หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 131.1 ถอนคำสาป (1)

บทที่ 131 ถอนคำสาป (1)

Ink Stone_Romance

จวนคุณชายมีบ่าวจำนวนมาก ความเห็นก็ยิ่งมีต่างๆ นานา ช่วงบ่าย ข่าวว่าซูมู่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายก็แพร่สะพัดไปทั่วจวน
ว่ากันว่าซูมู่ไม่ยินดีที่จะอยู่ในเรือนจู๋เยวี่ย จึงขอร้องให้ฮูหยินน้อยย้ายตนกลับไปยังเรือนชิงเฟิง ทว่าฮูหยินน้อยไม่เห็นดีเห็นงามด้วย ซูมู่จึงขุ่นเคืองใจ ประจวบเหมาะกับในตอนนั้นฮูหยินน้อยถูกวางยาพอดี ซูมู่ย่อมถูกเพ่งเล็ง นางจึงกระโดดน้ำเพื่อยืนยันในความบริสุทธิ์ของตน
แน่นอนว่ามีบ้างที่บอกว่าซูมู่กระโดดน้ำเพราะไม่อาจทนความเศร้าโศกได้
แทบไม่มีผู้ใดสนใจเหตุผลที่ซูมู่ถูกย้ายออกจากเรือนชิงเฟิงแล้ว สิ่งที่พวกเขาสนใจก็คือฮูหยินน้อยเป็นคนช่วยซูมู่เอาไว้
“ใครบอกกันว่าฮูหยินน้อยย้ายซูมู่ไปอยู่เรือนชิงเฟิงเพราะไม่ชอบนาง? หากไม่ชอบจริงๆ เหตุใดไม่ปล่อยให้นางจมน้ำตายไปเล่า?” สาวใช้ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสวนผลไม้เอ่ยขึ้น
เพื่อนอีกคนหนึ่งพยักหน้า “ฮูหยินน้อยรักพี่รองมาก ทุกวันต้องให้คนนำอิงเถาไปส่งให้ที่สำนักบัณฑิต”
สาวใช้ครุ่นคิด “เช่นนั้น ที่ฮูหยินน้อยย้ายนางไปอยู่เรือนจู๋เยวี่ยก็นับว่าให้เกียรตินางแล้ว”
เพื่อนตอบว่า “ก็ใช่น่ะสิ ข้างกายของฮูหยินน้อยมีจื่อซู ทั้งยังมีเถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์ที่มาอยู่ก่อน ซูมู่อยู่ในเรือนชิงเฟิงย่อมต้องอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่นางไปยังเรือนจู๋เยวี่ยก็ได้เป็นสาวใช้ใหญ่ทันที หากถูกตาต้องใจคุณชายรองสกุลอวี๋เข้าละก็…”
ก็จะกลายเป็นสาวใช้ประจำห้อง ถ้าหากโชคดีก็อาจได้เป็นภรรยาของคุณชายรอง ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าอยู่ในเรือนชิงเฟิงเป็นไหนๆ
นอกเสียจากว่า…
นางตั้งใจจะยั่วยวนคุณชาย เพื่อให้ได้เป็นอนุภรรยาของคุณชาย
หากเป็นเช่นนั้นจริง ที่ฮูหยินน้อยลงโทษให้นางออกจากเรือนชิงเฟิงก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
ไม่ว่าความจริงเป็นอย่างไร ประเด็นหลักของเรื่องนี้ก็ได้เปลี่ยนจากอวี๋หวั่นไม่ชอบหน้าสาวใช้คนหนึ่งไปเป็นซูมู่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเป็นที่เรียบร้อย
“ข้าละคิดว่านางจะเป็นคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวเสียอีก ไม่นึกเลยว่าจะสร้างเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ บ่าวอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพาเจ้านาย เจ้านายให้ทำสิ่งใดก็ต้องทำ อยากให้ย้ายไปไหนก็ต้องไป นางใกล้ชิดกับคุณชายน้อยจนลืมตัวไปกระมัง? ยังกล้าขอร้องให้ฮูหยินน้อยย้ายนางกลับมา พอไม่ให้ย้ายกลับก็กระโดดน้ำ ประชดใครหรือ?”
จากยืนยันความบริสุทธิ์และทนความเศร้าโศกไม่ไหว บัดนี้ได้กลายเป็นว่าซูมู่ตีโพยตีพายเสียเอง
“นั่นน่ะสิ ประชดใครกัน? เหตุใดฮูหยินน้อยบังเอิญไปอยู่ตรงนั้นพอดี? ถ้าถามข้า ข้าว่านางคงคำนวณไว้แล้ว จึงจงใจกระโดดลงไปในน้ำให้ฮูหยินเห็นกระมัง?”
การปรากฏตัวของอวี๋หวั่นทำให้บรรดาสาวใช้เข้าใจได้ทันที มิเช่นนั้นจะว่ากันว่าสตรีสามคนละครหนึ่งเรื่อง[1]หรือ? สมองของพวกนางสามารถจินตนาการไปได้ต่างๆ นานา
หากจะบอกว่าซูมู่ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้มาก แต่นั่นมิได้รวมกับการกระโดดน้ำจบชีวิตตนเองเพื่อประชดผู้อื่น กระนั้นนางมีคำอธิบายหรือไม่เล่า?
นางสร้างความลำบากให้อวี๋หวั่นมาไม่รู้กี่ครั้ง ตอนนี้อวี๋หวั่นจะทำให้นางลำบากเป็นเท่าตัว
อวี๋หวั่นนั่งอยู่ในห้อง กำลังฝึกจัดดอกไม้ เธอชอบต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่สุด ในฤดูร้อนเมื่อมีต้นไม้ชนิดนี้ ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าเด็กๆ จะถูกยุงกัด เธอชอบต้นปั๋วเหอ(ต้นมิ้นต์)รองลงมา เพราะทำให้สมองปลอดโปร่ง มีสมาธิ
สาวใช้ในห้องต่างก็มุมปากกระตุก ท่านจัดดอกไม้จริงๆ หรือ? แน่ใจหรือว่าไม่ได้จัดต้นไม้…
ฝูหลิงเข้ามาในห้อง รายงานข่าวลือและเรื่องซุบซิบนินทาตามคำสั่งของอวี๋หวั่น
สีหน้าของทุกคนในนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล พวกนางมองไปยังอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “เฮ้อ ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้? เอาละ พวกเจ้าไปดูแลซูมู่ให้ดี อย่าให้นางได้ยินเรื่องพวกนี้ ไม่เช่นนั้นนางจะเศร้าใจยิ่งกว่าเดิม จื่อซูอยู่ก่อน ฝูหลิงเจ้าไปบอกห้องครัวเล็กให้ต้มโจ๊กให้ซูมู่”
พวกนางทยอยออกไป หลีเอ๋อร์ซึ่งออกไปเป็นคนสุดท้ายปิดประตูให้อวี๋หวั่น
ไม่มีใครนึกสงสัยว่าเหตุใดจื่อซูจึงเป็นคนเดียวที่ถูกเรียกให้อยู่ในห้องต่อ จื่อซูเป็นหัวหน้าสาวใช้ ฮูหยินน้อยคงมีเรื่องต้องบอกหรือไต่ถามนาง
ในห้องไม่มีคนอื่นแล้ว อวี๋หวั่นจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ามีเรื่องจะถามข้าหรือไม่?”
จื่อซูหลุบตา สองมือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น
“อยากถามก็ถาม” อวี๋หวั่นปักต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงลงในแจกัน
จื่อซูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองอวี๋หวั่นอย่างพินิจพิจารณา ในที่สุดก็เอ่ยถามความสงสัยซึ่งซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ “ซูมู่นาง…นางวางยาพิษฮูหยินจริงหรือเจ้าคะ?”
“เปล่า” อวี๋หวั่นตอบทันควัน
“เช่นนั้นสารหนูในน้ำชา…” จื่อซูเอ่ยปากถาม สมองย้ำเตือนนางว่าไม่ควรถามต่อ แต่หัวใจของนางกลับหุนหันพลันแล่นเหลือเกิน
อวี๋หวั่นมิได้ทำให้นางต้องอึดอัดนานเกินไป จึงเอ่ยปากพูดแทนว่า “มิผิด ข้าใส่เอง”
จื่อซูอ้าปากค้าง
จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็มิได้อยู่เหนือความคาดหมาย ทว่าเดาออกนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ได้ยินอวี๋หวั่นยอมรับด้วยตนเองนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ท่าทางสงบนิ่งของอวี๋หวั่นนั้นดูประหนึ่งกำลังสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศอย่างไรอย่างนั้น เธอหักกอดพุดซ้อนออกมา การเลี้ยงต้นพุดซ้อนจนมีดอกในฤดูกาลเช่นนี้มิใช่เรื่องง่าย ลุงวั่นทำได้ถึงเพียงนี้ อวี๋หวั่นก็อดชื่นชมไม่ได้
“ยังอยากถามอะไรอีกหรือไม่?”อวี๋หวั่นถาม
สายตาของอวี๋หวั่นไม่ได้อยู่ที่จื่อซูแม้แต่น้อย กระนั้นจื่อซูกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อึดอัดยิ่งกว่าครั้นเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮาเสียอีก
“ซูมู่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายจริงหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าไม่ใช่” อวี๋หวั่นตอบ
จื่อซูกำผ้าเช็ดหน้าแน่นยิ่งกว่าเดิม หากจื่อซูไม่ได้กระโดดน้ำเพื่อจบชีวิตตนเอง เช่นนั้นฮูหยินก็ไม่ได้ช่วยชีวิตจื่อซู ทั้งหมด…
“ทั้งหมดล้วนเป็นวิธีที่ข้าใช้กำราบนาง”
ราวกับสมองถูกโจมตีอีกระลอก หัวใจของจื่อซูเต้นระรัว
รู้ความลับของฮูหยินน้อยมากมายถึงเพียงนี้ ถึงจะบอกว่าได้รับความไว้วางใจ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องดี หากเมื่อใดนางเผลอทำความลับนี้หลุดปากออกไป นางก็ทำได้แต่รอรับโทสะของฮูหยินน้อยเท่านั้น
อวี๋หวั่นมิได้บอกจื่อซูว่าซูมู่ทำความผิดอะไรไว้ และไม่ได้แก้ต่างว่าตนกำลังแก้เผ็ดในสิ่งที่ซูมู่ทำเอาไว้ วั่นมามากล่าวไว้ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี แต่ต้องเป็นคนฉลาด และตอนนี้ก็มีเพียงคนชั่วที่ฉลาด ผลของการหักหลังคนชั่วนั้นร้ายแรงกว่าการหักหลังคนดีไม่รู้เท่าไร
จื่อซูมีไหวพริบปฏิภาณดีกว่าสาวใช้อีกหลายๆ คน บางเรื่องก็ไม่อาจปิดบังนางได้ การเป็นคนดีไม่อาจหยุดยั้งนางได้ นางทำความผิดก็คงรู้สึกว่าอวี๋หวั่นจะให้อภัยนาง เพราะฉะนั้นต้องทำให้นางรู้ซึ้งถึงโทษของการกระทำผิด
ความกลัวปรากฏในดวงตาของจื่อซู “ฮูหยินน้อยโปรดวางใจ บ่าวจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ” ฝูหลิงเดินมาพอดี
“เข้ามา” อวี๋หวั่นบอก
ฝูหลิงผลักประตูเข้ามา ในมือของนางถือกล่องอาหาร “โจ๊กของซูมู่ทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นตัดดอกพุดซ้อนพลางบอกว่า “ดีมาก ไปป้อนให้ซูมู่กินที่เรือนจู๋เยวี่ย ให้นางกินให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คำเดียว”
นัยน์ตาของจื่อซูกระตุกวูบหนึ่ง แล้วมองไปยังกล่องอาหารในมือของฝูหลิง
“เจ้าก็ไปด้วย” อวี๋หวั่นบอก
จื่อซูตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าอวี๋หวั่นสั่งตนเอง นางค้อมกายเล็กน้อย แล้วเดินออกจากเรือนชิงเฟิงไปพร้อมกับฝูหลิง
ไม่ว่าอย่างไรจื่อซูก็มิได้โง่เขลา นางฉลาดเฉลียวด้วยซ้ำไป อวี๋หวั่นพูดไปเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งนางก็สามารถเข้าใจได้ทันที
การป้อนโจ๊กให้ซูมู่กินนับว่าเป็นขั้นแรกของการแสดงความภักดีต่ออวี๋หวั่น นั่นเป็นเพราะในนั้นอาจใส่ของไม่ดีเข้าไป แต่ซูมู่ช่วยชีวิตตนเอาไว้ หากตนใจอ่อนไม่ยอมป้อนให้ซูมู่กิน เช่นนั้นก็นับเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของฮูหยิน
ทั้งสองเข้าไปในเรือนจู๋เยวี่ย
ปั้นซย่ากำลังดูแลซูมู่ซึ่งใบหน้าซีดเผือด
แม้จะตกน้ำไปเหมือนกัน แต่สถานการณ์ของซูมู่นั้นหนักหนากว่าของตนมาก บางทีฮูหยินน้อยอาจไม่ได้มิได้ผลักนางนางตกน้ำเพียงอย่างเดียว ทว่ายังทำอย่างอื่นด้วย เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของจื่อซู ก็พลันเกิดความกลัวขึ้นมา
“ข้ากับฝูหลิงมาแล้ว ไม่มีใครอยู่กับฮูหยิน พวกเจ้ารีบไปรับใช้ฮูหยินที่เรือนชิงเฟิงเถิด” จื่อซูสั่ง น้ำเสียงของนางนับว่านุ่มนวล
เป็นเพราะความกลัว แม้แต่ความหยิ่งยโสทะนงตนก็พลันอันตรธานไปสิ้น ทว่าสาวใช้เหล่านี้ยังเด็กนัก ไม่มีใครคิดมาก พวกนางเพียงแต่คิดว่าวันนี้จื่อซูใจดีเหลือเกิน
ปั้นซย่าและคนอื่นๆ ออกไปแล้ว จื่อซูบอกกับฝูหลิงว่า “พยุงนางขึ้นมา”
ฝูหลิงวางกล่องอาหารลง และเดินไปพยุง (กระชาก) ซูมู่ออกมา
ซูมู่ถูกอวี๋หวั่นสกัดจุดโดยไม่ทันระวังตัว พลังชีวิตได้รับความเสียหาย ร่างกายอ่อนแรง ไม่อาจต่อต้านคนที่กินข้าวมื้อละสิบชามอย่างฝูหลิงได้
จื่อซูมองนางหัวจรดเท้า “ฮูหยินน้อยให้โจ๊กมา เจ้ากินเถิด เปิดกล่องออกแล้วเอาโจ๊กให้นาง”
ประโยคหลังนางบอกกับฝูหลิง
ฝูหลิงหยิบโจ๊กร้อนๆ ซึ่งต้มจากพุทราจีนกับซันเย่า[2]ออกมาแล้วส่งให้ซูมู่ “นี่”
ซูมู่เบือนหน้าหนี “ข้าไม่อยากกิน”
ของของสตรีคนนั้น ใครจะไปรู้ว่าใส่ยาพิษหรือไม่!
จื่อซูบอกว่า “เจ้าไม่อยากกินก็ต้องกิน ฮูหยินบอกว่าให้เจ้ากินจนหมด ไม่ให้เหลือแม้แต่คำเดียว”
ซูมู่มองจื่อซูด้วยสายตาเย็นเยียบ
……………………………………….
[1] สตรีสามคนละครหนึ่งเรื่อง เปรียบเปรยว่าผู้หญิงมาอยู่รวมกันหลายคนแล้วเกิดเรื่อง
[2] ซันเย่า หรือห่วยซัวในภาษาแต้จิ๋ว เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง

 

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset