หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 1009 ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้

หวังเป่าเล่อไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นภายในหอคอยของศิษย์พี่สอง ในใจของเขาตอนนี้สับสนมากขึ้นเกี่ยวกับดาราจักรไฟแห่งนี้ เขามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่แย่ตรงที่ยังไม่สามารถจับประเด็นความคิดพวกนั้นได้

ไม่ว่าเขาจะนึกอย่างไร ก็ไม่พบความรู้สึกที่แม่นยำนัก โชคดีที่หลังจากได้เข้าคารวะศิษย์พี่สอง ยังได้พบกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ด้วย หวังเป่าเล่อรุ้สึกว่าบรรดาศิษย์พี่หญิงศิษย์พี่ชายในดาราจักรไฟของตัวเองนั้น มีบางอย่างเหมือนกับศิษย์พี่หญิงสิบสอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความรู้สึกที่น่าไว้วางใจมากขึ้นกว่าเดิม

ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่หรือศิษย์พี่สองต่างก็สร้างความประทับใจให้กับหวังเป่าเล่อได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะศิษย์พี่สอง หลายปีมานี้แม้เขาจะได้รับความรู้ที่กว้างไกลขึ้นกว่าเดิม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นร่างยามมีชีวิตแบบนั้นของศิษย์พี่สอง

“เกิดจากในธูป เป็นเทพอมตะ…” แววตาหวังเป่าเล่อเผยความชื่นชมออกมา พร้อมกับร่างของศิษย์พี่ใหญ่ฉายชัดขึ้นมาในหัวของเขา ความเด็ดเดี่ยวและความเฉียบขาดแบบนั้นที่อีกฝ่ายเผยให้เห็นพร้อมกับคำพูดเพียงไม่กี่คำ ไม่ใช่เพราะได้รับการขนานนามว่าศิษย์พี่ใหญ่ แต่เกี่ยวข้องกันเป็นอย่างยิ่งกับระดับการฝึกตนของเขาอย่างแน่นอน

“ในดาราจักรไฟ นอกจากท่านอาจารย์แล้ว กลับยังมีระดับจักรพิภพอีกสามท่าน!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าเต็มปอด ความรู้สึกที่ได้รับจากศิษย์พี่สองนั้นยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ทำให้เขาคาดการณ์ได้พอประมาณ ทว่าการแปรปรวนของจักรพิภพในร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่รวมถึงศิษย์พี่สามนั้นทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาล

“ยังมีศิษย์พี่สี่ที่มีประสบการณ์ฝึกตนจากภายนอก ไม่รู้ว่าเขาอยู่ในระดับจักรพิภพด้วยหรือเปล่า…” ในใจหวังเป่าเล่อรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขาคิดว่าถึงแม้ภายในดาราจักรไฟจะแปลกประหลาดไปหน่อย แต่พลังที่แข็งแกร่งแบบนี้เพียงพอที่จะทำให้เขาฮึกเหิมเมื่อได้ออกไปจากที่นี่ เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา คาดว่าผู้แกร่งกล้าอาจมีนิสัยเฉพาะตัวบางอย่าง…ที่ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจเข้าได้

ทว่าเมื่อหวังเป่าเล่อกำลังปลอบใจตัวเองอยู่นั้น ศิษย์สิบห้าที่นำทางอยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้วพร้อมกับถอนหายใจ เขาหันกลับมากวาดตามองหวังเป่าเล่อ แล้วกระซิบออกมา

“โชคร้ายจริงๆ ทำไมถึงเห็นศิษย์พี่ใหญ่อยู่ในหอคอยของศิษย์พี่สองได้ล่ะเนี่ย…เฮ้อ ข้าจะบอกให้นะน้องสิบหก ศิษย์พี่ใหญ่น่ะ…นางก็เป็นคนสติเฟื่องคนนึงนั่นแหละ”

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ตลอดทางมานี้เขาพบว่าศิษย์พี่สิบห้าของตนผู้นี้ โดยพื้นฐานเป็นคนขี้นินทา ซ้ำยังขี้บ่นเป็นชีวิตจิตใจ แต่หวังเป่าเล่อไม่สามารถพูดอะไรได้มากนักเพราะได้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก จึงทำเพียงยิ้มแหยๆ ออกมา

“เจ้ายังจะยิ้มอีกหรือ?” เมื่อศิษย์สิบห้าเห็นรอยยิ้มของหวังเป่าเล่อก็ไม่ค่อยพอใจนัก เหมือนเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อใจเขา เขาจึงขาดความมั่นใจ หลังจากมองไปรอบๆ เขาจึงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“เจ้าสิบหก ที่ศิษย์พี่เล่าทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนสติเฟื่องอย่างแน่นอน ถ้าข้าบอกเจ้าว่านางสติแตกไปแล้วหนหนึ่ง แต่ท่านอาจารย์ไม่ทราบเรื่องนี้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เอ่อ…” หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ทราบหรือเปล่า แต่ในตอนนี้เขารู้เพียงแค่ว่าเขาตอบไม่ได้จริงๆ ถ้าบอกว่าเชื่อเท่ากับว่าดูหมิ่นท่านอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ แต่ถ้าไม่เชื่อ ศิษย์พี่สิบห้าถั่วงอกขี้นินทาผู้นี้ก็คงจะไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที

โชคดีที่หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องตอบ หลังจากที่ศิษย์สิบห้าพูดจบเขาก็เงียบไป ราวกับกำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ แต่จู่ๆ เขาก็ตีอกชกหัวตรงหน้าหวังเป่าเล่อ แล้วถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าเหลืออดเหลือทน

“เรื่องนี้จะโทษศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ ทั้งหมดเป็นความคิดของท่านอาจารย์ ศิษย์น้องสิบหกเอ๋ย ข้าขอเตือนอะไรเจ้าหน่อยเถอะ ท่านอาจารย์ผู้นั้นของพวกเราน่ะ…ไม่น่าไว้ใจเลยจริงๆ!”

“เจ้าก็ได้เห็นมาตลอดทางแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่มีความคิดแบบนี้อยู่ในใจเจ้าเลย ศิษย์น้องสิบหก ขนบธรรมเนียมในดาราจักรไฟของพวกเราคือพูดทุกอย่างออกไปตามความเป็นจริง ถ้าเจ้ากับข้าพูดความจริงออกมา เจ้าคิดว่าท่านอาจารย์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ?” ศิษย์สิบห้ามองหวังเป่าเล่ออย่างคาดหวัง ใบหน้าของเขาราวกับเขียนคำห้าคำไว้ว่า ‘รีบเห็นด้วยกับข้า’

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วจนเป็นร่องลึกอย่างคิดไม่ตก อีกฝ่ายพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทำให้เขายากที่จะตอบจริงๆ ถ้าเขายังไม่พูดอะไรออกมา เห็นทีว่าศิษย์สิบห้าผู้นี้ก็คงจะไม่ล้มเลิกความพยายาม ดังนั้นเขาจึงทำเพียงทอดถอนใจ

“ศิษย์พี่สิบห้าขอรับ เป่าเล่อเพิ่งมาถึงที่นี่จึงมีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่เข้าใจ แต่ข้ายังคงรู้สึกว่าทั้งหมดนี้จะต้องเป็นความเมตตากรุณาของท่านอาจารย์ที่มีแฝงความนัยอันลึกซึ้งไว้อยู่” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อบอกกล่าวด้วยไหวพริบแพรวพราว ศิษย์สิบห้าก็นำเขามาถึงหน้าหอคอยของเขา

ด้านนอกหอคอยแห่งนี้มีต้นไม้ยักษ์ที่มีใบสีแดงเต็มต้นปลูกอยู่ ทำให้หอคอยที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้น ให้อารมณ์ราวกับความงามของงานศิลปะ ที่มีฉากหลังเป็นแสงตะวันลาลับขอบฟ้า ในขณะเดียวกันที่แห่งนี้ก็อบอวลไปด้วยความมีชีวิตชีวา นอกจากต้นไม้เหล่านั้นแล้ว ยังมีแมลงเต่าทองเพลิงบินว่อนไปทั่ว บางทีอาจเป็นเพราะรับรู้ว่ามีคนมา มันจึงกระพือปีกบินกันกระเจิดกระเจิง บางตัวก็บินหนีไป บางตัวก็ร่วงตกลงบนใบไม้สีแดง

หลังจากมาถึงที่นี่ เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อยังไม่เห็นด้วยกับตัวเอง สีหน้าของเขาจึงเผยความโกรธเคือง

“สิบหกน้อย เจ้าน่ะ…จะให้ข้าพูดอย่างไรกับเจ้าดี พอแค่นี้แหละ หลังจากนี้เจ้าก็จะได้รู้เอง ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยนะ…ครั้งนี้ท่านอาจารย์ได้พูดก่อนจะจากไปว่าเขาจะไปหาเคล็ดวิชาในจุดค้นพบ หากสำเร็จล่ะก็…เคล็ดวิชาที่นำกลับมาไม่ใช่แค่ข้าหรอกนะที่จะได้ฝึกฝน แต่รวมถึงเจ้าด้วย…”

“เจ้าน่ะ พอถึงตอนนั้นก็จะได้รู้เองว่าน่าเชื่อถือหรือเปล่า” เมื่อพูดจบ ศิษย์สิบห้าก็ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความเศร้าสร้อย เขาไม่สนใจหวังเป่าเล่ออีกต่อไป ระหว่างที่หวังเป่าเล่อโค้งคำนับอำลา เขาสะบัดมือก่อนหันหลังเดินจากไป

หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ หวังเป่าเล่อโน้มตัวขึ้นแล้วมองไปยังด้านหลังที่ห่างไกลออกไปของศิษย์พี่สิบห้า เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หวนนึกถึงเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ที่ตัวเองมาถึงที่นี่ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นนวดตรงหว่างคิ้ว ความคับข้องใจและความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของเขา สุดท้ายดวงตาก็ไม่ปิดบังความคิดอันซับซ้อนซึ่งเก็บซ่อนไว้อีกต่อไป

เขารู้สึกว่ายกเว้นได้เพียงไม่กี่คนที่ยังปกติ เพราะบรรดาศิษย์พี่ชายหญิงของตัวเองนั้นส่วนใหญ่มีความแปลกประหลาดมากทั้งนั้น โดยเฉพาะศิษย์พี่สิบห้าผู้นี้ยิ่งแล้วใหญ่ ดูเหมือนว่าเขามักจะอยากให้หวังเป่าเล่อเห็นด้วยกับสมมติฐานของตัวเองและคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือของท่านอาจารย์

ตรงจุดนี้แปลกประหลาดมาก เพราะทำเอาหวังเป่าเล่อที่ไม่ใช่คนโง่มัวระแวดระวังอยู่นาน แน่นอนว่าเขาไม่คล้อยตามคำพูดของอีกฝ่าย ทว่าการกระทำของอีกฝ่ายตลอดทางรวมถึงคำพูดก่อนจากไป กลับสร้างผลกระทบนิดหน่อยให้กับหวังเป่าเล่อ

“ค้นหาเคล็ดวิชาจากจุดค้นพบ…” หวังเปาเล่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงรูปร่างของต้นไม้ยักษ์และก้อนหินของศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่ เนื่องจากมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างที่แสนคลุมเครือ

เพราะลางสังหณ์เช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงยืนอยู่ใต้ต้นไม้หน้าหอคอย นัยน์ตาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจและบ่นพึมพำออกมา

“อาจารย์ไม่น่าเชื่อถือจริงหรือ? เป็นไปไม่ได้หรอก!”

หลังจากพูดจบ เขาก็นวดหว่างคิ้วอีกครั้ง ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเลิกคิดถึงปัญหานี้ไปก่อน ต่อไปนี้เขาวางแผนที่จะเฝ้าสังเกตดาราจักรไฟให้มากกว่านี้ก่อนที่ท่านอาจารย์จะกลับมา แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงหันกลับไปตามทางเดินเล็กๆ ระหว่างต้นไม้จนสุดทางเดิน เขาเปิดประตูหอคอยและก้าวข้าวไปด้านในที่พักของตัวเองที่อยู่ในดาราจักรไฟ หลังจากที่เขาเดินลับไป ใบไม้สีแดงที่อยู่หน้าหอคอยกลับมีแมลงเต่าทองเพลิงตัวหนึ่งกระพือปีกโผบินขึ้นจากใบไม้ ดูเหมือนว่ามันจะเหลือบมองหอคอยของหวังเป่าเล่อ พร้อมกับลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศ ก่อนจะโบยบินจากไป…

หลังจากที่มันจากไป แมลงเต่าทองเพลิงตัวอื่นๆ ทั้งหมดพลันเลือนหายวับไปไม่เหลือแม้แต่เงา ราวกับว่าพวกมันไม่เคยมีอยู่จริง แต่กลับมีแค่ตัวเดียวที่บินออกไปเท่านั้นที่เป็นตัวที่มีชีวิตอยู่จริง

ทว่าในขณะที่แมลงเต่าทองเพลิงเหล่านี้หายวับไป ประตูของหอคอยพลันเปิดออก ร่างของหวังเป่าเล่อโผล่ขึ้นตรงนั้น ก่อนจ้องมองไปที่ใบไม้พวกนั้นที่มีแมลงเต่าทองเพลิงเคยเกาะอยู่บนต้นไม้มาก่อน นัยน์ตาโชนแสงซับซ้อนเกินจะคาดเดา

“ดาราจักรไฟแห่งนี้…จะต้องมีปัญหาเป็นแน่!”

สิ่งที่หวังเป่าเล่อได้พูดไปก่อนหน้านี้ ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่แท้จริงแล้วเขาทำมันไปโดยเจตนา หลังจากเห็นว่าต้นไม้ยักษ์และก้อนหินต่างก็เป็นศิษย์พี่ด้วยกันทั้งคู่ ตอนก่อนจะมาถึงหอคอย เขาจึงสังหรณ์ใจว่าในบรรดาต้นไม้เหล่านี้หรือในหมู่แมลงเต่าทองพวกนั้น มีศิษย์พี่ของตัวเองอยู่ด้วยหรือเปล่า…

ท้ายที่สุดแม้จะบอกว่าศิษย์พี่สี่มีประสบการณ์ออกไปฝึกตนภายนอก แต่เนื่องด้วยนิสัยแปลกๆ ของบรรดาศิษย์พี่ชายพี่หญิงนั้น การกลายร่างเป็นต้นไม้สักต้นหรือแมลงเต่าทองสักตัวหน้าบ้านคนอื่น ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ฝึกตนได้เช่นกัน…

เมื่อเห็นแมลงเต่าทองเพลิงพวกนั้นหายไป หวังเป่าเล่อก็กระพริบตาอยู่ชั่วครู่ หลังจากไตร่ตรองเสร็จเขาก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในหอคอย แต่ทันทีที่เข้าไปในนั้น ความคิดของเขากลับปรากฏภาพแม่นางน้อยที่กลับมาก่อนที่ตัวเองจะไปจากที่นี่ นางมีความสุขเป็นอย่างมากจนถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบานสุดขีด

“หวังเป่าเล่อๆ แม่เฒ่าอย่างข้าหงอยเหงามาครึ่งค่อนวันแล้ว ครานี้เจ้าฉลาดเกินไปจนเสียรู้เข้าแล้วล่ะ สุดท้ายเจ้าก็ตกหลุมพรางจนได้ ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้!”

“ไม่ได้การแล้ว แบบนี้ข้าต้องฉลองสักหน่อย!!”

“เกิดอะไรขึ้น?” หวังเป่าเล่อตะลึงงัน เนื่องจากมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างที่แสนคลุมเครือ

………………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset