ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 880 หนุ่มรูปงามหลี่ว์เสี่ยวซู่

มีสองเรื่องที่หลี่ว์ซู่คาดไม่ถึง เรื่องแรกคือเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่เป็นผู้หญิงและอีกเรื่องคืออิทธิพลของสำนักกระท่อมกระบี่ที่มีมาก  

 

 

หลี่ว์ซู่คิดแล้วคิดอีกอยู่ครึ่งค่อนวัน ถ้าสำนักกระท่อมกระบี่เลือกลูกศิษย์สี่คนจากกองทัพทุกปี เป็นไปได้ไหมที่เขาจะใช้หนทางนี้  

 

 

“ทำไมต้องคัดเลือกจากกองทัพด้วย” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความอยากรู้  

 

 

จางเว่ยอวี่ถอนหายใจและพูดว่า “ที่จริง นายเป็นคนที่สนับสนุนราชาองค์เก่ามากที่สุด ติดตามราชาองค์เก่าราชาทำสงครามมาหลายปี ในตอนนั้นทุกที่ยังไม่สงบสุข ขุมอำนาจต่างๆ ต่างเขม่นใส่กันตลอด สำนักกระท่อมกระบี่จึงคัดเลือกหัวกะทิจากกองทัพแล้วก็ส่งหัวกะทิกลับเข้ากองทัพ ซึ่งนี่คือวิธีการบ่มเพาะบุคลากรให้กองทัพ ต่อมาบ้านเมืองสงบสุขแต่ระเบียบนี้ไม่ได้ถูกแก้ไข สำนักกระท่อมกระบี่ในเวลานั้นไม่ใช่สำนักกระท่อมกระบี่อย่างทุกวันนี้และเมืองหลวงก็ไม่ได้มั่นคงอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”  

 

 

หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้ว ที่แท้คือรักมากแค้นมากนี่เอง?  

 

 

ในตอนนี้จางเว่ยอวี่พูดว่า “ที่จริงคำถามของนายไม่ใช่ว่าจะตอบไม่ได้และไม่ใช่ความลับ ท่านนั้นจากสำนักกระท่อมกระบี่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเมื่อ 18 ปีก่อนและไม่รู้ว่าเดอนทางไปที่ไหน ต่อมานายกลับมาสำนักกระท่อมกระบี่เมื่อ 12 ปีก่อน เพียงแค่วันเดียวก็หายตัวไปอีกครั้ง”  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นสำนักกระท่อมกระบี่ตอนนี้ไม่มีเจ้าสำนักเหรอ” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความประหลาดใจ แบบนี้เขาถือโอกาสลอบเข้าไปได้ซิ แล้วยอดฝีมือท่านนั้นไปที่ไหน หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติดูเหมือนว่าเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ดูสงบเสงี่ยมมากเกินไป  

 

 

จากการคาดเดาของหลี่ว์ซู่ ไม่ควรจะสู้กับราชาแห่งทวยเทพองค์ใหม่ในปัจจุบันสักหน่อยไหม  

 

 

ตอนนี้ยังมองเรื่องราวไม่กระจ่างแต่รู้สึกว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่  

 

 

“อืม เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ได้หายตัวไป เหลือศิษย์ระดับปรมาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าสั่นคลอนสถานะของสำนักกระท่อมกระบี่” จางเว่ยอว่พูด” ตอนนี้สำนักกระท่อมกระบี่แตกกิ่งก้านสาขามากมาย หยั่งรากฝังลึก ต่อให้เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ไม่อยู่แล้วใครจะทำอะไรได้”  

 

 

“แล้ววิธีที่ดีที่สุดในการเข้าร่วมกองทัพตอนนี้คืออะไร” หลี่ว์ซู่สงสัย “ขั้นตอนการคัดเลือกเป็นอย่างไร จะถูกคัดเลือกเข้าสู่สำนักกระท่อมกระบี่ได้อย่างไร”  

 

 

“อยากเข้าร่วมกองทัพนั้นง่ายมาก” จางเว่ยอวี่เหลือบมองหลี่ว์ซู่ “ฉันเคยพูดไว้ก่อนว่าทางออกเดียวสำหรับชาวบ้านคือการเป็นทาส ฉันยอมรับว่าฉันพูดผิดเพราะฉันไม่เคยคิดว่านายอยากเข้าร่วมกองทัพ ความเจริงทางเลือกของชาวบ้านจำนวนมากที่เลี้ยงตัวเองไม่ได้แล้วคือการเข้าร่วมกองทัพเพราะกองทัพไม่เพียงมีอาหารให้กินยังได้ยศตำแหน่งด้วย นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญที่จะเป็นขุนนางใหม่ด้วยแต่มันยากมาก ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเยอะ พวกเขาเข้าร่วมกองทัพเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แง่หนึ่งกองทัพสามารถจ่ายเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวได้ อีกแง่หนึ่งคือการเป็นทหารสามารถลดภาษีได้ 20%”  

 

 

หลี่ว์ซู่ถึงกับบางอ้อ ตอนแรกเขาคิดว่าผู้บัญชาการทหารชิงไซ่อย่างหลิวอี้เจาควรจะเป็นนายทาสใหญ่อะไรพวกนั้น ทั้งกองทัพเป็นทาสของเขา… ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น กองทัพมีทหารที่มาจากชาวบ้านธรรมดามากมาย  

 

 

“แล้วพวกเขาฝึกยังไง” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย  

 

 

“กองทัพมีวิชาพิเศษของกองทัพเอง ระดับไม่สูงแต่เหมาะสำหรับการฝึกทั่วๆ ไป ว่ากันว่าเป็นวิชาที่เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่คิดค้นขึ้น” จางเว่ยอวี่พูด “ดังนั้นบางคนจึงเข้าร่วมเพราะวิชา แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง วิชาพวกนั้นไม่มีทางบำเพ็ญได้ถึงสูงกว่าระดับสี่ หนทางนั้นถูกเจ้าสำนักปิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าอยากได้วิชาที่สูงกว่านั้นก็ต้องสร้างคุณงามความดี… หรือเข้าสำนักกระท่อมกระบี่”  

 

 

ดังนั้นการเข้าสำนักกระท่อมกระบี่จึงเป็นความฝันของทุกคนในกองทัพ ถ้าเข้าสำนักกระท่อมกระบี่ได้ก็เสมือนได้ขึ้นสวรรค์ ลาภยสสรรเสริญต่างใกล้แค่เอื้อม  

 

 

“ถ้านายอยากเข้าร่วมกองทัพ ฉันช่วยนายไม่ได้ การช่วยนายเท่ากับทำร้ายนาย” จางเว่ยอวี่พูด “แต่นายไปสมัครเองได้แต่ขอให้คิดให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจนะ นายมีวิชากระบี่อยู่บ้าง ในสงครามวิชาแค่นั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ตอนนั้นนายล้อมรอบไปด้วยศัตร์ นายยังไม่เคยออกรบไม่มีทางเข้าใจความน่ากลัวของสงครามหรอก ฉันเตือนนายก่อนที่จะมีพลังงอย่าเพิ่งคิดมากขนาดนั้น”  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองจางเว่ยอวี่ ไม่มีอะไรถูกต้องในคำพูดเหล่านี้เลย หลี่ว์ซู่ไม่เพียงมีประสบการณ์ในสงคราม แต่พูดได้ว่ามีประสบการณ์โชกโชน  

 

 

พลังปัจจุบันของหลี่ว์ซู่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนนึกตามไม่ทัน เมื่อคืนหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังคุยกันเรื่องนี้ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าอย่างมากอาจต้องใช้เวลาครึ่งปีให้กลับไปสู่จุดสูงสุดของระดับสอง  

 

 

ตอนนี้มีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ปกป้อง เขาไม่ต้องรีบทำโซ่พวกนั้นแล้ว แต่ต้องพัฒนาการฝึกฝนของตนเองให้ดียิ่งขึ้น วิชากระบี่ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก  

 

 

ดังนั้นจางเว่ยอวี่จึงคิดว่าหลี่ว์ซู่มีแค่วิชากระบี่เล็กๆ น้อยๆ ไม่มีพลัง ไม่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งผิดทั้งนั้น  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ไม่สนใจความเข้าใจผิดของคนอื่นที่มีต่อเขาเช่นนี้ ในตอนนี้การสำรวมเป็นวิธีรักษาชีวิตเขาที่ดีที่สุด  

 

 

หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ที่จริงจางเว่ยอวี่เปิดเผยข้อมูลให้เขามากมายเลย เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องเคยเป็นคนใหญ่คนโตมาก่อน แต่เขาไม่รู้ว่าใหญ่โตแค่ไหนแล้วทำไมเขาถึงตกต่ำเช่นนี่  

 

 

คืนนั้นจางเว่ยอวี่วิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับกองอาหารอย่างลับๆ อีกครั้ง วันนี้เขายัดใส่อกไปจนเต็ม หลี่ว์ซู่เห็นว่าจางเว่ยอวี่วันหนึ่งกินแค่ขนมนึ่งที่ตัวเองพกมาสองชิ้นแล้วก็ซุปผักเท่านั้น ส่วนที่เหลือเขาห่อเก็บไปหมด  

 

 

เห็นได้ว่าเพื่อนเก่าของเขามีความสำคัญในใจเขามากขนาดไหน ไม่เช่นนั้นคนธรรมดาทำแบบนี้ไม่ได้หรอก  

 

 

หวังว่าความยากลำบากที่พวกเขาได้รับจะตอบแทนเขากลับมาสักวันหนึ่ง  

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้มีความคล้ายคลึงกับสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินแต่ก็มีอีกหลายแห่งที่ไม่เหมือน  

 

 

“เธอคิดอย่างไรกับเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่คนนั้น” หลี่ว์ซู่หันไปถามเสี่ยวอวี๋  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองหลี่ว์ซู่ “เธอหายตัวไปไม่ใช่เหรอ ฉันมองยังไงก็ไม่เห็น”  

 

 

[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +99!]  

 

 

“อย่าพูดไร้สาระ เธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร” หลี่ว์ซู่พูด  

 

 

“นายบอกเรื่องที่เธอเดาก็สิ้นเรื่อง ต้องถามฉันทำไม” หลี่วเสี่ยวอวี๋ไม่พอใจ  

 

 

“ฉันเดาว่าเธออาจจะมาจากโลกก็ได้!” หลี่ว์ซู่พูด “ดูจากเรื่องที่เธอต่อสู้กับราชาแห่งทวยเทพ ฉันรู้สึกเหมือนเธอกำลังห้ามใครบางคนที่กำลังเลียนแบบเธอ ฉันสงสัยมากว่าเธอถูกราชาองค์เก่าลักพาตัวมาที่จักรวาลหลี่ว์…”  

 

 

คำโบราณที่พูดว่า คนบ้านเดียวกันมาเจอหน้า น้ำตานองอาบสองแก้ม ถ้าหากเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่เป็นมนุษย์โลกละก็ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าเขามีที่พึ่งบนจักรวาลนี้แล้ว  

 

 

“มีความเป็นไปได้ไหม” หลี่ว์ซู่มองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ด้วยแววตาลุกโชน” ที่เธอเป็นคนจากหอกระบี่?”  

 

 

หอกระบี่ กระท่อมกระบี่ ต่างกันแค่คำเดียว แล้วมีความเป็นไปได้ที่มาจากโลกด้วย ความเป็นไปได้ที่เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่มาจากหอกระบี่จึงไม่ใช่ว่าจะไม่มี  

 

 

“ถึงใช่แล้วอย่างไง” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดประโยคเดียวเข้าประเด็นสำคัญ “เธอหายตัวไปแล้ว ต่อให้พวกเราชาวโลกก็หาเธอไม่เจอ”  

 

 

“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันยังคิดหาวิธีไปสำนักกระท่อมกระบี่ดูสักหน่อย” หลี่ว์ซู่พูดน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันสงสัยทั้งเรื่องตำราที่หอสมุดหรือเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ คำตอบอยู่ที่สำนักกระท่อมกระบี่นั่นแหละ”  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เอามือเท้าคางและพูดอย่างเมินเฉย “อยากไปก็ไปซิ”  

 

 

พอเธอนึกถึงที่นั่นมีคนบ้าหนุ่มหล่อก็รู้สึกปวดหัว ไม่รู้ว่าจักรวาลหลี่ว์นี่มันเป็นอย่างไรกันถึงมองคนอย่างหลี่ว์เสี่ยวซู่เป็นมาตรฐานของหนุ่มรูปงาม ตาบอดหรือเปล่า!  

 

 

ถึงเธอไม่อยากไปแต่ถ้าหลี่ว์เสี่ยวซู่อยากไป เธอก็จะไปด้วย  

 

 

เพราะหลี่ว์ซู่ก็ทำเช่นนี้  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset