หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 959 การเตรียมการที่ดีที่สุด!

และในเวลานี้ หวังเป่าเล่อที่ถูกอีกฝ่ายเยาะเย้ยได้ใจอยู่นั้น ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในเขตราชวังเหมือนเก่า สีหน้าของเขาสงบนิ่งและในเวลาเดียวกันเขาก็เพิ่งจะปลดการเคลื่อนพลังฝึกปรือในวันสุดท้ายออก

ต่อมาดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้าง ทอประกายแสงวาบหนึ่ง แสงนี้ประดุจไฟที่ส่องให้โถงอันมืดมิดสว่างขึ้นมาในพริบตา

“เข้าใกล้ระดับจิตวิญญาณอมตะไปอีกก้าวแล้ว…ที่สำคัญกว่านั้นคือจิตวิญญาณของข้า เหมือนจะเหนือกว่าสมัยก่อน!” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา เจ็ดวันมานี้ เขาอาศัยพลังวิญญาณเต็มแน่นในตำหนักรวมถึงกระแสความอบอุ่นที่โลกนี้มอบให้ ยกระดับการฝึกปรือขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เขาสัมผัสได้ว่าทั้งร่างนั้นเคลื่อนไหวสอดประสานเป็นหนึ่ง อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งเหมือนน้ำเต็มขวดซึ่งเอ่อทะลัก

แม้จะยังไม่เข้าใจสภาวะนี้ของตนเองเท่าไหร่ แต่ในสภาพที่ใจเป็นสุขปลอดโปร่งนี้ เขาประจักษ์ได้ว่าตนนั้นอยู่จุดสูงสุดแห่งสภาวะจิตวิญญาณอมตะแล้ว!

การอยู่บนจุดสูงสุดของสภาวะนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่พลังฝึกปรือ แต่รวมถึงจิตวิญญาณ และกระทั่งกายหยาบของเขายังได้รับผลกระทบ หากตัดปัจจัยทางด้านกายภาพออกไป นอกจากเรื่องที่ไม่มีกายเนื้อแล้ว ก็แทบไม่แตกต่างเท่าไหร่

“ในสภาวะเช่นนี้ หากยกระดับพลังสสารดาวเคราะห์ แล้วหลอมรวมเข้ากับร่างเดิม พลังการต่อสู้ของข้า…ก็จะอยู่เหนือกว่าคนในระดับเดียวกันมาก!” หวังเป่าเล่อเผยนัยน์ตาคาดหวัง พลังปราณบนร่างนั้นก็พุ่งตาม ทำให้ทั้งห้องพลันสั่นสะเทือน แผ่พลังคลื่นแผ่ออกไป ในโถงตำหนักมีเสียงเจือความเคารพดังขึ้น

“คุณชาย เวลามงคลมาถึงแล้ว หากท่านฝึกปรือเรียบร้อย ข้าขออนุญาตเข้าไปช่วยท่านอาบน้ำผลัดผ้า”

หวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็ส่งพลังสัมผัสปราณเล็กน้อย เขาลุกขึ้นโบกมือ ในพริบตาประตูก็ถูกเปิดออก กระดาษรูปมนุษย์เดินเข้ามาสามตน ทั้งสามมองแล้วน่าจะเป็นสตรีทั้งหมด องคาพยพบนหน้าอ่อนช้อย ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนงามที่ถูกวาดขึ้น โดยเฉพาะบนร่างพวกนางนั้น สามารถสัมผัมได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่เคยมีมาก่อน ยามพวกนางมองมายังหวังเป่าเล่อ สีหน้าของพวกนางก็เจือความเคารพปนเขินอาย

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาเพิ่งรู้ว่าพลังเสน่ห์ที่ตนไม่ได้ควบคุมนั้นเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย กระทั่งเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ยังมีใจปฏิพัทธ์ต่อเขาแล้ว

หลังถอนหายใจอย่างไร้ยางอายไปคราหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็กระแอมไอแล้วรีบเอ่ยปาก

“ไม่ต้องแล้ว เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงระฆัง พิธีบูชาฟ้าเริ่มแล้วรึ?”

“คุณชายอย่าได้กังวล ท่านเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของจักรวรรดิดาวตกเรา ย่อมถูกจัดให้เข้าในยามที่ระฆังดังครั้งที่เก้า เดินเข้าพิธีพร้อมกับฝ่าบาท ตอนนี้ยังถือว่าเช้าอยู่ ยังไม่ถึงเสียงครั้งที่ห้าด้วยซ้ำ หากเร่งให้ท่านไปที่นั่นเร็วก็นับว่าพวกเราสะเพร่าแล้ว”

“เสียงที่เก้า?” หวังเป่าเล่อกระพริบตา แม้จะรู้สึกว่าการเดินเข้าไปพร้อมองค์จักรพรรดิจะทำให้เขาเป็นจุดเด่นอย่างมาก แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามสักหน่อย

“แล้วเหล่าสหายของข้าเล่า? พวกเขาเข้าไปตอนระฆังยามใด?”

“พวกเขาเข้าไปยามระฆังดังครั้งที่สี่เท่านั้น ตอนนี้จำต้องรอท่านและฝ่าบาทอยู่ข้างใน” แม่นางกระดาษรูปมนุษย์ยิ้มกล่าว นางเดินเข้ามาหมายช่วยหวังเป่าเล่ออาบน้ำ

หวังเป่าเล่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธทั้งสามคน เพียงแต่ว่านี่มิใช่การอาบน้ำแบบที่เขาคิดไว้ การอาบน้ำของที่นี่ใช้ฝุ่นแป้งชนิดหนึ่ง ทว่าเมื่อชำระล้างแล้วให้ผลดียิ่งนัก ในเวลาเดียวกันตัวฝุ่นก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ

ส่วนการเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ตรงตามความหมายนั้น จักรวรรดิดาวตกนับถือหวังเป่าเล่ออย่างมาก จึงจัดส่งชุดเฉพาะมาให้เขาชุดหนึ่ง บนเสื้อผ้านั้นแม้วัสดุจะเป็นกระดาษ แต่ไม่ว่าจะเป็นจากการสัมผัสหรือว่ารูปลักษณ์ ใครก็รู้สึกได้ว่าวัสดุนี้ย่อมต้องเป็นผ้าไหมชนิดหนึ่งแน่นอน

ชุดของเขานั้นเป็นสีขาวปลอด แม่นางกระดาษทั้งสามช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า ครั้นเมื่อใส่เสร็จ เส้นผมสีดำของเขาก็ตัดกับชุดขาวบนร่าง พลันให้บรรยากาศราวกับเป็นคุณชายท่านหนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็เหมือนเขาหลอมรวมเข้ากับโลกนี้ได้มากขึ้น

ระยะเวลาอาบน้ำเปลี่ยนชุดนี้เสียเวลาไปไม่น้อย จนกระทั่งสิ้นเสียงระฆังครั้งที่แปดจึงค่อยแล้วเสร็จ หลังจากแม่นางกระดาษทั้งสามสำรวจตรวจดูแล้ว พวกนางก็ค้อมกายให้หวังเป่าเล่อคราหนึ่ง

“เชิญคุณชายตามพวกเรามา”

หวังเป่าเล่อลูบชุดที่ตนสวมอยู่ เขารู้สึกพอใจ ในใจยิ่งกว่าสุขล้ำ เขาเดินตามแม่นางกระดาษทั้งสามไป ระหว่างทางสนทนายิ้มหัวไปด้วย พวกเขามุ่งหน้าไปยังห้องรับรองที่ส่วนลึกในราชวัง

และเพราะเคารพหวังเป่าเล่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นแม่นางกระดาษทั้งสามจึงตอบคำถามของเขาตลอดทางด้วยความสัตย์จริง นี่เองทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจกระบวนการและรายละเอียดของพิธีบูชาฟ้ามากขึ้น เขาสังเกตว่าสถานที่ที่ตนมุ่งไปนั้นก็คือประตูหลังของตำหนักหลักในราชวัง

ก่อนหน้านี้ที่เขาเข้าใจ งานพิธีบูชาฟ้าในครั้งนี้ จักรพรรดิดาวตกจะดำเนินพิธีเอง สถานที่ก็คือด้านนอกของตำหนักหลัก ลานดารายุรยาตร ลานนี้ตระการตาเหนือสิ่งใด สามารถจุคนธรรมดาพร้อมกันได้นับแสน แต่ปกติแล้วคนที่มีสิทธิ์เข้าถึงตรงนั้น ล้วนเป็นผู้ที่ต้องรอจังหวะระฆังเข้ามาทั้งสิ้น

ผู้ที่เข้ามาก่อนนั้นย่อมต้องรอนานกว่าผู้อื่น ส่วนจักรพรรดิดาวตกจะเป็นผู้ดำเนินมาคนสุดท้าย การปรากฎตัวของจักรพรรดิจะอยู่ท่ามกลางสายตานับหมื่น พร้อมกันก็เป็นสัญญาณว่าพิธีบูชาฟ้ากำลังจะเริ่ม

คิดถึงจุดนี้แล้ว แม้ในใจหวังเป่าเล่อจะพอคาดเดาได้ แต่ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี

“นั่น…นั่นคือเส้นทางไปในตำหนักหลักของวังรึ?”

“เจ้าค่ะ ฝ่าบาทกำลังรอท่านอยู่” แม่นางกระดาษที่อยู่ข้างของเขาตอบ จากนั้นก็พาหวังเป่าเล่อเดินผ่านประตูหลังของวัง แล้วเดินตามเข้าไป เส้นทางสายน้อยนี้สิ้นสุดตรงตำหนักหลักนั่นเอง

ส่งถึงตรงนี้ แม่นางกระดาษทั้งสามก็ไม่ได้ตามมาด้วยแล้ว พวกนางกลับคำนับให้หวังเป่าเล่อคราหนึ่งแล้วไม่เงยตัวขึ้นอีก ดูคล้ายจะรอให้เขาจากไปเสียก่อน

หวังเป่าเล่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองดูเส้นทางสายน้อยนั่น เขาสำรวมท่าทีแล้วรีบซอยเท้าไป หลังจากเข้าไปแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสจิตหนึ่งที่ลอยมาหาเขาอย่างรวดเร็วในทันที แต่ก็เพียงแค่กวาดผ่านร่างเขา แล้วจากนั้นก็หายไป เมื่อเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หยุดรั้ง เขาเดินตามทางต่อ ภายหลังจากเขาเข้าไปแล้ว ก็พบว่าตนเองได้อยู่ในตำหนักหลักของราชวังจักรวรรดิดาวตกเป็นที่เรียบร้อย!

ตำแหน่งของเขาอยู่ใกล้บัลลังก์จักรพรรดิ เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นทุกสิ่ง ตำหนักนี้แม้จะเป็นกระดาษทั้งสิ้น แต่สีสันก็สดใส ตัวคานตำหนักมีขนาดมหึมา รูปสลักด้านข้างทั้งสี่ทิศนั้นก็แสนจะยิ่งใหญ่

แล้วยังมีเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ที่ยืนนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น เมื่อพวกเขามองเห็นหวังเป่าเล่อ ทุกตนต่างก็ผงกศีรษะ ดวงตาฉายแววเป็นมิตร

“สหายน้อย หลายวันมานี้พักผ่อนเป็นเช่นไร?”

ตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังมองภายในห้องโถงนั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงอันอบอุ่นที่ข้างหู เมื่อหันไปมองก็พลันพบว่ากระดาษรูปมนุษย์ผู้ทีขีดแดงตรงหว่างคิ้วได้เดินออกมาจากอีกด้านของบัลลังก์จักรพรรดิ

“คารวะผู้อาวุโส หลายวันมานี้ท่านให้ข้าได้ฝึกปรืออยู่ที่นี่ นับว่าช่วยเหลือผู้เยาว์ใหญ่หลวงนัก!” หวังเป่าเล่อประสานมือคำนับ

“เช่นนั้นก็ย่อมดี พวกเราเหล่าผู้ฝึกตนนั้นล้วนพึ่งพาโชคชะตา ในเวลาเดียวกันจิตใจและเจตนารมณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน บางเวลาที่พวกเราทำไม่ได้ บางทีอาจจะเพราะโอกาสไม่ประจวบเหมาะ หรือยังไม่สมควร” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดเดงตรงหว่างคิ้วด้านหนึ่งก้าวเดิน อีกด้านหนึ่งก็ยิ้มแย้มเอ่ยวาจา คำที่กล่าวออกมานั้นกระแทกใจหวังเป่าเล่อยิ่งนัก

“คำพูดนี้น่าสนใจ…” หวังเป่าเล่อเหมือนคิดอะไรออก จึงได้หยั่งเชิงถามกลับ

“ผู้อาวุโส บ้านเกิดของผู้เยาว์มีคำกล่าวว่า ความผิดพลาดทั้งหมดที่ผ่านมา อาจนับเป็นการเตรียมการที่ดีที่สุด”

เมื่อเขาเอ่ยคำนี้ออกไป กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดเดงตรงหว่างคิ้วก็พลันชะงักเท้า เหมือนกำลังพิจารณาประโยคนี้อย่างจริงจัง ดวงตาของเขาทอประกายประหลาด มองหวังเป่าเล่ออย่างพินิจพิจารณา แล้วพลันยิ้มขึ้นมา

“ข้าหวังว่าจะได้เห็นการเตรียมการที่พร้อมสรรพที่สุดของเจ้า!”

“สหายน้อย ตามข้าออกไปเถอะ พิธีบูชาฟ้าอันยิ่งใหญ่กำลังจะเริ่มแล้ว!” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดเดงตรงหว่างคิ้วเอ่ยถึงตรงนี้ก็เดินออกไป หวังเป่าเล่อเองก็ยับยั้งความคิดตน เขารีบติดตามอีกฝ่ายออกไปในเวลาเดียวกัน กระดาษรูปมนุษย์นับร้อยด้านข้างนั้น ต่างก็ติดตามไปเบื้องหลังพวกเขา

เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อและกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดเดงตรงหว่างคิ้วเดินออกมาจากตำหนัก ตอนนี้ เพราะตัวตำหนักหลักนั้นอยู่สูงกว่าลานด้านนอกไม่น้อย ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงมองเห็นศูนย์กลางของลานในพริบตา ที่ตรงนั้นมีกลองสีครามขนาดประมาณร้อยจั้งตั้งตระหง่านสูงศักดิ์อยู่ใบหนึ่ง!

กลองนี้คล้ายมีกลิ่นอายของกาลเวลา แม้จะอยู่ไกลจนมองไม่เห็นรายละเอียด แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงพลังระดับสะเทือนฟ้าดิน เพียงแค่มองเท่านั้น ก็พาให้จิตใจของเขาปั่นป่วน ราวกับมองเห็นทางช้างเผือก มองเห็นดวงดาราและมองเห็นดวงดาวเกลื่อนฟ้า!

และเป็นเพราะกลองใบนี้ยิ่งใหญ่เกินไป มันดึงดูดสายตาทั้งหมดของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาไม่ได้มองเลยว่ารอบด้านลานนั้น เงาร่างของผู้คนนับหมื่นแสนให้ความรู้สึกเบียดเสียดเพียงใด!

และยิ่งไม่ได้สังเกตเข้าไปใหญ่ ว่าในบรรดาเงาร่างนับหมื่นนี้มีพวกของหญิงสวมหน้ากาก และย่อมไม่สังเกตเห็นว่าเพราะเขาหายตัวไป แม่สาวกระพรวนจึงยิ่งยโสกว่าเก่า ส่วนเจ้าอ้วนน้อยก็กำลังได้ใจ

แต่ความได้ใจของเจ้าอ้วนน้อยนี้ไม่นานก็กลายเป็นอารมณ์ตื่นตะลึง…เพราะว่าในยามนี้เอง เมื่อเสียงระฆังครั้งที่เก้ากังวานขึ้น เวลารวมตัวกันได้ประกาศออกมาแล้ว เสียงระฆังนี้ยาวนานยิ่งกว่าครั้งใดๆ แทบจะกลายเป็นคลื่นริ้วแผ่ซ่านไปทั้งนครดาวตก เป็นจังหวะเดียวกับที่เงาร่างของหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิดาวตกปรากฏขึ้น…ต่อสายตาฝูงชนนับหมื่น ทั้งสองเดินออกจากตำหนักหลักของราชวัง!

ต่อจากการปรากฏตัวนี้ ท้องฟ้าก็ผันเปลี่ยน!

…………………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset