หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 470 เฝ้าดู

บทที่ 470 เฝ้าดู

หากกินเข้าไปแล้ว… ข้าจะไม่บวมอืดจนระเบิดใช่ไหมนี่ หวังเป่าเล่อกำขวดโอสถก่อนหยิบเม็ดยาออกมาสองเม็ด ยานั้นเป็นสีม่วง ไร้ซึ่งกลิ่นสมุนไพรโดยสิ้นเชิง มีเพียงอักขระที่ดูซับซ้อนประทับอยู่เท่านั้น แม้ชายหนุ่มจะไม่เข้าใจว่าอักขระนั้นคือสิ่งใด แต่ประสบการณ์ก็บอกให้เขารู้ว่าโอสถที่ตนถือครองอยู่นี้เป็นโอสถที่ทรงคุณค่า

หวังเป่าเล่อเริ่มกระวนกระวายใจ ด้วยความที่โอสถนี้เขาได้มาจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ ชายหนุ่มจึงไม่แน่ใจว่าตนเองที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจะย่อยมันได้หรือไม่

จะเป็นอะไรไปเล่า ก็แค่ยาเองมิใช่หรือ หากพวกจุติวิญญาณย่อยได้ ข้าก็ต้องย่อยได้สิ! หลังจากที่ต่อสู้กับตัวเองอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็ก้มหน้าลงมองร่างตนเอง แววความมุ่งมั่นฉายขึ้นในดวงตา

ข้าเป็นบุตรแห่งโชคลาภ ย่อมไม่ตายเพราะเรื่องเพียงเท่านี้แน่นอน แถมข้ายังอยู่ภายในวัตถุเวทแห่งความมืดอีก ที่สำคัญที่สุดคือ… ข้าคือชายที่หุ่นเพรียวและรูปงามที่สุดในสหพันธรัฐ ยังเหลือที่ให้น้ำหนักขึ้นอีกมาก ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยสัดนิด! คิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็หักเม็ดยาให้แตก

แข็งเหมือนกันนะนี่… ชายหนุ่มมองยาในมือและใช้แรงมากกว่าเดิมในการบิ เขาหยิบยาครึ่งเม็ดใส่ปาก

ยาที่สัมผัสปลายลิ้นนั้นให้รสเปรี้ยวและเผ็ดร้อนที่ระเบิดออกเต็มปากหวังเป่าเล่อ ความเปรี้ยวนั้นแหลมรุนแรงเหมือนเขากินองุ่นป่าเข้าไปชามใหญ่ในคำเดียว ต่อมรับรสของหวังเป่าเล่อหยุดทำงานไปทันที เขารู้สึกได้เพียงว่ามีพลังบางอย่างไหลขึ้นสู่สมอง ชายหนุ่มควบคุมตนเองไม่ได้ ร่างของเขาแข็งทื่อ สีหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาเบิกโพลง

แย่แล้ว!

กระนั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ปรับตัว ความเปรี้ยวก็หายไป ความเผ็ดร้อนที่แซงหน้าโอสถมรณะไปไกลเข้ามาแทนที่ ความเผ็ดนั้นเหมือนปรมาณูที่ระเบิดในปากจนทำให้จิตใจสั่นคลอน

อ๊ากกกกก! หวังเป่าเล่ออยากกรีดร้องแต่ก็ส่งเสียงไม่ออกสักแอะ เขาอยากดื่มน้ำเพื่อบรรเทา แต่ก่อนที่จะคว้าน้ำมาได้ สมองก็ระเบิดขึ้นอีกครั้งจนเขากรีดร้องรับความเจ็บปวดไม่ทัน ชายหนุ่มบีบคอตนเองแน่น กระโดดผางขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิ และเริ่มวิ่งไปทั่วเหมือนคนเสียสติ

หวังเป่าเล่ออยู่ในสภาพนี้ไปอีกสิบนาที จนร่างกายของเขารับไม่ไหวอีกต่อไป และล้มตึงลงบนพื้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก่อนสติจะดับวูบ คำถามเดียวที่ผุดขึ้นในใจเขาคือ เขารนหาที่ตายเองใช่หรือไม่…

แม้หวังเป่าเล่อจะสลบไปแล้ว แต่ร่างกายของเขายังคงสั่นเทาไม่หยุดโดยที่เจ้าของร่างไม่ได้รู้สึกตัว แขนขาของเขาดิ้นพราดเหมือนถูกไฟช็อต สะบัดขึ้นสะบัดลงเหมือนไส้เดือนบนพื้นแห้งๆ

ภาพนี้ไม่เพียงทำให้อสูรร้ายที่รายล้อมอยู่ตกใจ แต่ยังทำให้วิญญาณวุธทั้งสามที่ปรากฏตัวขึ้นมาดูสถานการณ์เพราะรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติตกใจด้วย พวกเขายืมล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้ จ้องมองร่างที่ชักกระตุกของชายหนุ่ม พากันอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง

“นี่มัน… เจ้านายคนใหม่ของเราคงไม่ได้ตายลงท่านี้หรอกใช่ไหม” เสี่ยวเปาพึมพำด้วยสายตางุนงง ภาพตรงหน้าของเขาเหลือเชื่อและเกินความคาดคิดไปมาก

ราชครูเฒ่าที่ยืนอยู่ตรงมุมกระแอมกระไอ ก่อนมองเด็กชายด้วยสายตาชื่นชม ก่อนจะตบศีรษะตนเองด้วยมือขวา

“ทำได้ดีมาก!”

เด็กชายมีสีหน้างุนงง เขาไม่เข้าใจว่าชายชราหมายความว่าอย่างไร แต่ไม่นานก็เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นและตกใจจนตัวแข็ง เขารู้แล้วว่าหวังเป่าเล่อกินโอสถที่เขาบอกว่ากินได้ไม่มีปัญหาเข้าไป…

“นี่มัน… นี่มัน…” เสี่ยวเป่าน้ำตาคลอหน่วย เมื่อเห็นราชครูเดินเข้ามาหาเพื่อจะตบบ่า แววตาของเด็กชายก็วาบด้วยความอำมหิต เขากำลังจะโต้กลับ แต่ชายร่างหนาประจำเรือสำปั้นแห่งความมืดก็พูดขึ้นมาก่อนอย่างใจเย็น

“พอได้แล้วพวกเจ้าทั้งสอง เจ้าไม้พายเฒ่าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด นายท่านต่างหากที่หักยาเองก่อนกิน ปกติแล้วชั้นนอกของยาสร้างมาเพื่อให้รสชาติของส่วนผสมภายในไม่ออกฤทธิ์ แต่นายท่านเป็นชายที่แข็งแกร่งมาก ร่างกายของเขาทนทานด้วยน้ำหนักซึ่งมากเกินปกติ นายท่านไม่เป็นไรหรอก!” วิญญาณเรือพูด พลังปราณระเบิดเป็นคลื่นออกจากร่างหวังเป่าเล่อที่ยังชักกระตุกอยู่ ตอนแรกพลังนั้นไหลบ่าออกจากท้องของเขาเหมือนสายน้ำ ไม่นานนักก็แปรสภาพเป็นสายธารเชี่ยวกรากภายในกาย

กว่าวิญญาณเรือจะพูดจบ กระแสปราณนั้นก็กลายสภาพเป็นมหาสมุทรที่ซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง พลังปราณทะลักออกจากรูขุมขนหวังเป่าเล่อ ก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นหมอกวิญญาณที่แพร่กระจายไปทุกทิศทาง

หวังเป่าเล่อที่หมดสติอยู่โดนกระตุ้นจากปราณที่หลั่งไหลจึงตื่นขึ้นมาชั่วครู่ แม้เขาจะยังงุนงง แต่ก็ปลุกพลังของกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ตอนนั้นเองเสียงคำรามของสายฟ้าบ้าคลั่งก็ระเบิดออกจากร่างของชายหนุ่ม พลังปราณถูกดูดเข้าไปในสายฟ้านั้น พุ่งตรงไปยังเส้นปราณทั่วร่างหวังเป่าเล่อ ไม่นานนักก็แทรกซึมเข้าไปในดอกบัวตูมดอกที่สาม ส่งให้กลีบดอกเริ่มผลิแย้ม!

พลังปราณที่ไหลเข้าแก่นในไปนั้น เปรียบเสมือนยาบำรุงและปุ๋ยเร่งที่ทำให้กลีบดอกบัวคลี่ออก จนกลายเป็นดอกบัวที่ใกล้บาน ในเวลาเดียวกันนั้น สายฟ้ารูปคันศรก็อุบัติขึ้นในกายเขา ก่อนวิ่งพล่านไปทั่วร่างหวังเป่าเล่อ

กระบวนการนี้กินเวลาทั้งหมดหกชั่วโมงด้วยกัน ในที่สุดการระเบิดของพลังปราณก็ค่อยๆ สงบลง ร่างของหวังเป่าเล่อกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง ความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสกระจายไปทั่วร่าง จนทำให้ชายหนุ่มต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ

วิญญาณวุธทั้งสามหายตัวไปก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้สติ

ชายหนุ่มร้องครวญครางด้วยร่างที่สะบักสะบอม และพยายามยันตัวลุกขึ้น เขาตัวสั่นเมื่อจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะหมดสติไป รสเปรี้ยวและเผ็ดนั้นทำให้จิตใจของเขาเย็นเยียบด้วยความกลัว สัญชาตญาณแรกบอกให้ตนเองล้มเลิกความพยายามนี้เสีย แต่ในตอนนั้นเองชายหนุ่มก็เบิกตากว้าง เขารู้สึกได้ว่าดอกบัวตูมภายในกายได้กลายเป็นดอกบัวที่ใกล้บานแล้ว!

ได้ผลจริงเสียด้วย! หวังเป่าเล่อทั้งประหลาดใจและดีใจ เขารีบลุกขึ้นยืนและปล่อยพลังปราณออก ชายหนุ่มโบกมือ กระแสไฟฟ้าวาบออกจากมือพร้อมเสียงระเบิดน่ากลัว หวังเป่าเล่อคะเนความรุนแรงของสายฟ้านั้นดู และสรุปได้ว่าพลังสายฟ้าขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ของตนได้พัฒนาขึ้นไปอีก จนเทียบเท่าขั้นกำเนิดแก่นในแบบครึ่งใบโดยที่ไม่ต้องใช้พลังจากแก่นในแห่งความมืดด้วยซ้ำ

นี่ขนาดกินเข้าไปเพียงครึ่งเม็ดเองนะ!

ผลลัพธ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อมีความสุขมาก เขารีบหยิบยาอีกครึ่งเม็ดที่เหลือขึ้นมากลืนลงไปอีกครั้ง ร่างทั้งร่างพลันแข็งทื่อ ชายหนุ่มบีบคอตนเองแน่น ก่อนลมตึงลงไปบนพื้นพร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด หวังเป่าเล่อชักกระตุกขณะสติค่อยๆ มืดดับลง วิญญาณวุธทั้งสามปรากฎกายขึ้นอีกครั้งเพื่อสังเกตการณ์…

“แข็งแกร่งดุจเทพเจ้า!”

“ช่างเป็นคนที่อำมหิตอะไรเช่นนี้!”

“ทรงพลังเหลือเกิน!” วิญญาณวุธทั้งสามพูดคุยกันเอง เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่ตายเพราะฤทธิ์ยา พวกเขาพากันหายไปอีกครั้งก่อนที่หวังเป่าเล่อจะกลับมาได้สติ

ชายหนุ่มเดินหน้าทรมานตนเองแลกกับขั้นปราณต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่อยากกลืนยาเข้าไปทั้งเม็ด แต่เขารู้สึกว่าตนเองควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากรีบร้อนเกินไปอาจตายได้โดยไม่คาดคิด

ความจริงแล้วหวังเป่าเล่อคิดถูกที่ทำเช่นนี้ หากเขากินยาเข้าไปทั้งเม็ดภายในคราวเดียว เขาอาจรอดชีวิตมาได้ แต่ก็คงบาดเจ็บปางตาย การแบ่งโอสถกินทีละครึ่งทำให้ร่างกายของเขาดูดซึมฤทธิ์ยาได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะเจ็บปวดมาก แต่ก็ไม่ได้มีผลข้างเคียงอื่น

ดังนั้นหลังจากที่กินโอสถเข้าไปครับสองเม็ดถ้วน ร่างของชายหนุ่มก็ปล่อยสายฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง ดอกบัวดอกที่สามเบ่งบานเต็มที่ เผยให้เห็นฝักบัวที่อยู่ตรงกลางซึ่งเป็นแก่นในแห่งอัสนี!

ไอของแก่นในอัสนีแผ่ออกจากร่างของหวังเป่าเล่อ ก่อนกระจายออกทั่วทุกสารทิศ ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความตื่นเต้นอัศจรรย์ใจ

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่ามีคนอื่นที่มีแก่นในคู่เหมือนเขาหรือไม่ แต่หลังจากลองทดสอบพลังของมันดู ชายหนุ่มก็รู้ว่าแก่นในทั้งสองทำหน้าที่เหมือนจุดส่งผ่านของพลังปราณ เมื่อเขาปล่อยพลังปราณเข้าไปในดอกบัวแก่นในแห่งอัสนี พลังที่ไหลออกจากกายจะเป็นพลังปราณกำเนิดแก่นในสายฟ้า

เมื่อเขาปล่อยพลังปราณเข้าไปในแก่นในแห่งความมืด พลังปราณแห่งความมืดก็จะปรากฏออกมา

แก่นในทั้งสองทำงานสอดประสานกัน แม้จะยังไม่ราบรื่นมากนัก แต่ดูเหมือนว่าหากใช้จนร่างกายเคยชินและชำนาญกว่านี้ เขาคงสามารถสับเปลี่ยนพลังระหว่างสองแก่นได้ไม่สะดุดระหว่างการต่อสู้!

อีกความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อแปลกใจ คือพลังปราณเข้มข้นที่หมุนวนอยู่ในร่างกาย และจำนวนเส้นปราณทั่วร่างที่เพิ่มมากขึ้น เส้นปราณและพลังปราณของหวังเป่าเล่อสำแดงฤทธิ์ไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่เขาบรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นในแห่งความมืด เมื่อเส้นปราณกระจายไปทั่งร่าง พลังปราณก็ทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน ตอนนี้เส้นปราณและพลังปราณของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นสองเท่าจากการมีแก่นในสองแก่น!

นี่ทำให้พลังการต่อสู้ของชายหนุ่มแซงหน้าคนในระดับเดียวกันไปมาก แม้เขาจะยังเป็นผู้มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในขั้นต้นเท่านั้น!

ชายหนุ่มปลื้มปริ่มเป็นอันมากเมื่อรับรู้ความจริงข้อนี้ เขาวางทุกอย่างลงและตัดสินใจออกจากเกราะคุ้มกันที่สร้างไว้ก่อนหน้า หวังเป่าเล่อเดินออกจากโลกใต้ดินด้วยความกระตือรือร้น ขณะที่วิญญาณวุธทั้งสามเฝ้ามองเขาด้วยความเคารพ ชายหนุ่มเดินไปยังทางใต้ดินของนครอาวุธเทพใหม่ ตบพุงตนเองอย่างภาคภูมิใจ และหยิบแหวนสื่อสารของตนมาติดต่อหาเจ้านครดาวอังคาร แต่ท่านเจ้านครไม่รับสาย เขาจึงทิ้งข้อความเอาไว้ให้แทน

“ท่านเจ้านครขอรับ หวังเป่าเล่อผู้นี้ไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง หลังจากที่ถือสันโดษฝึกวิชาอยู่หลายเดือน ข้าก็บรรลุขั้นการฝึกตนอย่างง่ายดาย บัดนี้ข้า… เป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset