เซี่ยเจิ้งหัวรู้สึกละอายใจต่อเซี่ยฉิงกงมาโดยตลอด เขามักคิดเสมอว่า รอให้ถึงวันที่เซี่ยฉิงกงแต่งงานเสียก่อน เขาจะเลือกบริษัทในเครือที่มีศักยภาพของกลุ่มธุรกิจตระกูลเซี่ยมอบให้เซี่ยฉิงกงเป็นสินสอด ตอนนี้เซี่ยฉิงกงเสนอตัวว่าจะขอรับบริษัทย่อยที่ขาดทุนไปฝึกฝนในการเป็นผู้บริหาร เซี่ยเจิ้งหัวจึงอดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจ
“ฉิงกง พ่อรู้ว่าลูกเป็นคนมีเหตุผล หากแต่บริษัทย่อยแห่งนั้นอยู่ในภาวะขาดทุนมาโดยตลอด ทั้งกำลังจะปิดตัวลงในช่วงปลายปีนี้ หากหนูต้องการฝึกฝน พ่อจะเลือกบริษัทที่มีกำไรให้หนูดีกว่าไหม ? อย่างน้อยหนูก็จะได้นำกำไรเหล่านั้นไปใช้บ้าง”
เซี่ยฉิงกงยิ้มพลางส่ายหน้า
“ไม่ค่ะ คุณพ่อ ถ้าเป็นบริษัทที่มีกำไรอยู่แล้ว จะเรียกว่าฝึกฝนตัวเองได้อย่างไรกันคะ ?”
เซี่ยเจิ้งหัวได้แต่คิดคนเดียวในใจว่า เด็กคนนี้ช่างมีเหตุผลจริง ๆ
“ฉิงกง หนูเป็นเด็กดีมาก ในเมื่อหนูตัดสินใจเช่นนี้ พ่อก็เห็นด้วยกับหนู อย่างไรก็แล้วแต่ หนูก็อย่าได้เสียเวลากับบริษัทในเครือแห่งนั้นมากนักล่ะ ตระกูลเซี่ยของเราเน้นธุรกิจอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมมาโดยตลอด ส่วนธุรกิจด้านอินเทอร์เน็ตนั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราลองทำ เพื่อนำร่องเท่านั้น เป็นเรื่องปกติที่ผลประกอบการมักจะออกมาไม่ดีในช่วงเริ่มต้น”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ หนูจะตั้งใจทำงานนี้อย่างเต็มที่”
เซี่ยฉิงกงยิ้ม พร้อมกับก้มศีรษะลง ขณะเดียวกันเธอก็คิดว่า เพราะนี่คือโครงการนำร่อง จึงง่ายที่จะทำให้เห็นว่าจะล่มหรือรุ่งใช่มั้ย ?
“คุณลุงเซี่ยไม่ต้องเป็นกังวล ผมจะอยู่เคียงข้างฉิงกงเสมอ”
มู่เฉินฮ่าวกุมมือเล็ก ๆ ของเซี่ยฉิงกงเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง
เจินเมี่ยวหยูบีบฝ่ามือของเธอแน่น การแสดงออกบนใบหน้าของเธอกลับมาเป็นเช่นเดิม แววตาของเธอแสนใจดี อ่อนโยนและมีน้ำใจ
จะมีก็เพียงรอยยิ้มที่ปั้นแต่งใส่เซี่ยฉิงกงเท่านั้นที่แลดูปลอมเสียเหลือเกิน
หากมีความสุขจากใจจริง นัยน์ตาของคนเราย่อมต้องหรี่เล็กน้อย ในขณะที่มุมปากก็จะหงายขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
ทว่ารอยยิ้มของเจินเมี่ยวหยู กลับมีเพียงมุมปากเท่านั้นที่ยกขึ้น ทว่านัยน์ตากลับแวววาวผิดปกติ
หลังอาหารมื้อค่ำ ทั้งสามก็กล่าวคำอำลาเซี่ยเจิ้งหัว
มู่จื่อหมิงใช้ชีวิตหลังเกษียณหมดไปกับการตกปลา เขาจึงกลับไปทำกิจกรรมโปรดของตน
มู่เฉินฮ่าวและอาเจิ้งก็แยกตัวกลับไปที่บริษัท เพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ส่วนหมั่นโถวก็พาเซี่ยฉิงกงไปเยี่ยมเซี่ยฉิวเจินที่โรงพยาบาลเอกชนสกุลมู่
ครั้นเซี่ยฉิงกงไปถึงโรงพยาบาล ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ฝนเทลงมา และนั่นส่งผลให้ทั้งเธอ ทั้งหมั่นโถวผู้ซึ่งไม่มีร่มเนื้อตัวเปียกโชก
หลังจากเข้าไปในตึกคนไข้ ทันทีที่เซี่ยฉิวเจินผู้ซึ่งแต่เดิมนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ได้เห็นเซี่ยฉิงกงซึ่งยามนี้เนื้อตัวเปียกโชก เธอก็เป็นกังวล เธอรีบลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูสะอาดมาเช็ดผมให้เซี่ยฉิงกง
“ฉิงกง ฝนตกแบบนี้ หนูไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมแม่ก็ได้ แม่อยู่ที่นี่สบายดีมากเลย เด็กโง่เอ๊ย ! หวังว่าจะไม่เป็นหวัดอีกนะ”
ครั้นได้ยินคำตำหนิของเซี่ยฉิวเจิน เซี่ยฉิงกงพลันรู้สึกจมูกคัดขึ้นมาทันที เธอหวนคิดถึงชีวิตที่ประสบมาก่อนหน้านี้
เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ตนเองจะเป็นทายาทจากตระกูลมั่งคั่งซึ่งหายจากบ้านตั้งแต่ยังแบเบาะ
ส่วนเซี่ยฉิวเจินก็ดูแลใส่ใจเธอเป็นอย่างมาก
“แม่ หนูไม่เป็นไร หนูแค่อยากมาหาแม่น่ะ”
เซี่ยฉิงกงยิ้ม ขณะพยายามกลั้นน้ำตา
ซูเฟยเปิดประตูเข้ามาพอดี เธอมองไปที่เซี่ยฉิงกงพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นายหญิงน้อย คุณอยู่ที่นี่ด้วย”
“ค่ะ ว่าแต่แม่ของฉันเป็นยังไงบ้าง ?”
“เราออกไปคุยกันข้างนอกเถอะค่ะ คุณป้าเซี่ยควรต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่”
“ได้สิ”
ขณะที่เซี่ยฉิงกงเดินตามซูเฟยไปที่ห้องทำงาน เธอก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“หมอซู แม่ของฉันเป็นอะไรมากหรือเปล่า …?”
ซูเฟยหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมายื่นส่งให้เซี่ยฉิงกง
“จากผลการตรวจ พบว่าคุณป้าเซี่ยป่วยมาก ทั้งยังมีเนื้องอกอีกด้วย ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร หลังรับการผ่าตัดก็คงจะดีขึ้น โชคดีที่คุณพามาแต่เนิ่น ๆ หาไม่ หากเนื้องอกพัฒนาไปสู่มะเร็ง อาการก็จะร้ายแรงขึ้น ทว่าปัญหาใหญ่สุดตอนนี้ก็คือหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจของคุณป้าเซี่ยขาดเลือดอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังพบว่าหลอดเลือดหัวใจมีอาการตีบตัน ซึ่งจำเป็นจะต้องเข้ารับการผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจโดยวิธีการดามขดลวด”
***จบตอน อาการป่วยของแม่บุญธรรม***