หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 1008 ปกป้องได้แน่นอน!

ไม่แน่ว่าตัวตนของศิษย์พี่สองเป็นช่วงอายุที่หวังเป่าเล่อได้เห็น หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่นที่หวังเป่าเล่อไม่ทราบทำให้ไม่ทันได้สังเกต ขณะศิษย์สิบห้าที่อยู่ข้างๆ พูดประโยคนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือสีหน้าก็เต็มไปด้วยความเศร้าบางอย่างที่ไม่สามารถเก็บงำไว้ได้

อันที่จริงการดำรงอยู่ของศิษย์พี่สองที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นดูเหมือนมีแรงดึงดูดแปลกๆ ทำให้สถานที่ที่เขาอยู่และสรรพสิ่งทั้งหมดหม่นหมอง

เมื่อรวมชุดสีขาวทรงสง่าและผมสีดำขลับอันเงางามเข้าด้วยกัน ดูเหมือนได้สรรค์สร้างรัศมีของเทพเซียนที่เปล่งประกาย โดยเฉพาะชุดและผมที่สง่างาม ยามไม่ได้ผูกหรือมัดไว้ก็ยังพลิ้วไหวแม้ไร้ลม เมื่อมาพร้อมกับร่างที่ลอยอยู่กลางเวหา ก็ประหนึ่งเป็นเทพเจ้าลงมาเยือนพื้นพิภพ

แม้แต่ผิวพรรณก็เปล่งประกายแวววาว ดวงตาทอแสงเรืองรองนับพันเฉดสี เมื่อจ้องมองมาที่หวังเป่าเล่อ จึงเผยให้เห็นความเป็นมิตรแฝงอยู่ในแววตาของศิษย์พี่สอง

“ศิษย์น้องสิบหก…”

“ขอคารวะศิษย์พี่สอง” หลังจากที่หวังเป่าเล่อและศิษย์พี่สองสบตากัน ตัวของพวกเขาก็สั่นระริกด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง ไม่รู้ว่าทำไมในใจเหมือนจะรู้สึกได้ถึงจิตใจที่เป็นมิตรในแววตาของอีกฝ่าย ที่เจือความเศร้าอยู่ประปราย พลอยทำให้เขารู้สึกเศร้าโดยไม่มีสาเหตุ ก่อนจะคารวะออกมาเบาๆ

“ศิษย์น้องสิบหก จงอยู่ในดาราจักรไฟด้วยสบายใจและทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของเจ้า…” ศิษย์พี่สองจ้องมองไปที่หวังเป่าเล่อพร้อมพูดประโยคนี้ออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว จนศิษย์น้องอย่างหวังเป่าเล่อมึนงง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ศิษย์สิบห้าที่อยู่ด้านข้างดันถอนหายใจออกมาเสียก่อน

“ศิษย์พี่สอง สมัยตอนที่ข้ามาท่านก็บอกข้าแบบนี้เช่นกัน ส่วนผลลัพธ์น่ะเหรอ…” ใบหน้าของศิษย์สิบห้าเผยความหดหู่ใจ พลันทำให้ความคิดของหวังเป่าเล่อชะงักงัน ศิษย์พี่สองที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเผยสีหน้าแฝงความเศร้าหมองและยุ่งยากอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงโน้มตัวแล้วพยักหน้าเบาๆ ให้กับศิษย์สิบห้า

ทว่าน่าประหลาดตรงที่ทางหวังเป่าเล่อเอง กลับไม่เห็นศิษย์พี่สองที่ทำท่าโน้มตัวลง มิฉะนั้น เขาคงจะตกตะลึงในทันที พร้อมทั้งคลื่นอารมรณ์ลูกใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นในใจของเขา

แน่นอนว่า…ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่สอง การโน้มตัวลงให้ศิษย์น้องของตัวเอง เป็นการกระทำที่มีความไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง แต่หวังเป่าเล่อนั้นกลับไม่ได้เห็นมันแม้แต่น้อย

ทางด้านศิษย์สิบห้าที่ไม่รู้ว่าเห็นหรือไม่เห็นการกระทำเหล่านั้น หลังจากพูดจบ เขาทำหน้ามุ่ยก่อนจะบ่นพึมพำออกมา

“ศิษย์พี่สอง ท่านอาจารย์ออกจากสำนักไปอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยแอบตามไปดู คิดว่าท่านอาจารย์ต้องออกไปหาเคล็ดวิชาที่ไม่น่าไว้วางใจอีกเป็นแน่ คราวนี้ข้ารู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในหายนะ!” ศิษย์สิบห้ากล่าวมาถึงตรงนี้ แล้วทำหน้าสลดใจออกมา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“เพราะท่านอาวุโสได้บอกไว้ก่อนออกเดินทางว่า กลับมารอบนี้เขาจะทำให้ข้าประหลาดใจ…”

ศิษย์พี่สองเพียงขำออกมาและไม่กล่าวอะไรเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อเห็นเช่นนั้นก็เข้าไปสอดไม่ได้ ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ จึงทำให้ศิษย์สิบห้าบ่นไม่หยุดมาตลอดทาง ซ้ำยังหวังว่าตัวเองจะได้บ่นกับศิษย์พี่สองด้วย

ท้ายที่สุด ตัวอย่างที่ได้เรียนรู้จากศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่ ทำให้เวลานี้หวังเป่าเล่อได้แต่ลังเลเกี่ยวกับเคล็ดวิชาของปรมาจารย์แห่งไฟ แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างว่าอีกฝ่ายไม่น่าเชื่อถือ

ความรู้สึกนี้เพิ่งจะเพิ่มขึ้นมา พอดีกับศิษย์สิบห้าที่เพิ่งจะบ่นจบ ทว่าเวลานี้…จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามอันเยือกเย็นออกมาจากความว่างเปล่าโดยรอบ และดังกึกก้องอยู่ในหูหวังเป่าเล่อ ทำให้ตัวของเขาสั่นสะท้าน เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นทันทีว่าด้านหลังของศิษย์สิบห้ามีร่างของแม่นางผู้หนึ่งก่อตัวขึ้นในความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยว!

แม่นางผู้นี้สวมชุดกระโปรงสีม่วง แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่ได้สวยสดงดงาม แต่กลับชวนให้รู้สึกถึงความมุ่งมั่นเฉียบขาดแฝงอยู่ ราวกับกำดาบปลายแหลมที่ไม่มีฝัก พร้อมๆ กับท่าทีนิ่งสงบแต่ไม่ต้องการที่จะคุกคาม

หากบอกว่าการคุกคามของศิษย์พี่หญิงสิบเอ็ดโผล่ออกมาด้านนอก การคุกคามขอแม่นางตรงหน้านั้นก็คงมาจากในกระดูกของนางและคงไม่โผล่ให้เห็นได้ง่ายๆ แต่เมื่อถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว นางจะไม่มีวันหันหลังกลับ!

ด้วยเสียงคำรามอันเยือกเย็นและท่าทีที่แสดงออกมา ทำให้ศิษย์สิบห้าที่อยู่ทางนั้นสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปแม่นางที่อยู่ข้างหลังของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโค้งคำนับสุดตัว

“ขอคารวะศิษย์พี่หญิงใหญ่!”

“ขอคารวะ…ศิษย์พี่หญิงใหญ่” ศิษย์พี่สองที่อยู่ตรงนั้นเผยท่าทีที่แสนซับซ้อนที่หวังเป่าเล่อมองไม่ออก ก่อนถอนหายใจในระหว่างก้มหัวคารวะ อีกทั้งระดับที่เขาแสดงความเคารพของนั้น ก็โค้งตัวลงเกือบเก้าสิบองศา ซึ่งสามารถมองออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในการแสดงความเคารพ

ทว่าในสายตาของหวังเป่าเล่อ มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงใจคอไม่ดีกับเหตุไม่คาดคิดตรงหน้า ก่อนจะทำการคารวะเหมือนกับผู้อื่นต่อศิษย์คนแรกของปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ตรงหน้า

“ศิษย์สิบห้า ท่านอาจารย์ขอให้เจ้าทำการต้อนรับศิษย์น้องสิบหก แต่เจ้ากลับพร่ำบ่นมาตลอดทาง แล้วตอนนี้มาใส่ร้ายท่านอาจารย์อีก สมควรโดนลงโทษอีกสักทีแล้วใช่ไหม!” ร่างของแม่นางที่ทำการผสานกันได้ปรากฏขึ้นภายในหอคอย ก่อนจะตะโกนใส่ศิษย์สิบห้า จากนั้นจึงมองไปที่หวังเป่าเล่อ ท่าทีของนางไม่ส่อความเข้มงวดอีกต่อไป ทว่าแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน

“ศิษย์น้องสิบหกลุกขึ้นเถิด ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดเวลา แต่อนาคตไม่ว่าเจ้ามีปัญหาอะไรสามารถมาถามข้าได้ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้า”

พอหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็ตอบตกลงทันที เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองดูศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า เขาก็แสดงความเคารพออกมาจากใจ ด้วยความจริงที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ปกติที่สุดที่ในบรรดาคนที่เขาเห็นมาตลอดทาง

ศิษย์สิบห้าที่อยู่ด้านข้างเบะปากออกมาเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจกับคำตำหนิ

“ศิษย์พี่ใหญ่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไมกัน ท่านอาจารย์ก็ไม่อยู่ ไม่ได้ยินคำพูดพวกนั้นที่ข้าพูดหรอก…”

ศิษย์พี่หญิงใหญ่หันหน้าไปถลึงตาดุใส่ศิษย์สิบห้า จนศิษย์สิบห้าหดคอลงแล้วไม่กล้าพูดอะไรมาอีก ศิษย์พี่หญิงใหญ่หันกลับมากำชับกับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะโบกมือปัดตอบ

“น้องสิบห้าสิบหก พวกเจ้ากลับไปเถอะ ข้ายังมีเรื่องอื่นๆ ต้องหารือกับศิษย์พี่สองของพวกเจ้าอีก”

“ทราบแล้วขอรับ…” ศิษย์สิบห้าตอบด้วยน้ำเสียงหดหู่ ก่อนจะขอตัวลาพวกเขาทั้งสอง แล้วออกจากหอคอยไปพร้อมกับหวังเป่าเล่อ แต่ก่อนจะจากไป ศิษย์พี่สองที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศราวกับเทพตนหนึ่ง ได้มอบธูปหนึ่งดอกแทนของขวัญในการพบปะให้แก่หวังเป่าเล่อ

ซ้ำยังบอกด้วยว่าหลังจากจุดธูปขณะที่ฝึกปราณจะทำให้การฝึกฝนมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงได้กล่าวขอบคุณก่อนจะจากไป เขาจ้องมองไปที่หลังของหวังเป่าเล่อก่อนจะพลั้งพูดออกมาเบาๆ ประโยคที่พูดออกมานั้นทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นระริก

“เป่าเล่อ ไม่ว่าท่านอาจารย์จะเป็นคนอย่างไร ในความคิดของข้า ท่านอาวุโสเป็นคนที่โดดเดี่ยวคนนึง…”

หวังเป่าเล่อตะลึงงัน เมื่อได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ก่อนที่ศิษย์สิบห้าที่อยู่ข้างกันจะพึมพำออกมา

“ชายชราผู้โดดเดี่ยวนั่นทรมานเหล่าลูกศิษย์อย่างพวกเราทุกวี่ทุกวัน…ไปกันเถอะศิษย์สิบหก ข้าจะส่งเจ้ากลับหอคอยของเจ้าเอง” ขณะพูด ดูเหมือนศิษย์สิบห้าจะเผลอขัดจังหวะความคิดของหวังเป่าเล่อ แล้วพาเขาออกจากหอคอย

ในหอคอยเวลานี้เหลือเพียงศิษย์พี่สองและศิษย์พี่หญิงใหญ่

ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่มองย้อนกลับไป ราวกับว่าสายตาของนางมองทะลุหอคอยได้ จนสามารถเห็นหวังเป่าเล่อที่อยู่กับศิษย์สิบห้าที่พูดพล่ามไม่หยุด เดินออกไปไกลเรื่อยๆ

ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่จ้องมองภาพตรงหน้า ที่มีคนฝึกฝนเคล็ดธูปศักดิ์สิทธิ์ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ตราบใดที่ยังมีควันธูปของเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ ศิษย์พี่สองก็ไม่มีวันตาย แววตาเผยความเศร้าหมองเหลือคณา ยิ่งทุกข์ระทม ก็ยิ่งก้มหัวโค้งคำนับต่ำลงให้แก่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ตรงหน้าที่แสดงสีหน้าไร้อารมณ์

“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ขอรับ”

หากหวังเป่าเล่อยังอยู่ที่นี่ ได้ยินประโยคนี้คงจะตกอกตกใจน่าดู ในใจคงจะเกิดความตกตะลึงครั้งใหญ่และความสับสนวุ่นวายไม่รู้จบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่น่าเสียดายที่ผู้ที่ออกจากที่นี่ไปจะไม่ได้รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน

หลังจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ถูกศิษย์พี่สองเรียกว่าท่านอาจารย์ ตอนนี้จึงหันหน้าไปมองศิษย์พี่สองอย่างจริงจัง

“ศิษย์น้องสอง เจ้าฝึกฝนเคล็ดศักดิ์สิทธิ์จนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือ? ข้าคือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเจ้า หาใช่ท่านอาจารย์ไม่!”

ศิษย์พี่สองเงียบลงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของเขาดูขมขื่น สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมา ก่อนจะโค้งคำนับอีกครั้ง แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา

ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่จึงเงียบไปเช่นกัน เมื่อมองย้อนกลับไปในทิศทางที่หวังเป่าเล่อได้จากไป นางก็แย้มยิ้มออกมาครู่หนึ่ง

“ท่านสองรู้สึกว่าดาราจักรไฟในตอนนี้คึกคักขึ้นมาบ้างไหม? หากไม่มีเคราะห์ภัย อีกไม่นานเจ้าเด็กนั่นต้องมาที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้นดาราจักรของพวกเราคงจะมีชีวิตชีวามากกว่านี้” ขณะพูด รอยยิ้มของศิษย์พี่ใหญ่ก็ดูมีความสุขมากยิ่งขึ้น ศิษย์พี่สองที่อยู่ข้างๆ จ้องมองรอยยิ้มของอีกฝ่าย ก่อนสีหน้าจะค่อยๆ สงบนิ่งขึ้น นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นคนที่เขาเคารพมากที่สุดในชีวิตมีรอยยิ้มที่มีความสุขอย่างแท้จริง พลอยทำให้เขาแย้มรอยยิ้มตามออกมาด้วย

เมื่อรอยยิ้มของเขาเผยออกมา จึงได้ยินคนที่เขาเคารพนับถือที่สุดในชีวิตผู้นั้นส่งเสียงพึมพำเบาๆ ออกมา

“ครั้งนี้ ข้าต้องปกป้องพวกเจ้าได้แน่นอน…ได้แน่นอน!”

………………………………………………..

ไม่แน่ว่าตัวตนของศิษย์พี่สองเป็นช่วงอายุที่หวังเป่าเล่อได้เห็น หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่นที่หวังเป่าเล่อไม่ทราบทำให้ไม่ทันได้สังเกต ขณะศิษย์สิบห้าที่อยู่ข้างๆ พูดประโยคนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือสีหน้าก็เต็มไปด้วยความเศร้าบางอย่างที่ไม่สามารถเก็บงำไว้ได้

อันที่จริงการดำรงอยู่ของศิษย์พี่สองที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นดูเหมือนมีแรงดึงดูดแปลกๆ ทำให้สถานที่ที่เขาอยู่และสรรพสิ่งทั้งหมดหม่นหมอง

เมื่อรวมชุดสีขาวทรงสง่าและผมสีดำขลับอันเงางามเข้าด้วยกัน ดูเหมือนได้สรรค์สร้างรัศมีของเทพเซียนที่เปล่งประกาย โดยเฉพาะชุดและผมที่สง่างาม ยามไม่ได้ผูกหรือมัดไว้ก็ยังพลิ้วไหวแม้ไร้ลม เมื่อมาพร้อมกับร่างที่ลอยอยู่กลางเวหา ก็ประหนึ่งเป็นเทพเจ้าลงมาเยือนพื้นพิภพ

แม้แต่ผิวพรรณก็เปล่งประกายแวววาว ดวงตาทอแสงเรืองรองนับพันเฉดสี เมื่อจ้องมองมาที่หวังเป่าเล่อ จึงเผยให้เห็นความเป็นมิตรแฝงอยู่ในแววตาของศิษย์พี่สอง

“ศิษย์น้องสิบหก…”

“ขอคารวะศิษย์พี่สอง” หลังจากที่หวังเป่าเล่อและศิษย์พี่สองสบตากัน ตัวของพวกเขาก็สั่นระริกด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง ไม่รู้ว่าทำไมในใจเหมือนจะรู้สึกได้ถึงจิตใจที่เป็นมิตรในแววตาของอีกฝ่าย ที่เจือความเศร้าอยู่ประปราย พลอยทำให้เขารู้สึกเศร้าโดยไม่มีสาเหตุ ก่อนจะคารวะออกมาเบาๆ

“ศิษย์น้องสิบหก จงอยู่ในดาราจักรไฟด้วยสบายใจและทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของเจ้า…” ศิษย์พี่สองจ้องมองไปที่หวังเป่าเล่อพร้อมพูดประโยคนี้ออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว จนศิษย์น้องอย่างหวังเป่าเล่อมึนงง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ศิษย์สิบห้าที่อยู่ด้านข้างดันถอนหายใจออกมาเสียก่อน

“ศิษย์พี่สอง สมัยตอนที่ข้ามาท่านก็บอกข้าแบบนี้เช่นกัน ส่วนผลลัพธ์น่ะเหรอ…” ใบหน้าของศิษย์สิบห้าเผยความหดหู่ใจ พลันทำให้ความคิดของหวังเป่าเล่อชะงักงัน ศิษย์พี่สองที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเผยสีหน้าแฝงความเศร้าหมองและยุ่งยากอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงโน้มตัวแล้วพยักหน้าเบาๆ ให้กับศิษย์สิบห้า

ทว่าน่าประหลาดตรงที่ทางหวังเป่าเล่อเอง กลับไม่เห็นศิษย์พี่สองที่ทำท่าโน้มตัวลง มิฉะนั้น เขาคงจะตกตะลึงในทันที พร้อมทั้งคลื่นอารมรณ์ลูกใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นในใจของเขา

แน่นอนว่า…ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่สอง การโน้มตัวลงให้ศิษย์น้องของตัวเอง เป็นการกระทำที่มีความไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง แต่หวังเป่าเล่อนั้นกลับไม่ได้เห็นมันแม้แต่น้อย

ทางด้านศิษย์สิบห้าที่ไม่รู้ว่าเห็นหรือไม่เห็นการกระทำเหล่านั้น หลังจากพูดจบ เขาทำหน้ามุ่ยก่อนจะบ่นพึมพำออกมา

“ศิษย์พี่สอง ท่านอาจารย์ออกจากสำนักไปอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยแอบตามไปดู คิดว่าท่านอาจารย์ต้องออกไปหาเคล็ดวิชาที่ไม่น่าไว้วางใจอีกเป็นแน่ คราวนี้ข้ารู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในหายนะ!” ศิษย์สิบห้ากล่าวมาถึงตรงนี้ แล้วทำหน้าสลดใจออกมา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“เพราะท่านอาวุโสได้บอกไว้ก่อนออกเดินทางว่า กลับมารอบนี้เขาจะทำให้ข้าประหลาดใจ…”

ศิษย์พี่สองเพียงขำออกมาและไม่กล่าวอะไรเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อเห็นเช่นนั้นก็เข้าไปสอดไม่ได้ ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ จึงทำให้ศิษย์สิบห้าบ่นไม่หยุดมาตลอดทาง ซ้ำยังหวังว่าตัวเองจะได้บ่นกับศิษย์พี่สองด้วย

ท้ายที่สุด ตัวอย่างที่ได้เรียนรู้จากศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่ ทำให้เวลานี้หวังเป่าเล่อได้แต่ลังเลเกี่ยวกับเคล็ดวิชาของปรมาจารย์แห่งไฟ แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างว่าอีกฝ่ายไม่น่าเชื่อถือ

ความรู้สึกนี้เพิ่งจะเพิ่มขึ้นมา พอดีกับศิษย์สิบห้าที่เพิ่งจะบ่นจบ ทว่าเวลานี้…จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามอันเยือกเย็นออกมาจากความว่างเปล่าโดยรอบ และดังกึกก้องอยู่ในหูหวังเป่าเล่อ ทำให้ตัวของเขาสั่นสะท้าน เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นทันทีว่าด้านหลังของศิษย์สิบห้ามีร่างของแม่นางผู้หนึ่งก่อตัวขึ้นในความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยว!

แม่นางผู้นี้สวมชุดกระโปรงสีม่วง แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่ได้สวยสดงดงาม แต่กลับชวนให้รู้สึกถึงความมุ่งมั่นเฉียบขาดแฝงอยู่ ราวกับกำดาบปลายแหลมที่ไม่มีฝัก พร้อมๆ กับท่าทีนิ่งสงบแต่ไม่ต้องการที่จะคุกคาม

หากบอกว่าการคุกคามของศิษย์พี่หญิงสิบเอ็ดโผล่ออกมาด้านนอก การคุกคามขอแม่นางตรงหน้านั้นก็คงมาจากในกระดูกของนางและคงไม่โผล่ให้เห็นได้ง่ายๆ แต่เมื่อถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว นางจะไม่มีวันหันหลังกลับ!

ด้วยเสียงคำรามอันเยือกเย็นและท่าทีที่แสดงออกมา ทำให้ศิษย์สิบห้าที่อยู่ทางนั้นสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปแม่นางที่อยู่ข้างหลังของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโค้งคำนับสุดตัว

“ขอคารวะศิษย์พี่หญิงใหญ่!”

“ขอคารวะ…ศิษย์พี่หญิงใหญ่” ศิษย์พี่สองที่อยู่ตรงนั้นเผยท่าทีที่แสนซับซ้อนที่หวังเป่าเล่อมองไม่ออก ก่อนถอนหายใจในระหว่างก้มหัวคารวะ อีกทั้งระดับที่เขาแสดงความเคารพของนั้น ก็โค้งตัวลงเกือบเก้าสิบองศา ซึ่งสามารถมองออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในการแสดงความเคารพ

ทว่าในสายตาของหวังเป่าเล่อ มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงใจคอไม่ดีกับเหตุไม่คาดคิดตรงหน้า ก่อนจะทำการคารวะเหมือนกับผู้อื่นต่อศิษย์คนแรกของปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ตรงหน้า

“ศิษย์สิบห้า ท่านอาจารย์ขอให้เจ้าทำการต้อนรับศิษย์น้องสิบหก แต่เจ้ากลับพร่ำบ่นมาตลอดทาง แล้วตอนนี้มาใส่ร้ายท่านอาจารย์อีก สมควรโดนลงโทษอีกสักทีแล้วใช่ไหม!” ร่างของแม่นางที่ทำการผสานกันได้ปรากฏขึ้นภายในหอคอย ก่อนจะตะโกนใส่ศิษย์สิบห้า จากนั้นจึงมองไปที่หวังเป่าเล่อ ท่าทีของนางไม่ส่อความเข้มงวดอีกต่อไป ทว่าแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน

“ศิษย์น้องสิบหกลุกขึ้นเถิด ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดเวลา แต่อนาคตไม่ว่าเจ้ามีปัญหาอะไรสามารถมาถามข้าได้ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้า”

พอหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็ตอบตกลงทันที เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองดูศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า เขาก็แสดงความเคารพออกมาจากใจ ด้วยความจริงที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ปกติที่สุดที่ในบรรดาคนที่เขาเห็นมาตลอดทาง

ศิษย์สิบห้าที่อยู่ด้านข้างเบะปากออกมาเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจกับคำตำหนิ

“ศิษย์พี่ใหญ่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไมกัน ท่านอาจารย์ก็ไม่อยู่ ไม่ได้ยินคำพูดพวกนั้นที่ข้าพูดหรอก…”

ศิษย์พี่หญิงใหญ่หันหน้าไปถลึงตาดุใส่ศิษย์สิบห้า จนศิษย์สิบห้าหดคอลงแล้วไม่กล้าพูดอะไรมาอีก ศิษย์พี่หญิงใหญ่หันกลับมากำชับกับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะโบกมือปัดตอบ

“น้องสิบห้าสิบหก พวกเจ้ากลับไปเถอะ ข้ายังมีเรื่องอื่นๆ ต้องหารือกับศิษย์พี่สองของพวกเจ้าอีก”

“ทราบแล้วขอรับ…” ศิษย์สิบห้าตอบด้วยน้ำเสียงหดหู่ ก่อนจะขอตัวลาพวกเขาทั้งสอง แล้วออกจากหอคอยไปพร้อมกับหวังเป่าเล่อ แต่ก่อนจะจากไป ศิษย์พี่สองที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศราวกับเทพตนหนึ่ง ได้มอบธูปหนึ่งดอกแทนของขวัญในการพบปะให้แก่หวังเป่าเล่อ

ซ้ำยังบอกด้วยว่าหลังจากจุดธูปขณะที่ฝึกปราณจะทำให้การฝึกฝนมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงได้กล่าวขอบคุณก่อนจะจากไป เขาจ้องมองไปที่หลังของหวังเป่าเล่อก่อนจะพลั้งพูดออกมาเบาๆ ประโยคที่พูดออกมานั้นทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นระริก

“เป่าเล่อ ไม่ว่าท่านอาจารย์จะเป็นคนอย่างไร ในความคิดของข้า ท่านอาวุโสเป็นคนที่โดดเดี่ยวคนนึง…”

หวังเป่าเล่อตะลึงงัน เมื่อได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ก่อนที่ศิษย์สิบห้าที่อยู่ข้างกันจะพึมพำออกมา

“ชายชราผู้โดดเดี่ยวนั่นทรมานเหล่าลูกศิษย์อย่างพวกเราทุกวี่ทุกวัน…ไปกันเถอะศิษย์สิบหก ข้าจะส่งเจ้ากลับหอคอยของเจ้าเอง” ขณะพูด ดูเหมือนศิษย์สิบห้าจะเผลอขัดจังหวะความคิดของหวังเป่าเล่อ แล้วพาเขาออกจากหอคอย

ในหอคอยเวลานี้เหลือเพียงศิษย์พี่สองและศิษย์พี่หญิงใหญ่

ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่มองย้อนกลับไป ราวกับว่าสายตาของนางมองทะลุหอคอยได้ จนสามารถเห็นหวังเป่าเล่อที่อยู่กับศิษย์สิบห้าที่พูดพล่ามไม่หยุด เดินออกไปไกลเรื่อยๆ

ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่จ้องมองภาพตรงหน้า ที่มีคนฝึกฝนเคล็ดธูปศักดิ์สิทธิ์ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ตราบใดที่ยังมีควันธูปของเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ ศิษย์พี่สองก็ไม่มีวันตาย แววตาเผยความเศร้าหมองเหลือคณา ยิ่งทุกข์ระทม ก็ยิ่งก้มหัวโค้งคำนับต่ำลงให้แก่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ตรงหน้าที่แสดงสีหน้าไร้อารมณ์

“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ขอรับ”

หากหวังเป่าเล่อยังอยู่ที่นี่ ได้ยินประโยคนี้คงจะตกอกตกใจน่าดู ในใจคงจะเกิดความตกตะลึงครั้งใหญ่และความสับสนวุ่นวายไม่รู้จบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่น่าเสียดายที่ผู้ที่ออกจากที่นี่ไปจะไม่ได้รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน

หลังจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ถูกศิษย์พี่สองเรียกว่าท่านอาจารย์ ตอนนี้จึงหันหน้าไปมองศิษย์พี่สองอย่างจริงจัง

“ศิษย์น้องสอง เจ้าฝึกฝนเคล็ดศักดิ์สิทธิ์จนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือ? ข้าคือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเจ้า หาใช่ท่านอาจารย์ไม่!”

ศิษย์พี่สองเงียบลงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของเขาดูขมขื่น สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมา ก่อนจะโค้งคำนับอีกครั้ง แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา

ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่จึงเงียบไปเช่นกัน เมื่อมองย้อนกลับไปในทิศทางที่หวังเป่าเล่อได้จากไป นางก็แย้มยิ้มออกมาครู่หนึ่ง

“ท่านสองรู้สึกว่าดาราจักรไฟในตอนนี้คึกคักขึ้นมาบ้างไหม? หากไม่มีเคราะห์ภัย อีกไม่นานเจ้าเด็กนั่นต้องมาที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้นดาราจักรของพวกเราคงจะมีชีวิตชีวามากกว่านี้” ขณะพูด รอยยิ้มของศิษย์พี่ใหญ่ก็ดูมีความสุขมากยิ่งขึ้น ศิษย์พี่สองที่อยู่ข้างๆ จ้องมองรอยยิ้มของอีกฝ่าย ก่อนสีหน้าจะค่อยๆ สงบนิ่งขึ้น นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นคนที่เขาเคารพมากที่สุดในชีวิตมีรอยยิ้มที่มีความสุขอย่างแท้จริง พลอยทำให้เขาแย้มรอยยิ้มตามออกมาด้วย

เมื่อรอยยิ้มของเขาเผยออกมา จึงได้ยินคนที่เขาเคารพนับถือที่สุดในชีวิตผู้นั้นส่งเสียงพึมพำเบาๆ ออกมา

“ครั้งนี้ ข้าต้องปกป้องพวกเจ้าได้แน่นอน…ได้แน่นอน!”

………………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset