็ทำให้ผู้คนโดยรอบสนใจขึ้นมาอีกทันที เช่นเดียวกับแม่นางกระพรวน ใจนางเต้นตูมตาม สองมือเร่งผนึกมุทรา นางลุกขึ้นยืน ปลุกพลังปราณทั้งหมดให้ลุกโชนขึ้นมา เพียงแต่…หลังจากรออยู่เป็นนานและพบว่าไม้กลองตรงหน้าตนก็หาได้มีการเปลี่ยนแปลงใด หวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงมาแต่ไกล

“ครั้งนี้ของปลอม ครั้งหน้าจึงจะเป็นของจริง”

“เซี่ย! ต้า! ลู่!!” นางหันหัวขวับ ส่งเสียงแหลมไปยังหวังเป่าเล่อ เมื่อถูกปั่นหัวดังนี้ แม่นางกระพรวนจึงรู้สึกว่าตนเองต้องระเบิดพลังปราณออกมาให้ถึงที่สุดแล้ว

เมื่อเห็นอีกฝ่ายถลึงตาใส่ตน หวังเป่าเล่อแค่นเสียงคำหนึ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยปากในทันใด เขารอสองสามอึดใจ เมื่อเห็นว่าไม้กลองของอีกฝ่ายจวนเจียนจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว จึงค่อยเอ่ยคำออกไปอย่างเนิบนาบ

“หากไม่ได้จัดการสตรีเช่นเจ้าจนหนำใจ โทษฐานที่ทำให้ข้าต้องขัดเคือง ข้าก็ไม่ได้ชื่อเซี่ยต้าลู่แล้ว!

………………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset