เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 173 คึกคักหน้าหอวีรบุรุษ (1)

เมืองลี่โจวไม่มีชีวิตชีวาเช่นนี้มาหลายปีแล้ว!

ยามเช้าตรู่ เสี่ยวเอ้อร์ของร้านในหอวีรบุรุษขยับลูกคอร้องเสียงแหลมปลุกให้เมืองลี่โจวครึกครื้นในตอนเช้ารุ่งอรุณ…ทั้งคนที่ฟุบหลับไปบนโต๊ะในหอวีรบุรุษเพราะอาการเมาค้าง ผู้ที่พักโรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้าม เพื่อนบ้านทางซ้ายขวาล้วนแตกตื่นขึ้นมาด้วยเสียงกรีดร้องนี้ รีบวิ่งออกมาด้วยดวงตาที่งัวเงียง่วงนอน บางคนคิดว่ามีคดีฆาตกรรม (อันที่จริงก็ถือเป็นคดีฆาตกรรม) ถือดาบคว้ามีดอยู่ในมือ บางคนคิดว่าเกิดเพลิงไหม้ แบกถังใส่น้ำมาดับไฟ และมีบางพวกมาดูเพื่อความตื่นเต้นโดยเฉพาะ สวมเพียงกางเกงขาก๊วย…อย่างไรก็ตามมีคนทุกประเภท มากมายหลายหลาก แต่เห็นมีคนกว่าสิบคนที่เกือบจะนอนจมกองเลือด บางคนถูกห่วงเหล็กทะลุผ่านกระดูกสะบักแล้วมัดด้วยโซ่เหล็กเป็นพวงอย่างโหดร้าย ทุกคนต่างเงียบกริบโดยมิได้นัดหมาย มองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าก้าวล้ำเส้น จนกระทั่งคนจากจงอี้ถังได้ยินข่าวรีบรุดมาดู

“หลีกทาง! หลีกทาง!” ด้วยพลังมหาศาล คนของจงอี้ถังแยกออกจากคนของทางการ กวาดมองผู้คนที่ร้องครวญครางอยู่บนพื้นเล็กน้อย อารามงุนงง คนที่เป็นหัวหน้าก็เรียกสมุนคนหนึ่งมา สั่งสองสามคำ หลังจากที่คนผู้นั้นเดินจากไป ก็รักษาความสงบเรียบร้อยอย่างระมัดระวัง ทว่าไม่ได้ก้าวข้ามไปแม้แต่ครึ่งก้าวด้วยซ้ำ

“ผู้คุมหวง คนเหล่านี้เป็นใครกัน?” มีคนที่รู้จักคนกลุ่มนั้นเดินเข้าไปหาทันที คนข้างๆ ต่างเงี่ยหูฟัง เมื่อเห็นท่าทีของผู้คุมหวงที่รู้จักคนเหล่านี้อย่างชัดเจน พวกเขาต่างก็สงสัยมากว่าคนเหล่านี้คือใคร

“พวกเขาสองคนในหมู่นั้นเป็นพ่อบ้านเรือนพนาวายุของตระกูลทั่วป๋า!” ผู้คุมหวงรู้โดยไม่ต้องคิดว่าคนเหล่านี้มานอนแอ้งแม้งอยู่ที่นี่ต้องเป็นฝีมือของตระกูลซั่งกวนแน่ ยกเว้นตระกูลซั่งกวนแล้วใครจะกล้าสร้างปัญหาในเมืองลี่โจวออกมาเช่นนี้ ทั้งๆ ที่มีคนอยู่ในระหว่างงานประลองยุทธ์ด้วย ข้ามหน้าข้ามตาจงอี้ถัง จนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากตรงหอวีรบุรุษในย่านใจกลางเมืองเลยทีเดียว!

“คนจากตระกูลทั่วป๋า!” บางคนประหลาดใจ บางคนงงงวย ที่นี่คือลี่โจว เป็นเขตอิทธิพลของตระกูลซั่งกวน ใครกล้าทำเช่นนี้กับญาติพี่น้องของตระกูลซั่งกวน?

“ข้ายังคิดว่าเป็นคนที่โจมตีเรือนสดับวายุในยามวิกาลเมื่อคืนก่อนเสียอีก!” ใครบางคนตะโกนเสียงดัง ดูเหมือนผิดหวังมากแล้วพูดว่า “จริงๆ เลย ยังคิดว่าเป็นตระกูลซั่งกวนที่นำคนที่รนหาที่ตายออกมาแสดงให้สาธารณชนได้เห็นด้วยซ้ำ? จะเป็นคนจากตระกูลทั่วป๋าไปได้อย่างไรกันเล่า?”

ผู้คนที่ได้ยินจิตใจสั่นสะท้าน ใช่แล้ว เรือนสดับวายุเพิ่งถูกโจมตี คนเรือนร้อยที่เข้าไปล้วนไร้ร่องรอย ตระกูลซั่งกวนยังคงปิดปากเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชื่อเสียงสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนได้รับความเสียหาย แม้ตระกูลซั่งกวนจะส่งคนออกไป ฉีกใบปลิวที่กระจัดกระจายตามถนนและตรอกซอกซอย แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ และไม่ได้ไปหาเรื่องแม้กระทั่งหอยุทธภพอี้สื่อ ทำให้คนที่รอดูความตื่นเต้นผิดหวังนัก แต่ยามนี้เช้าตรู่ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้บาดเจ็บสาหัส คนที่สั่งให้คนใช้โซ่ตรวนมัดคนร้อยเป็นพวงมาปรากฏตัวในย่านใจกลางเมืองได้โดยไม่รู้ตัว…ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนสงสัยว่าเป็นฝีมือของตระกูลซั่งกวนหรือเปล่า เพียงแต่ทำไมคนเหล่านี้มาจากตระกูลทั่วป๋าล่ะ?

ทันใดนั้นผู้สังเกตการณ์ก็เงียบลง สบตากันเลิ่กลั่ก กระซิบถกเถียงกัน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้กลุ่มคนนั้น แต่ไม่มีใครเต็มใจจะออกไปแม้สักคนเดียว ล้วนรอดูคนจากตระกูลทั่วป๋าปรากฏตัว ส่วนคนของตระกูลซั่งกวน หลายคนเดาว่าพวกเขาจะไม่เผยโฉมหน้า

อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างนึกไม่ถึงว่า บุคคลแรกที่ปรากฏตัวนั้นไม่ได้มาจากตระกูลทั่วป๋า แต่เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลซั่งกวน เขาขี่อาชาทมิฬที่เขาคุ้นเคยพร้อมกับเด็กรับใช้สองคน มาตรงหน้าหอวีรบุรุษอย่างสบายใจ

“ของเป็นพวงนั่นคืออะไร!” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างรู้ทัน เขาตื่นขึ้นก่อนฟ้าสาง ทั้งได้ร่วมหลับนอนกับมี่เอ๋อร์ที่ยังคงหลับใหลอยู่ แล้วลุกขึ้นท่ามกลางเสียงบ่นตัดพ้อที่คลุมเครือของมี่เอ๋อร์ รีบวิ่งมาดูความตื่นเต้นเป็นพิเศษ

“นายน้อยซั่งกวน ดูเหมือนจะเป็นคนจากตระกูลทั่วป๋า!” ผู้คุมหวงเห็นซั่งกวนเจวี๋ยจากระยะไกลก็เข้ามาทักทาย พอได้ยินก็ตอบทันที แม้จะน้ำท่วมปาก กระนั้นตอนนี้เขาแน่ใจเต็มร้อยแล้วว่าคนเหล่านี้ถูกตระกูลซั่งกวนทำให้เป็นแบบนี้ และผู้สั่งการนั้นแน่นอนคือพญามัจจุราชที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างอ่อนโยนและสง่างามผู้นี้

“ดูเหมือน?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างเย็นชา “ดูเหมือนเป็นอย่างไร? ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูเหมือนหรือ? รบกวนทุกท่านหน่อย ข้าดันอยากเห็น เป็นตัวอะไรกันแน่ที่มาก่อกรรมทำเข็ญบนผืนปฐพีแห่งนี้ในลี่โจวจนถูกร้อยเป็นพวงเนื้อมนุษย์เสียบไม้!”

ตัวอะไร? ก่อกรรมทำเข็ญ? มนุษย์เสียบไม้? ทันใดนั้นเสียงกระซิบกระซาบของทุกคนก็อันตรธานหายไป ดูท่าตระกูลซั่งกวนจะเป็นคนทำเรื่องนี้ถึงเก้าในสิบส่วน มิฉะนั้นคุณชายใหญ่ซั่งกวนจะไม่มองเลยได้อย่างไร และทำการประเมินเช่นนี้โดยไม่ถาม

มีการคาดเดาไปต่างๆ นานาในใจ แต่ผู้เข้าชมต่างก็ขยิบตาและหลีกทางให้ ซั่งกวนเจวี๋ยขี่ม้าไปข้างหน้า มองกราดไปยังคนที่เห็นตัวเองและความกลัวก็ฉายวาบผ่านในดวงตาของพวกนั้น เขาจึงกล่าวอย่างเยียบเย็นว่า “ดูเหมือนจะเป็นคนจากตระกูลทั่วป๋าจริงๆ มีคนหนึ่งหรือสองคนที่ดูคุ้นตา เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาไปล่วงเกินใครที่มิอาจล่วงเกินอะไรได้ เลยกลายสภาพเป็นเยี่ยงนี้ ช่างน่าเศร้าเสียจริง! ผู้คุมหวง มีใครไปแจ้งตระกูลทั่วป๋าหรือยัง?”

“ผู้น้อยได้ส่งคนไปรายงานที่เรือนพนาวายุแล้วขอรับ!” ผู้คุมหวงยกมือคำนับแล้วเอ่ยว่า “นายน้อยซั่งกวน คนพวกนี้รอคนจากเรือนพนาวายุมาจัดการหรือ…”

“พวกเขาเป็นคนจากตระกูลทั่วป๋า ย่อมต้องรอให้บุคคลที่รับผิดชอบของตระกูลทั่วป๋ามาจัดการ!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ผู้คุมหวง รู้หรือไม่ว่าใครคือหัวหน้าที่รับผิดชอบของตระกูลทั่วป๋าและอยู่ที่ไหน?”

ผู้คุมหวงยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เขาโชคไม่ดีจริงๆ ทำไมถึงต้องเจอกับเรื่องยุ่งเหยิงเช่นนี้? แต่เขายังคงยิ้มยกมือคารวะตอบว่า “ผู้น้อยไม่ทราบ นายน้อยซั่งกวนโปรดชี้แนะ!”

“เท่าที่ข้ารู้ ปีนี้ตระกูลทั่วป๋าไม่ค่อยสนใจงานประลองยุทธ์ เวลานี้ยังไม่มีใครเป็นผู้รับผิดชอบในลี่โจวได้!” เสียงของซั่งกวนเจวี๋ยไม่ดัง แต่ผู้ชมรายรอบกลับได้ยินชัดเจนพลางกล่าวว่า “แต่คุณหนูสี่ทั่วป๋าฉินซินของตระกูลทั่วป๋าได้มาที่ลี่โจวเมื่อครั้งจัดงานเทศกาลดอกบัวแล้ว ตอนนี้พักอยู่ในตระกูลซั่งกวน นางเป็นคนเดียวในตระกูลทั่วป๋าที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ต้องรบกวนผู้คุมหวงส่งคนวิ่งไปที่ตระกูลซั่งกวนสักเที่ยว จะต้องเชิญคุณหนูสี่ทั่วป๋ามารับผิดชอบเรื่องนี้!”

คนเดียว? จะต้อง? ผู้คุมหวงฝืนยิ้มพยักหน้า คนข้างกายของเขาก็ออกไปทันที ดูเหมือนตระกูลซั่งกวนให้ไปเชิญใครบางคนมา

“นายน้อย พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ค่อนข้างร้อน ท่านควรนั่งในหอวีรบุรุษและรอชมละครเถอะขอรับ!” เด็กรับใช้ข้างกายซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง

“ก็ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าเบาๆ พลางกล่าวว่า “ทุกคนอย่ายืนที่นี่ เมื่อยแย่เลย ไปนั่งในหอวีรบุรุษกันเถอะ! เยี่ยนเซียง เจ้าบอกเจ้าของร้านว่า วันนี้ตระกูลซั่งกวนเหมาหอวีรบุรุษ ทุกคนรวมอาหารและเครื่องดื่มในบัญชีของตระกูลซั่งกวน!”

“เจ้าค่ะ นายน้อย!” เยี่ยนเซียงตอบเสียงดัง หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยเข้าไปก็พูดกลั้วหัวเราะลั่นว่า “วีรบุรุษจากทั่วทุกสารทิศ จอมยุทธ์ทุกท่าน ข้าคิดว่า จะต้องใช้เวลาสักพักกว่าคุณหนูทั่วป๋าจะมาที่นี่ ทุกคนไม่จำเป็นต้องรอที่นี่ใช่หรือไม่? มิสู้เข้าไปด้านในสั่งอาหารสักสองสามจาน สั่งสุรากาเล็ก ค่อยๆ รอคอยดูความตื่นเต้นและสบายใจด้วยจะดีกว่า!”

ผู้สังเกตการณ์หัวเราะร่วน ยิ่งแน่ใจว่าตระกูลซั่งกวนต้องทำเรื่องนี้แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดตระกูลซั่งกวนถึงแตกคอกับตระกูลทั่วป๋า?

มีคนเท้าสะเอว ขอถามหน่อย พี่ชายเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

คนผู้นั้นหันมาตอบว่า ไม่รู้เขาสิ รอดูละครเดี๋ยวก็รู้กันล่ะ?

“อ่า เคยได้ยินไหม? คุณหนูสี่ของตระกูลทั่วป๋าได้สมญานามนางฟ้าแห่งดอกสาลี่ ว่ากันว่ามีกลิ่นหอมมาแต่กำเนิด เช่นเดียวกับกลิ่นหอมของดอกสาลี่ งานดอกสาลี่แห่งหยางโจวต้องเชิญนางเข้าร่วมทุกปี!” ชายคนแรกดูเหมือนจะเชี่ยวชาญกลิ่นกายของทั่วป๋าฉินซินเป็นอย่างดี

“ไม่รู้เรื่องนี้เลย! แต่ได้ยินมาว่าคุณหนูทั่วป๋าผู้นี้ทุกปีจะใช้เวลาเกือบครึ่งปีอยู่ในลี่โจว โดยพื้นฐานแล้วนางได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่อย่างสมเกียรติจากตระกูลซั่งกวน ถือได้ว่าเป็นคนรักในวัยเด็กกับนายน้อยซั่งกวน ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันโดยไม่ได้คิดอะไรมาก!” ชายคนที่สองดูเหมือนจะรู้ลึกเรื่องสัมพันธ์ส่วนตัวในวัยเด็กมากกว่า

“ไม่หรอกกระมัง! ถ้าเป็นเช่นนั้นนายน้อยซั่งกวนจะแต่งงานกับคนอื่นได้อย่างไรกันเล่า?” ผู้สังเกตการณ์ไม่เชื่อ ลูกผู้น้องที่รักชอบพอในวัยเด็กและเป็นกุลสตรีผู้หนึ่ง ส่วนอีกคนเป็นลูกสาวของพ่อค้าวาณิชที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นล้วนเลือกลูกผู้น้องไม่ใช่หรือ

“ใครบอกว่าไม่ใช่! ข้าจะบอกเจ้าว่า ลูกสะใภ้ของหลานชายของบ้านแม่ย่าซึ่งเป็นลูกผู้น้องของน้องสาวภรรยาของลูกชายคนโตของตาเฒ่าหวังบ้านข้างๆ ข้าเป็นสาวใช้ชั้นสองของตระกูลซั่งกวนที่แต่งออกมานั้น ข้าเพิ่งฟังนางเล่า นางบอกว่าคุณหนูทั่วป๋าสาบานตั้งแต่ยังเด็กว่า ถ้าไม่ใช่ตระกูลซั่งกวนจะไม่แต่งงานด้วยเด็ดขาด มีจิตใจแน่วแน่อยากเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน ข้ายังได้ยินมาว่า ตอนที่นายน้อยซั่งกวนแต่งงาน นางเกือบจะจับดาบและนำกำลังคนบุกไปถล่มฆ่าคนที่เรือนหอที่คุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนจะแต่งงานเป็นสะใภ้ใหญ่ซั่งกวน เรือนที่ว่านั้นก็คือเรือนสดับวายุที่เกิดเหตุเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ต่อมาไม่ประสบความสำเร็จ จึงปลอมตัวเป็นชายไปดื่มสุราลืมทุกข์ที่หอคณิกาของเยวี่ยหนูเจียว และถูกจับได้ ตอนนี้ชื่อเสียงอะไร กุลสตรีผู้โด่งดังเสียหายป่นปี้ไปหมด แม้แต่คนทาบทามก็กลัวหนีไปสิ้น” เมื่อชายคนที่สองเห็นว่าผู้คนที่รายล้อมไม่เชื่อ จึงสาบานอย่างน่าเชื่อถือทันทีว่า “นี่คือเรื่องใหญ่หลวง ถ้าทุกคนไม่เชื่อก็ลองสืบถามได้ ใครบ้างจะไม่รู้ว่าข้าหลี่ซานไม่เคยคุยโวโอ้อวด”

“ข้าว่ามันน่าเชื่อ!” ไม่รู้ว่าอาลักษณ์ที่แต่งตัวดีโผล่ขึ้นมาจากที่ไหน แล้วพูดจาฉะฉานชาญฉลาดว่า “นายน้อยซั่งกวนเพิ่งพูดไปหยกๆ มิใช่หรือ? ปีนี้คนในตระกูลทั่วป๋าไม่ได้สนใจงานประลองยุทธ์สักเท่าใด ยามนี้ยังไม่มีผู้รับผิดชอบมาที่ลี่โจว แต่บอกว่าคุณหนูทั่วป๋าไม่ได้กลับไปตั้งแต่งานดอกบัว ถ้าไม่ใช่มีแผนอื่นใดล่ะก็ นางเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนจะถึงกับอาศัยอยู่ตระกูลซั่งกวนไม่จากไปได้หรือ? อีกอย่าง ผู้คนเหล่านี้คงเป็นคนจากเรือนพนาวายุของตระกูลทั่วป๋า พวกเจ้าลองคิดดูสิ พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?”

“ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?” อาลักษณ์ผู้ชาญฉลาดถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นในฉับพลัน

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนเหล่านี้มาจากเรือนพนาวายุ เช่นนั้นทุกคนเคยลองขบคิดหรือไม่ว่า ไฉนนายน้อยซั่งกวนจึงดูพวกเขาร้องคร่ำครวญตาปริบๆ อยู่ตรงนั่นโดยไม่ยื่นมือเข้าช่วย?” อาลักษณ์ผู้นั้นเหลือบแลไปรอบๆ พลางกล่าวว่า “ข้าว่านะ คนพวกนี้ต้องไปทำให้นายน้อยซั่งกวนขุ่นเคืองอย่างรุนแรง ล่วงเกินอะไรสักอย่าง? เหตุการณ์สำคัญสองเรื่องในลี่โจวเมื่อช่วงสองวันนี้ เหตุการณ์หนึ่งคือกำลังคนที่ไม่ทราบฝ่ายบุกโจมตีเรือนของซั่งกวนในเวลากลางคืน ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งคือสะใภ้ใหญ่ซั่งกวนมีข่าวลือว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด ข้าคิดว่าจริงๆ แล้วสองเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องเดียวกัน นั่นคือมีคนพยายามบุกรุกรานเรือนของซั่งกวน ลอบสังหารสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวน หลังจากคว้าน้ำเหลวกลับไปก็อุปโลกน์สร้างข่าวโคมลอย เพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้คน ต้องการใช้ความคิดเห็นสาธารณะเพื่อฆ่าสะใภ้ใหญ่ซั่งกวน”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร? คาดเดาได้อย่างไร?” มีคนย้อนถามอย่างไม่ไว้วางใจ

“ดูคนพวกนี้ก็รู้แล้ว!” อาลักษณ์ชี้ไปที่กลุ่มคนนั้นแล้วพูดว่า “มีใครบางคนพุ่งเข้าไปในเรือนพนาวายุเพื่อทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ จากนั้นก็ลากมาประจานที่นี่ใช่ไหม? ดูบาดแผลตามเนื้อตามตัวพวกเขาสิ นอกจากบาดแผลที่กระดูกสะบักแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยแผลเป็นมาหลายวัน ในช่วงไม่กี่วันนี้นอกเหนือจากเหตุการณ์เรือนของซั่งกวนแล้ว ยังไม่มีการประลองแข่งขันขนาดใหญ่ในลี่โจวแต่อย่างใด พวกเขาจะบาดเจ็บมาจากไหน? จากประสบการณ์เดินท่องยุทธภพมาหลายปีของผู้น้อย จะต้องเป็นฮูหยินใหญ่ซั่งกวนที่บังคับให้หลานสะใภ้ออกจากเรือน ส่วนคุณหนูทั่วป๋าก่อเหตุฆาตกรรมในยามค่ำคืน ต้องการสังหารสะใภ้ใหญ่ซั่งกวน แล้วเข้ามาแทนที่ กระนั้นไม่คาดคิดว่าคนที่ถูกส่งไปเป็นเหมือนแกะเข้าปากเสือ หายลับเข้ากลีบเมฆไม่มีการกลับมา จึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แพร่กระจายข่าวลือ ตอนนี้นายน้อยซั่งกวนกลับมา ได้ยินความคับแค้นใจจากภรรยาสุดที่รัก โมโหเดือดดาล ตรงไปจับคนที่บุกโจมตีเรือนของซั่งกวนแล้วมาโยนทิ้งไว้ที่นี่”

“ท่านพูดราวกับเห็นด้วยตาตัวเอง! ไม่ทราบว่าท่านเป็นยอดฝีมือผู้ใด!” ในขณะนี้มีคนเลื่อมใส แม้มันอาจจะไม่ใช่ความจริง แต่คำพูดของเขามีเหตุผลน่าฟังมาก สมเหตุสมผลอยู่บ้าง เป็นคนที่เก่งกาจพอตัวทีเดียว

“ไม่บังอาจเป็นยอดฝีมือ! ผู้น้อยเมิ่งเจียงหนาน เป็นเพียงอาจารย์ตัวเล็กๆ ของหอยุทธภพอี้สื่อเท่านั้นเอง!” เมิ่งเจียงหนานโค้งคำนับอย่างสุภาพ ผู้คนรอบข้างถอนหายใจ ที่แท้เป็นเมิ่งเจียงหนานพู่กันที่ทรงพลังที่สุดของหอยุทธภพอี้สื่อ มิน่าเล่าถึงพูดได้ยอดเยี่ยมมาก!

—————-

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset