หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 469 สมบัติเวทจากต่างดาว!

บทที่ 469 สมบัติเวทจากต่างดาว!

“ซองจดหมายเช่นนั้นหรือ เจ้าเปิดได้หรือเปล่า” คำตอบของราชครูทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกกระปรี้กระเปร่าปนอยากรู้อยากเห็น หลังจากที่ถามและเห็นราชครูส่ายหน้าแล้ว เขาก็หยิบกล่องศิลาขึ้นมาเพื่อตรวจดูเงียบๆ

เขาไม่เห็นว่ากล่องนี้จะเป็นซองจดหมายไปได้อย่างไร ไม่ว่าจะพิจารณาจากมุมใดก็ตาม แต่เมื่อเห็นว่าราชครูมั่นใจในคำตอบของตนเองมาก เขาจึงคิดอยู่สักพักด้วยความรู้สึกเชื่อใจปนเคลือบแคลง และหยิบสมบัติเวทชิ้นหนึ่งออกมาโยนให้ราชครู ก่อนจะหันกลับไปจ้องเด็กชายตาเขม็ง

เด็กชายเสี่ยวเป่ากระวนการะวายใจทันที แต่ก็ไม่กล้ากล่าวโทษหวังเป่าเล่อ เขาจึงหันไปสำแดงความไม่พอใจใส่ราชครูแทน เด็กชายรู้สึกว่าความน่าเชื่อถือของตนถูกทำลาย เพราะตาแก่เศษผ้าขี้ริ้วมากเล่ห์ รู้ว่ากล่องนี้คือสิ่งใดแต่แรกแต่กลับไม่พูด มาพูดหลังจากที่เขาตอบออกไปแล้วเท่านั้น

หลังจากที่ประเมินสถานการณ์แล้ว เด็กชายก็พยายามหาทางหนีทีไล่ เมื่อเขาเห็นขวดโอสถ ดวงตาก็เป็นกระกายขึ้นและรีบชิงพูดออกมา

“นายท่าน ท่านไม่ควรกินโอสถเหล่านั้นโดยไม่ศึกษาให้ดีก่อน เนื่องจากอารยธรรมของแต่ละที่นั้นไม่เหมือนกัน ลักษณะทางกายภายก็ย่อมแตกต่างกันไป เป็นไปได้ว่าโอสถสำหรับพวกเขาอาจเป็นยาพิษสำหรับพวกเรา!”

“ข้าเชี่ยวชาญเรื่องโอสถเป็นอย่างมาก ข้าสามารถบอกท่านได้ว่าโอสถชนิดใดกินได้และกินไม่ได้ขอรับ!” ขณะพูดเด็กชายก็รีบเดินตรงไปยังขวดโอสถทันที ก่อนจะจับดูและหยิบขึ้นมาดม จากนั้นก็เลือกโอสถสองชนิดมาวางตรงหน้าหวังเป่าเล่อ

“นายท่าน โอสถสองชนิดนี้ไม่มีผลข้างเคียง เป็นเพียงยาบำรุงปราณสำหรับผู้มีปราณขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น ส่วนโอสถชนิดอื่นนั้นมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง แต่ต้องใช้เวลาและพลังชีวิตเพียงเล็กน้อยในการขจัดความไม่บริสุทธิ์ออกไป และท่านก็จะกินโอสถเหล่านี้ได้ขอรับ!” เด็กชายพูดอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อมีสีหน้าพึงพอใจ เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารู้สึกตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำเมื่อมองราชครู พลางทำหน้าพอใจในผลงานตนเอง

แม้ความรู้ของเด็กชายจะทำให้หวังเป่าเล่อสบายใจ แต่ชายหนุ่มก็อดสงสารราชครูไม่ได้ หากเขาเป็นราชครู เขาคงไม่สนใจนักถ้าคู่แข่งมีความสามารถมากกว่า แต่คงลำบากใจหากคู่แข่งโง่เง่ากว่าตน

แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของหวังเป่าเล่อ เขาพอใจกับความสามารถของเสี่ยวเป่า จึงยิ้มให้เด็กชายอย่างมีเมตตามากขึ้น ซึ่งทำให้เสี่ยวเป่าตื่นเต้นขึ้นไปอีก เด็กชายหยิบขวดโอสถที่เหลือไป ตบหน้าอกตนเอง ก่อนประกาศว่าต้องการเวลาสองสามเดือนเป็นอย่างมากในการขจัดความไม่บริสุทธิ์ของโอสถ จากนั้นก็หันหลังกลับและหายตัวไป

ราชครูรู้สึกรำคาญใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เขาคารวะหวังเป่าเล่อด้วยความเคารพก่อนหายตัวไปเช่นกัน ส่วนวิญญาณร่างหนาประจำเรือนั้นมีสีหน้าไร้ความรู้สึกตั้งแต่ต้นจนจบเหตุการณ์ ไม่ใช่เพราะเขาโง่ไม่ทันกล แต่ในฐานะผู้พิทักษ์อาวุธเวทแห่งความมืดที่มีหน้าที่ช่วยให้หวังเป่าเล่อได้ครองอำนาจ ชายร่างหนาเป็นวิญญาณวุธที่หวังเป่าเล่อไว้ใจมากที่สุดแล้ว

เมื่อวิญญาณวุธทั้งสามสลายตัวไปตามระเบียบ หวังเป่าเล่อก็หยิบกระบี่เหาะเหินสามสีขึ้นมาพิจารณาดูใกล้ๆ ชายหนุ่มประเมินไอทรงพลังที่แผ่ออกมาจากกระบี่ และรู้ได้ทันทีว่าสมบัติเวทนี้ไม่ใช่สมบัติเวทระดับเจ็ด แต่เป็นระดับแปดหรือสูงกว่านั้น แม้จะหาข้อสรุปที่แน่นอนไม่ได้ แต่เขาก็รู้ว่าถึงอย่างไรกระบี่นี้ก็ไม่มีวันต่ำกว่าระดับแปดแน่นอน

อาวุธเวทระดับเก้าเช่นนั้นหรือ ไม่ใช่กระมัง… สมบัติเวทที่น่ารักทั้งหมดนี้ไม่มีวิญญาณวุธสิงสู่อยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ดังนั้นพวกมันจึงน่าจะเป็นเพียงวัตถุเวทเท่านั้น หาใช่อาวุธเวทไม่!

หวังเป่าเล่อหรี่ตาหลังจากคิดอยู่สักพัก ก่อนสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือขวาและชี้ไปที่กระบี่ในมือ กระบี่นั้นสั่นเทาทันทีที่พลังปราณของหวังเป่าเล่อไหลเวียนเข้าไปภายใน ก่อนจะเรืองแสงสว่างจ้าหลายครั้งและวูบดับลงอย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่เพราะพลังปราณข้าไม่พอแน่ๆ น่าจะเป็นเพราะต้องใช้วิธีอื่นในการปลุก… หากเป็นคนอื่นคงคิดไม่ออกจนต้องตามหานักหลอมอาวุธเวทมาเพื่อปรึกษา แต่หวังเป่าเล่อเป็นนักหลอกอาวุธเวทมือฉมังที่เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธเวทถึงระดับเจ็ด ดวงตาเขาจึงสว่างวาบด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นสร้างลูกไฟจากอากาศธาตุอันว่างเปล่า

แต่หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าอุณหภูมิของลูกไฟนี้ยังไม่สูงพอ เขาจึงโบกมืออีกครั้ง สายฟ้าไหลบ่าออกจากฝ่ามือของเขา ชอนไชเข้าไปในลูกไฟ สายฟ้านั้นเพิ่มพลังให้ลูกไฟเป็นอันมาก ทำให้ลูกไฟขยายขนาดใหญ่ขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น แก่นในแห่งความมืดในกายของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้านจนปล่อยพลังออกจากร่างของเขา ส่งผลให้เกิดไอเย็นขึ้นที่ผิวนอกของลูกไฟ

ลูกไฟทั้งสองลูกที่ร้อนระอุอยู่ภายในและเย็นเยือกที่ภายนอก ดูเหมือนจะพุ่งเข้าปะทะกัน แต่สายฟ้ากลับเป็นตัวเชื่อมพวกมันไว้ หวังเป่าเล่อใช้พลังปราณของตนกดให้พวกมันหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เขาชี้นิ้วเพื่อส่งให้ลูกไฟเข้าโอบล้อมกระบี่เหาะเหินสามสีเอาไว้

ทันทีที่ลูกไฟเข้าห่อหุ้มกระบี่ หวังเป่าเล่อก็ปลุกผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว อักขราจารึกหลั่งไหลจากอากาศอันว่างเปล่า ขณะที่กระบี่บินถูกลูกไฟหลอม อักขราจารึกเหล่านั้นก็สลักตนเองลงบนกระบี่ หวังเป่าเล่อตั้งใจจะหลอมกระบี่สามสีนี้ซ้ำอีกครั้ง!

แม้กระบวนการนี้จะดูเหมือนการหลอมขึ้นมาใหม่ แต่ความจริงแล้วคือการแยกชิ้นส่วนวัตถุเวทนี้ต่างหาก!

อักขราจารึกคือหัวใจสำคัญในการเปิดโครงสร้างของกระบี่ออก เพื่อช่วยให้หวังเป่าเล่อทำความเข้าใจกระบวนการหลอมที่แตกต่างจากวิธีที่ใช้กันในสหพันธรัฐ เมื่อความลึกลับของกระบี่เหาะเหินสามสีถูกเปิดเผยต่อหน้าหวังเป่าเล่อ แรงต้านของมันก็ถูกกำราบไป กระบี่เริ่มแยกส่วนตนเองออกทีละชิ้น จนเผยให้เห็นด้ายบางสีดำอยู่ภายใน!

ด้ายดำหลายเส้นนี้สร้างมาจากพลังงานบางอย่าง และเป็นส่วนที่ยึดโยงแต่ละส่วนประกอบของกระบี่เข้าด้วยกัน

สิ่งที่เห็นทำให้หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย เป็นครั้งแรกที่เขาได้ชำแหละสมบัติเวทซึ่งไม่ได้มาจากสหพันธรัฐออกดู ความรู้เรื่องอาวุธเวทของเขาลึกซึ้งขึ้นขณะแยกชิ้นส่วนสมบัติเวทต่างดาวออกเพื่อศึกษา ราวกับได้รับการถ่ายทอดวิชาจากปรมาจารย์โดยตรง

สมบัติเวทต่างดาวนี้ไม่มีอักขราจารึก… หากแต่ทำมาจากชิ้นส่วนเล็กๆ มากมายที่ถักร้อยเข้าด้วยกันด้วยด้ายพลังงานซึ่งทำให้อาวุธเวทยึดติดกันได้! หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามือจากมือทั้งสองข้างด้วยความเร็วที่มากขึ้น ภายในครึ่งชั่วโมง เขาก็แยกชิ้นส่วนกระบี่สามสีออกเป็นชิ้นเล็กๆ ได้ครบสมบูรณ์ เขายกมือซ้ายขึ้นหยิบหินขนาดเท่ากำปั้นออกจากกองชิ้นส่วนเหล่านั้น!

ศิลานี้คือแกนกลางของสมบัติเวท และยังเป็นขุมพลังให้เส้นด้ายด้วย! ชายหนุ่มมองศิลาในมือ ไม่ต้องวิเคราะห์ดูก็รู้ว่ามันคือชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาว!

แต่เป็นชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวคนละชนิดกับที่วิญญาณวุธเก็บไป เนื่องจากชิ้นส่วนนี้ผ่านการหลอมที่เป็นเอกลักษณ์ แม้แต่หวังเป่าเล่อซึ่งถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านอาวุธเวทยังไม่เข้าใจว่าศิลานี้สร้างขึ้นได้อย่างไร

ทว่าในเมื่อสามารถชำแหละมาถึงขั้นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะควบคุมอาวุธเวทต่างดาวนี้ได้ เพียงแต่พลังจะด้อยกว่าเท่านั้น หวังเป่าเล่อคิดว่าตนเองไม่ควรปล่อยให้สิ่งนี้เสียเปล่า เขาตั้งใจจะควบคุมมันด้วยวิธีในแบบของตนเองจะได้ไม่เสียของ

แต่จะทำอย่างไรนั้น หวังเป่าเล่อคิดวิธีออกนานแล้วระหว่างที่กำลังแยกส่วนอาวุธเวทนี้ เขาจะสลักอักขราจารึกลงไปบนชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาว เพื่อใช้พลังของมันช่วยในการควบคุมอาวุธเวทชิ้นนี้ วิธีนี้เหมือนการใช้ด้ายบางควบคุมแขนขาของหุ่นเชิดไม้ หวังเป่าเล่อจะเป็นผู้ควบคุมด้ายนั้น แม้จะควบคุมอาวุธเวทชิ้นนี้ไม่ได้ แต่เขาควบคุมด้ายได้และจะสามารถปลดปล่อยพลังของอาวุธเวทต่างดาวได้บางส่วน!

หวังเป่าเล่อใช้วิธีเดียวกันจัดการแถบผ้าและเกล็ด เวลาผ่านไปสองถึงสามวัน หวังเป่าเล่อจัดการสลักอักขราจารึกลงไปเรียบร้อย เขาโบกมือและกระบี่เหาะเหินสามสีก็เรืองแสงสว่างจ้า ก่อนกระบี่บินจำนวนมากจะปรากฏขึ้นห้อมล้อมร่างของเขาไว้ จัดเรียงแถวเป็นกองทัพกระบี่!

ขณะเดียวกัน แถบผ้าก็สะบัดวนรอบกายเขาเหมือนแถบผ้าของเทพเจ้านาจาผู้ยิ่งใหญ่

สมบัติเวททั้งสองชิ้นนี้ทรงพลังเป็นอันมากจนอยู่ในระดับเดียวกับอาวุธเวทระดับแปด!

หากมีโอกาส ข้าต้องหาทางเรียนวิธีการหลอมสมบัติเวทต่างดาวให้ได้เลยทีเดียวเชียว หวังเป่าเล่อมองกระบี่บินรอบกายด้วยสายตาพออกพอใจ เขาโบกมือเพื่อเก็บกระบี่และแถบผ้ากลับ จากนั้นก็แบฝ่ามือขึ้นมองเกล็ดสามเกล็ดในมือ

น่าเสียดายที่รอยแตกบนเกล็ดเหล่านี้ใหญ่เกินไป ทำให้ใช้เป็นเพียงระเบิดใช้แล้วทิ้งได้เท่านั้น แต่ก็คงจะทรงพลังอยู่มากทีเดียว หวังเป่าเล่อตบพุงตนเองด้วยความพอใจพลางคิดว่าจะออกไปดีหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตระกูลนภาห้าสมัยกำลังวางแผนจะเปลี่ยนนครใหม่เป็นเขตนครพิเศษ ชายหนุ่มกลอกตา ความคิดกลับมาวิ่งวุ่นอีกครั้ง

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก แต่บัดนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ข้อเสนอของตระกูลนภาห้าสมัยทำให้หวังเป่าเล่อมีโอกาสก้าวหน้าอีกครั้ง

แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ข้าได้แก่นในแห่งความมืดมา… แต่ก็เรียนศาสตร์เวทอสนีบาตมาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทันทีที่พลังปราณไหลออกจากกาย แก่นในแห่งความมืดภายในกายข้าจะเผยตนออกมาแน่นอน… หวังเป่าเล่อนวดหน้าผากอย่างหนักใจ ก่อนขบฟันแน่นและก้มลงมองโอสถที่วางอยู่

ข้าอาจต้องพยายามสร้างแก่นในแห่งอัสนีโดยใช้กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้น หากทำสำเร็จก็จะดูเหมือนเป็นผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในสายฟ้า แต่ความจริงแล้วข้าจะมีแก่นในคู่! หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนโบกมือขวา เขาผนึกโลกโดยรอบให้ปิดตายด้วยพลังของวัตถุเวทแห่งความมืด และนั่งลงขัดสมาธิ ชายหนุ่มใช้มือขวาหยิบโอสถที่เด็กชายบอกว่าจะช่วยเพิ่มขั้นปราณให้ผู้ใช้โดยไม่มีผลข้างเคียงขึ้นมา

หากผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณใช้โอสถนี้เพิ่มขั้นปราณของตนเองได้ ข้าที่มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในต้องได้ประโยชน์มากกว่าแน่นอน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset