เธอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ / เธอเปลี่ยนไปเป็นบอส – ตอนที่ 313-314

 

เขาต้องฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด น้องสาวเขาเชื่อในตัวเขา

 

“พี่ไม่จำเป็นต้องเครียดกับเรื่องนี้ ฉันเข้าใจดี” เจี่ยนอีหลิงพูด

 

“ตกลง พี่ชายจะฟังคุณ” ใจของเจี่ยนหยุ่นโม่ในที่สุดก็เป็นอิสระจากความกังวล

 

“ดีมาก พี่เป็นคนไข้ที่ดีที่ยอมรับฟัง”

 

จากนั้น เจี่ยนอีหลิงก็หยิบเข็มประดับขนาดเล็กออกจากกล่องเหล็ก และติดเข้ากับแขนเสื้อของเจี่ยนหยุ่นโม่

 

เมื่อเจี่ยนอีหลิงอายุห้าขวบ เธอชอบติดเข็มประดับให้กับสมาชิกในครอบครัว เข็มเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับจากเธอ พวกมันนั้นเป็นรางวัลสำหรับสมาชิกในครอบครัวของเธอที่อยู่เป็นเพื่อนเธอ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเข็มประดับจากเด็กหญิงตัวเล็กๆของพวกเขา

 

เจี่ยนหยุ่นโม่มองไปที่เข็มบนแขนเสื้อเขา มันไม่สอดคล้องกับอายุเขาเลย แต่อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มแห่งความสุขและความพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา ราวกับว่าเขาได้รับรางวัลในโลกแห่งวิทยาศาสตร์

 

นี่คือการยอมรับจากน้องสาวเขา

 

หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยนหยุ่นโม่ก็พูดเบาๆกับเจี่ยนอีหลิง “อีหลิง พี่ชายสองจะไม่ขอร้องให้น้องอภัยให้กับหยุ่นน่าว พี่ไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น ที่จริงพี่แค่อยากให้น้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พี่ไม่อยากให้น้องเจ็บปวด”

 

จากนั้นเจี่ยนหยุ่นโม่ก็กล่าวต่อไปอีกว่า “พี่จะไม่จากไปในช่วงนี้ ถ้าน้องไม่กลัว พี่จะอยู่กับเจ้าหญิงตัวน้อยของพี่ พี่จะไม่ปล่อยให้ลูกหมาป่าจากข้างนอกพาน้องไป”

 

“ไม่มีลูกหมาป่า”

 

“เด็กโง่ ถ้าเธอสามารถมองเห็นได้ง่ายๆว่าใครเป็นลูกหมาป่า ก็แสดงว่าคนนั้นไม่ใช่ลูกหมาป่า”

 

“ฉันไม่ได้โง่”

 

“ก็ได้ ก็ได้ งั้นฉันโง่ก็ได้ ดีกว่าไหม” เจี่ยนหยุ่นโม่ถามด้วยรอยยิ้ม

 

“นั่นก็ไม่ดีกว่ากันเลย”

 

“ไม่ว่ายังไง ถ้าลูกหมาป่าเข้ามาเพื่อพาน้องไป พี่อาจจะควบคุมอารมณ์รุนแรงของพี่ไม่ได้ ถ้าพี่ลงเอยด้วยการทุบตีใครบางคนและทำลายสิ่งของต่างๆ น้องต้องไม่กลัวพี่ โปรดอย่าบอกว่าภาพลักษณ์ของพี่ในใจน้องถูกทำลายไปแล้ว”

 

อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com

 

“ตกลง”

 

###

 

แขกพิเศษมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหยู

 

หยูซื่อเหมี่ยวและหยูซีนั่งนิ่งตัวตรงหลังจากทักทายแขกคนนี้ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

 

ต่อหน้าพวกเขา ชายสูงอายุกำลังพยายามให้คำแนะนำอย่างจริงจังและจริงใจกับจ๋ายหวินเชิ่ง

 

“หวินเชิ่ง แกอายุมากแล้ว ทำไมแกไม่สนใจสาวๆมากกว่านี้ล่ะ”

 

ชายสูงอายุคนนี้ไม่ใช่ใคร นอกจากปู่ของจ๋ายหวินเชิ่ง ท่านผู้เฒ่าจ๋าย

 

ท่านผู้เฒ่าจ๋ายค่อนข้างผอม เขาสวมเสื้อผ้าธรรมดาสีเทาเข้ม อย่างไรก็ตามเขายังคงดูค่อนข้างสง่าผ่าเผย

 

“ปู่ก็อายุมากแล้วเหมือนกัน ทำไมไม่หาคู่อื่นอีกคนล่ะ”

 

จ๋ายหวินเชิ่งเอนหลังบนโซฟา เขาดูค่อนข้างขี้เกียจ เขาไม่ได้สนใจคำพูดของท่านผู้เฒ่าจ๋ายมากนัก ราวกับว่าคำพูดนั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

 

“แกพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน ฉันกำลังรอให้แกให้หลานฉันอยู่” ท่านผู้เฒ่าจ๋ายตะโกนออกมาด้วยความโกรธ เขาโกรธจ๋ายหวินเชิ่งมากจนหนวดเคราเขาแทบจะตั้งขึ้น

 

“ไปคุยกับอารองสิ เขายังอายุไม่มาก เขาน่าจะไม่มีปัญหาในการให้หลานอีกสองสามคนในวัยของเขา”

 

น้ำเสียงของจ๋ายหวินเชิ่งนั้นอิดโรยและเกียจคร้าน มันช่างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความเร่าร้อนของท่านผู้เฒ่าจ๋าย

 

“พวกแกก็มัวแต่เล่นเกมโยนบอลเข้าประตูกันอยู่” หัวข้อนี้ถูกโยนกลับไปกลับมาในตระกูลจ๋ายตลอง สุดท้ายก็ไม่มีใครอยากหาคู่อยู่ดี

 

จำนวนคนในตระกูลจ๋ายลดน้อยลง ทั้งครอบครัวมีผู้ชายเพียงสามคน

 

“เรียกว่าฟุตบอล” จ๋ายหวินเชิ่งแก้ไข

 

แน่นอนว่าท่านผู้เฒ่าจ๋ายไม่สามารถใช้เหตุผลกับหลานชายเขาได้โดยไม่โกรธ ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น

 

ดังนั้นท่านผู้เฒ่าจ๋ายจึงหันกลับมาถามหยูซี “เจ้าเด็กน้อย ฉันไม่ได้บอกให้นายแนะนำเด็กสาวให้เขารู้จักเหรอ แกไม่ได้เขียนกลับมาบอกฉันว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งที่เข้ากันได้ดีกับหวินเชิ่งเหรอ”

 

หัวใจของหยูซีเหน็บหนาว เขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องถูกท่านผู้เฒ่าจ๋ายถามหาความรับผิดชอบสำหรับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าวันนี้จะมาเร็วขนาดนี้

 

ใครจะคิดว่าท่านผู้เฒ่าจ๋ายที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจะมาเมืองเหิงหยวนจากเป่ยจิงด้วยตัวเอง เพียงเพื่อกดดันให้จ๋ายหวินเชิ่งแต่งงาน

 

 

“เอิ่ม … ท่านผู้เฒ่าจ๋าย… มีเด็กหญิงคนนี้อยู่จริง… อย่างไรก็ตาม นายท่านเชิ่งมองเธอเป็นเพียงน้องสาวเขาเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” หยูซีอธิบายอย่างระมัดระวัง

 

“น้องสาว หมายความว่ายังไงกับน้องสาว ตระกูลจ๋ายของเราขาดแคลนลูกสะใภ้ไม่ขาดแคลนน้องสาว นอกจากนี้ไม่ใช่เรื่องของนายที่จะบอกว่า เขาเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวหรือไม่ใช่” ท่านผู้เฒ่าจ๋ายคำรามออกมา

 

ฝ่ามือของหยูซื่อเหมี่ยวและหยูซีมีเหงื่อไหล จากเสียงคำรามของท่านผู้เฒ่าจ๋าย

 

อา…ท่านผู้เฒ่าจ๋ายและนายท่านเชิ่งกำลังทำสงครามกัน… แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่ปลาที่ไร้เดียงสาในบ่อ…พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด

 

“เธออยู่ที่ไหน พาเธอมาที่นี่” ท่านผู้เฒ่าจ๋ายสั่งหยูซื่อเหมี่ยวและหยูซี

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งคู่ไม่มีใครกล้าตอบโต้

 

“ทำไมปู่ถึงทำเรื่องยุ่งยากสำหรับพวกเขา ถ้าผมไม่สนใจใคร ปู่จะยัดผู้หญิงเข้าไว้ในแขนผมเหรอ”

 

จ๋ายหวินเชิ่งยังคงนอนอยู่บนโซฟา ดูเหมือนว่าเขาอาจจะหลับไปเมื่อใดก็ได้

 

“หวินเชิ่ง แกเป็นลูกคนเดียวในครอบครัวของเรา ปู่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการที่แกจะสร้างครอบครัวแต่เนิ่นๆ”

 

“เอาล่ะ ผมก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว ปู่ไม่กลัวว่าผมจะตายในคืนวันแต่งงานของผมเหรอ”

 

“แกกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไรอีก” ทันทีที่เขาได้ยินจ๋ายหวินเชิ่งพูดถึงความตาย ท่านผู้เฒ่าจ๋ายก็โกรธขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตามจ๋ายหวินเชิ่งไม่ได้กลัวปู่เขา แต่หยูซื่อเหมี่ยวและหยูซีกลับหวาดกลัว พวกเขากลัวมากจนขาหมดเรี่ยวแรง

 

“สิ่งที่ฉันพูดก็คือความจริง”

 

“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนั้น”

 

ต่อหน้าท่านผู้เฒ่าจ๋าย ห้ามไม่ให้ผูกโยงคำว่า ‘ความตาย’ กับจ๋ายหวินเชิ่ง

 

จ๋ายหวินเชิ่งไม่ได้ใส่ใจที่จะโต้เถียงกับท่านผู้เฒ่าจ๋าย เขาเหล่ตาก่อนจะหยิบถ้วยโยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่แช่แข็งที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟข้างๆขึ้นมา ตักขึ้นมาเล็กน้อยแล้วใส่เข้าปาก

 

ท่านผู้เฒ่าจ๋ายพลันหรี่ตาลง และก็สังเกตเห็นว่าจ๋ายหวินเชิ่งกินอะไรอยู่

 

“หวินเชิ่ง แกเริ่มกินของเปรี้ยวหวานพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

ในความทรงจำของเขา ท่านผู้เฒ่าจ๋ายจำได้ว่าหลานชายเขาชอบกินเนื้อสัตว์เท่านั้น โดยทั่วไปเขาจะหลีกเลี่ยงของเปรี้ยวและหวานเหล่านั้น

 

“ไม่นานเท่าไหร่” กระต่ายน้อยจากบ้านถัดไปส่งมันมา ดังนั้น แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจที่จะกินมัน แต่เขาก็ยังต้องพยายาม

 

มันไม่เลวร้ายเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่ดีเท่าเนื้อสัตว์

 

แม้ว่าเขาจะได้รับคำตอบแล้ว แต่ท่านผู้เฒ่าจ๋ายก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ดี “ทำไมอยู่ดีๆถึงเปลี่ยนรสชาติ”

 

“ฉันเบื่อกินเนื้อ” จ๋ายหวินเชิ่งตอบ เขาไม่ได้เปิดเผยอะไรในคำพูด

 

เมื่อเห็นว่า ตนเองไม่สามารถเอาอะไรออกมาจากปากของจ๋ายหวินเชิ่งได้ ท่านผู้เฒ่าจ๋ายก็หันกลับมาและสอบสวนหยูซีต่อ “ผู้หญิงในรูปที่นายส่งให้ฉันครั้งล่าสุดอยู่ที่ไหน”

 

“อืม…ท่านผู้เฒ่าจ๋าย…นายท่านเชิ่งแค่เห็นเธอเป็นน้องสาวจริงๆ…”

 

“ยังไงก็ตาม แม้ว่าเขาจะเห็นเธอเป็นน้องสาว ฉันก็ยังอยากเห็นว่าเธอหน้าตาเป็นยังไง”

 

“นี่…” หยูซีหันหน้าไปมองจ๋ายหวินเชิ่ง หากไม่ได้รับอนุญาตจากจ๋ายหวินเชิ่ง เขาก็ไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลให้ท่านผู้เฒ่าจ๋ายอย่างพล่อยๆ

 

จ๋ายหวินเชิ่งเงยหน้าขึ้นมองและตัดสินใจเร่งให้ปู่กลับไป “หยุดถามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นได้แล้ว ทำไมปู่ไม่กลับไปที่เป่ยจิง ถ้าปู่อยู่ที่นี่นานกว่านี้ คนอื่นก็จะค้นพบ แล้วไม่นาน สวนดอกไม้ของคฤหาสน์ตระกูลหยูก็จะถูกเหยียบย่ำตาย”

 

“แกกล้าพูดแบบนั้นกับฉันได้ยังไง แกก็ยังอยู่ที่นี่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ตอนแรกแกบอกว่าอยากออกมาพักผ่อน แกบอกว่าจะหายไปแค่สองสัปดาห์ ตอนนี้นานแค่ไหนแล้ว ถ้าแกไม่ติดอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ ฉันจะมาที่นี่ไหม นอกจากนี้ฉันก็ก็ลังขอให้หยูซีให้เปิดเผยตัวเด็กหญิงคนนั้นให้ฉันดู ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง”

 

อืม…ยิ่งเขาพูดถึงเรื่องนี้เ ขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่นทะแม่งๆ

 

“เอ้อ เธอขี้กลัวอะไรง่ายๆ ปู่จะทำให้เธอตกใจ” จ๋ายหวินเชิ่งตอบกลับ เขารีบหาข้ออ้าง

 

“หือ ฉันจะทำให้เธอตกใจงั้นเรอะ ฉันน่ากลัวไหม”

 

ท่านผู้เฒ่าจ๋ายหันหน้าไปถามหยูซื่อเหมี่ยว หยูซีและบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆเขา “พวกนายเป็นคนตัดสิน ฉันน่ากลัวไหม”

 

พวกเขาทั้งหมดส่ายหัวโดยพร้อมเพรียงกัน

 

“ดูสิ ฉันไม่ได้น่ากลัว ไม่ต้องกังวลไป”

เธอเปลี่ยนไปเป็นบอส

เธอเปลี่ยนไปเป็นบอส

เธอเปลี่ยนไปเป็นบอส
Status: Ongoing
อ่านนิยาย 大妇 เธอเปลี่ยนปเป็นบอส เรียกว่าใกล้ถึงจุดไคล์แมกซ์แล้วนะครับ ผมละอยากจะ เรียกมันว่าจบภาค 1 เสียด้วยซ้ำไป เสียดายที่ทางต้นฉบับไม่มีภาคหนึ่ง ภาคสอง ขอสปอยล์นิดๆนะว่า พอผ่านช่วงนี้ไป จากอายุ 14 ย่าง 15 นางเอกของเราก็จะกระโดดไป เริ่มกันที่อายุ 18 เลยนะครับ และตอนนั้น ความหวานแหววคู่พระคู่นางก็จะเริ่มมาให้เห็นมากขึ้น เรื่อยๆ อาาาา อดใจติดตามกันต่อไปนะครับ แล้วก็ระวังรักษาตัวเองให้พ้นจากภัยโควิดทุกๆคนนะ ครับ ผมจะแปลงานออกมาเรื่อยๆเป็นเพื่อนแก้เหงายามไม่มีอะไรทำนะครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset