เฉินฝานซิงไม่พูดจา แผ่นหลังยังคงตั้งตรงไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เพิกเฉยต่อคำพูดของเฉินเชียนโหรว
เฉินฝานซิงก็เป็นแบบนี้ บางครั้งเธอไม่เอ่ยคำใดออกมา ยังสามารถใช้ความเงียบนั้นเหยียบย่ำคนอื่นให้ตกต่ำได้
เฉินเชียนโหรวลอบขบฟันแน่นด้วยความรู้สึกเสียหน้าจากการถูกมองข้าม แต่ซูเหิงกลับอยู่ข้างๆ เธอในตอนนี้
ไม่นานลิฟต์ก็ลงมา เฉินฝานซิงถือกระเป๋าเดินเข้าลิฟต์ไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
ซูเหิงและเฉินเชียนโหรวเองก็ตามเข้าไปเช่นกัน
เฉินฝานซิงเอื้อมมือกดลิฟต์ไปยังแผนกวิจัยและพัฒนาชั้นยี่สิบเอ็ด
ส่วนอีกสองคนข้างหลังเธอไม่ได้หันไปถาม ไม่สนใจ ไม่ไยดี
จากที่คิดว่าอยากพบซูเหิงเพื่อจะได้บอกเรื่องที่จะลาออกกับเขาตรงๆ สุดท้ายต้องมาเจอกับเฉินเชียนโหรวทำให้เธอไม่อยากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
คนประเภทนี้เรียกร้องความสนใจเก่ง แสดงละครเก่ง!
หากเธอพูดเรื่องลาออกกับซูเหิงขึ้นมาตอนนี้ เฉินเชียนโหรวคงอดไม่ได้ที่จะลงมืออีกครั้ง
ทำไมถึงทำให้เธอขยะแขยงได้ขนาดนี้
เมื่อเห็นว่าเฉินฝานซิงกดแค่ชั้นที่ตัวเองต้องการ นัยน์ตาของเฉินเชียวโหรวก็หลุบต่ำลง จากนั้นริมฝีปากอวบอิ่มจึงยกมุมปากขึ้น
เธอเอื้อมไปยังเบื้องหน้าของเฉินฝานซิง กดชั้นที่สูงที่สุดนั่นก็คือชั้นสามสิบหก
ก่อนจะส่งยิ้มให้พี่สาว ดวงตาเหยียดต่ำอย่างยั่วโทสะ
ชั้นสามสิบหก เป็นพื้นที่ส่วนตัวของซูเหิง หากเขาไม่อนุญาตไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์เหยียบเข้าไป
ทว่าตอนนี้ ที่นั่นกลับเป็นที่ที่เฉินเชียนโหรวเข้าออกได้ตามชอบใจ
เธอคิดว่าเฉินฝานซิงจะสนใจ แต่เธอจ้องพี่สาวอยู่นานสองนาน เฉินฝานซิงยังคงแสดงท่าทีไม่แยแสแม้แต่สีหน้าก็ไม่แสดงอาการใดๆ
เธอขบฟันกรอด เดินไปหยุดข้างกายของซูเหิงแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“พี่เหิง ไม่ใช่ว่าอีกเดี๋ยวบริษัทจะมีประชุมภายในระดับสูงหรอกเหรอ ไหนๆ พี่สาวก็มาแล้ว…”
ซูเหิงหน้าขึงเรียบตึง มองแผ่นหลังของเฉินฝานซิงอย่างนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานก่อนจะค่อยๆ เอ่ยขึ้น
“ไหนๆ มาแล้ว ก็คงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เข้าร่วม”
ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไป ไม่ทันที่ซูเหิงจะพูดจบลิฟต์ก็เคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ชั้นยี่สิบเอ็ดแล้ว เฉินฝานซิงเดินออกจากลิฟต์ไปอย่างไม่รั้งรอ
ท่าทีเฉยเมยของพี่สาวทำเอาเฉินเชียนโหรวต้องข่มกลั้นอารมณ์ไว้ คำพูดทุกคำราวกับซัดหมัดลงบนปุยฝ้าย ระบายออกมาไม่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ซูเหิงยังคงจดจ้องอยู่กับแผ่นหนังของเฉินฝ่านซิงด้วยใจสับสน
ดูเหมือนว่าเธอจะตัดใจได้แล้วจริงๆ ไม่ให้อภัยเขาแต่ก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ ตัดขาดชนิดที่ไม่เหลือช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งคู่
ความรู้สึกอย่างกับหัวใจหล่นวูบ เหมือนกันที่โรงพยาบาลครั้งก่อน ราวกับได้สูญเสียบางอย่างไปตลอดกาล
“พี่เหิง ฉันควรทำยังไงให้พี่เขาสบายใจขึ้นได้บ้าง…เห็นพี่เขาเป็นแบบนี้แล้วฉันใจไม่ดีจริงๆ …”
น้ำเสียงอัดอั้นของเฉินเชียนโหรวข้างๆ แว่วขึ้น เสียงนุ่มนวลสั่นเครือ ท่าทางเข้มแข็งจนปัญญาจะทำให้ซูเหิงรู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกครั้ง
เขายื่นมือไปดึงเฉินเชียนโหรวเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน นิ้วมือเชยคางขาวนุ่มนั้นขึ้น ปาดน้ำใสๆ ที่เอ่อล้นที่ปลายหางตา
เฉินเชียนโหรวเพิ่มความน่าเศร้าใจ
“ตั้งแต่พี่เขากลับประเทศมาเมื่อสามปีก่อน ได้กลับไปเยี่ยมคุณปู่แค่สามสี่ครั้งเอง ตอนนี้เธอไม่มีใครมาอยู่ข้างกายคอยปกป้อง…ฉันกลัวว่าเธอจะฝืนตัวคนเดียวต่อไปไม่ไหว…”
คำพูดเห็นอกเห็นใจของเฉินเชียนโหรวทำให้ซูเหิงสงสาร คำพูดเหล่านี้ก็ดันไปสะกิดใจของซูเหิงเข้าพอดี
ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวไม่ค่อยดี แล้วตอนนี้เธอยิ่งไม่ยอมเผชิญหน้ากันดีๆ อีก
เธอใช้ชีวิตตัวคนเดียว…จะไหวจริงๆ น่ะเหรอ
“รออีกสักหน่อยเถอะ รอให้เธอหายโกรธ ฉันจะลองไปคุยดูอีกที เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ เฉินฝานซิงเป็นคนมีเหตุผลมาตลอด เดี๋ยวนานๆ ไป เธอจะต้องเข้าใจพวกเราแน่นอน”
เฉินเชียนโหรวสูดหายใจ พยักหน้าเบาๆ น้ำเสียงนุ่มนวลเจือความกลัดกลุ้ม
“ขอให้เป็นแบบนั้นจริงๆ เถอะ”