มีสองเรื่องที่หลี่ว์ซู่คาดไม่ถึง เรื่องแรกคือเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่เป็นผู้หญิงและอีกเรื่องคืออิทธิพลของสำนักกระท่อมกระบี่ที่มีมาก
หลี่ว์ซู่คิดแล้วคิดอีกอยู่ครึ่งค่อนวัน ถ้าสำนักกระท่อมกระบี่เลือกลูกศิษย์สี่คนจากกองทัพทุกปี เป็นไปได้ไหมที่เขาจะใช้หนทางนี้
“ทำไมต้องคัดเลือกจากกองทัพด้วย” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความอยากรู้
จางเว่ยอวี่ถอนหายใจและพูดว่า “ที่จริง นายเป็นคนที่สนับสนุนราชาองค์เก่ามากที่สุด ติดตามราชาองค์เก่าราชาทำสงครามมาหลายปี ในตอนนั้นทุกที่ยังไม่สงบสุข ขุมอำนาจต่างๆ ต่างเขม่นใส่กันตลอด สำนักกระท่อมกระบี่จึงคัดเลือกหัวกะทิจากกองทัพแล้วก็ส่งหัวกะทิกลับเข้ากองทัพ ซึ่งนี่คือวิธีการบ่มเพาะบุคลากรให้กองทัพ ต่อมาบ้านเมืองสงบสุขแต่ระเบียบนี้ไม่ได้ถูกแก้ไข สำนักกระท่อมกระบี่ในเวลานั้นไม่ใช่สำนักกระท่อมกระบี่อย่างทุกวันนี้และเมืองหลวงก็ไม่ได้มั่นคงอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้ว ที่แท้คือรักมากแค้นมากนี่เอง?
ในตอนนี้จางเว่ยอวี่พูดว่า “ที่จริงคำถามของนายไม่ใช่ว่าจะตอบไม่ได้และไม่ใช่ความลับ ท่านนั้นจากสำนักกระท่อมกระบี่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเมื่อ 18 ปีก่อนและไม่รู้ว่าเดอนทางไปที่ไหน ต่อมานายกลับมาสำนักกระท่อมกระบี่เมื่อ 12 ปีก่อน เพียงแค่วันเดียวก็หายตัวไปอีกครั้ง”
“ถ้าเช่นนั้นสำนักกระท่อมกระบี่ตอนนี้ไม่มีเจ้าสำนักเหรอ” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความประหลาดใจ แบบนี้เขาถือโอกาสลอบเข้าไปได้ซิ แล้วยอดฝีมือท่านนั้นไปที่ไหน หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติดูเหมือนว่าเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ดูสงบเสงี่ยมมากเกินไป
จากการคาดเดาของหลี่ว์ซู่ ไม่ควรจะสู้กับราชาแห่งทวยเทพองค์ใหม่ในปัจจุบันสักหน่อยไหม
ตอนนี้ยังมองเรื่องราวไม่กระจ่างแต่รู้สึกว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่
“อืม เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ได้หายตัวไป เหลือศิษย์ระดับปรมาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าสั่นคลอนสถานะของสำนักกระท่อมกระบี่” จางเว่ยอว่พูด” ตอนนี้สำนักกระท่อมกระบี่แตกกิ่งก้านสาขามากมาย หยั่งรากฝังลึก ต่อให้เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ไม่อยู่แล้วใครจะทำอะไรได้”
“แล้ววิธีที่ดีที่สุดในการเข้าร่วมกองทัพตอนนี้คืออะไร” หลี่ว์ซู่สงสัย “ขั้นตอนการคัดเลือกเป็นอย่างไร จะถูกคัดเลือกเข้าสู่สำนักกระท่อมกระบี่ได้อย่างไร”
“อยากเข้าร่วมกองทัพนั้นง่ายมาก” จางเว่ยอวี่เหลือบมองหลี่ว์ซู่ “ฉันเคยพูดไว้ก่อนว่าทางออกเดียวสำหรับชาวบ้านคือการเป็นทาส ฉันยอมรับว่าฉันพูดผิดเพราะฉันไม่เคยคิดว่านายอยากเข้าร่วมกองทัพ ความเจริงทางเลือกของชาวบ้านจำนวนมากที่เลี้ยงตัวเองไม่ได้แล้วคือการเข้าร่วมกองทัพเพราะกองทัพไม่เพียงมีอาหารให้กินยังได้ยศตำแหน่งด้วย นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญที่จะเป็นขุนนางใหม่ด้วยแต่มันยากมาก ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเยอะ พวกเขาเข้าร่วมกองทัพเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แง่หนึ่งกองทัพสามารถจ่ายเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวได้ อีกแง่หนึ่งคือการเป็นทหารสามารถลดภาษีได้ 20%”
หลี่ว์ซู่ถึงกับบางอ้อ ตอนแรกเขาคิดว่าผู้บัญชาการทหารชิงไซ่อย่างหลิวอี้เจาควรจะเป็นนายทาสใหญ่อะไรพวกนั้น ทั้งกองทัพเป็นทาสของเขา… ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น กองทัพมีทหารที่มาจากชาวบ้านธรรมดามากมาย
“แล้วพวกเขาฝึกยังไง” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย
“กองทัพมีวิชาพิเศษของกองทัพเอง ระดับไม่สูงแต่เหมาะสำหรับการฝึกทั่วๆ ไป ว่ากันว่าเป็นวิชาที่เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่คิดค้นขึ้น” จางเว่ยอวี่พูด “ดังนั้นบางคนจึงเข้าร่วมเพราะวิชา แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง วิชาพวกนั้นไม่มีทางบำเพ็ญได้ถึงสูงกว่าระดับสี่ หนทางนั้นถูกเจ้าสำนักปิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าอยากได้วิชาที่สูงกว่านั้นก็ต้องสร้างคุณงามความดี… หรือเข้าสำนักกระท่อมกระบี่”
ดังนั้นการเข้าสำนักกระท่อมกระบี่จึงเป็นความฝันของทุกคนในกองทัพ ถ้าเข้าสำนักกระท่อมกระบี่ได้ก็เสมือนได้ขึ้นสวรรค์ ลาภยสสรรเสริญต่างใกล้แค่เอื้อม
“ถ้านายอยากเข้าร่วมกองทัพ ฉันช่วยนายไม่ได้ การช่วยนายเท่ากับทำร้ายนาย” จางเว่ยอวี่พูด “แต่นายไปสมัครเองได้แต่ขอให้คิดให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจนะ นายมีวิชากระบี่อยู่บ้าง ในสงครามวิชาแค่นั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ตอนนั้นนายล้อมรอบไปด้วยศัตร์ นายยังไม่เคยออกรบไม่มีทางเข้าใจความน่ากลัวของสงครามหรอก ฉันเตือนนายก่อนที่จะมีพลังงอย่าเพิ่งคิดมากขนาดนั้น”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองจางเว่ยอวี่ ไม่มีอะไรถูกต้องในคำพูดเหล่านี้เลย หลี่ว์ซู่ไม่เพียงมีประสบการณ์ในสงคราม แต่พูดได้ว่ามีประสบการณ์โชกโชน
พลังปัจจุบันของหลี่ว์ซู่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนนึกตามไม่ทัน เมื่อคืนหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังคุยกันเรื่องนี้ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าอย่างมากอาจต้องใช้เวลาครึ่งปีให้กลับไปสู่จุดสูงสุดของระดับสอง
ตอนนี้มีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ปกป้อง เขาไม่ต้องรีบทำโซ่พวกนั้นแล้ว แต่ต้องพัฒนาการฝึกฝนของตนเองให้ดียิ่งขึ้น วิชากระบี่ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
ดังนั้นจางเว่ยอวี่จึงคิดว่าหลี่ว์ซู่มีแค่วิชากระบี่เล็กๆ น้อยๆ ไม่มีพลัง ไม่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งผิดทั้งนั้น
แต่หลี่ว์ซู่ไม่สนใจความเข้าใจผิดของคนอื่นที่มีต่อเขาเช่นนี้ ในตอนนี้การสำรวมเป็นวิธีรักษาชีวิตเขาที่ดีที่สุด
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ที่จริงจางเว่ยอวี่เปิดเผยข้อมูลให้เขามากมายเลย เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องเคยเป็นคนใหญ่คนโตมาก่อน แต่เขาไม่รู้ว่าใหญ่โตแค่ไหนแล้วทำไมเขาถึงตกต่ำเช่นนี่
คืนนั้นจางเว่ยอวี่วิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับกองอาหารอย่างลับๆ อีกครั้ง วันนี้เขายัดใส่อกไปจนเต็ม หลี่ว์ซู่เห็นว่าจางเว่ยอวี่วันหนึ่งกินแค่ขนมนึ่งที่ตัวเองพกมาสองชิ้นแล้วก็ซุปผักเท่านั้น ส่วนที่เหลือเขาห่อเก็บไปหมด
เห็นได้ว่าเพื่อนเก่าของเขามีความสำคัญในใจเขามากขนาดไหน ไม่เช่นนั้นคนธรรมดาทำแบบนี้ไม่ได้หรอก
หวังว่าความยากลำบากที่พวกเขาได้รับจะตอบแทนเขากลับมาสักวันหนึ่ง
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้มีความคล้ายคลึงกับสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินแต่ก็มีอีกหลายแห่งที่ไม่เหมือน
“เธอคิดอย่างไรกับเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่คนนั้น” หลี่ว์ซู่หันไปถามเสี่ยวอวี๋
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองหลี่ว์ซู่ “เธอหายตัวไปไม่ใช่เหรอ ฉันมองยังไงก็ไม่เห็น”
[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +99!]
“อย่าพูดไร้สาระ เธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร” หลี่ว์ซู่พูด
“นายบอกเรื่องที่เธอเดาก็สิ้นเรื่อง ต้องถามฉันทำไม” หลี่วเสี่ยวอวี๋ไม่พอใจ
“ฉันเดาว่าเธออาจจะมาจากโลกก็ได้!” หลี่ว์ซู่พูด “ดูจากเรื่องที่เธอต่อสู้กับราชาแห่งทวยเทพ ฉันรู้สึกเหมือนเธอกำลังห้ามใครบางคนที่กำลังเลียนแบบเธอ ฉันสงสัยมากว่าเธอถูกราชาองค์เก่าลักพาตัวมาที่จักรวาลหลี่ว์…”
คำโบราณที่พูดว่า คนบ้านเดียวกันมาเจอหน้า น้ำตานองอาบสองแก้ม ถ้าหากเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่เป็นมนุษย์โลกละก็ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าเขามีที่พึ่งบนจักรวาลนี้แล้ว
“มีความเป็นไปได้ไหม” หลี่ว์ซู่มองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ด้วยแววตาลุกโชน” ที่เธอเป็นคนจากหอกระบี่?”
หอกระบี่ กระท่อมกระบี่ ต่างกันแค่คำเดียว แล้วมีความเป็นไปได้ที่มาจากโลกด้วย ความเป็นไปได้ที่เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่มาจากหอกระบี่จึงไม่ใช่ว่าจะไม่มี
“ถึงใช่แล้วอย่างไง” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดประโยคเดียวเข้าประเด็นสำคัญ “เธอหายตัวไปแล้ว ต่อให้พวกเราชาวโลกก็หาเธอไม่เจอ”
“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันยังคิดหาวิธีไปสำนักกระท่อมกระบี่ดูสักหน่อย” หลี่ว์ซู่พูดน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันสงสัยทั้งเรื่องตำราที่หอสมุดหรือเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ คำตอบอยู่ที่สำนักกระท่อมกระบี่นั่นแหละ”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เอามือเท้าคางและพูดอย่างเมินเฉย “อยากไปก็ไปซิ”
พอเธอนึกถึงที่นั่นมีคนบ้าหนุ่มหล่อก็รู้สึกปวดหัว ไม่รู้ว่าจักรวาลหลี่ว์นี่มันเป็นอย่างไรกันถึงมองคนอย่างหลี่ว์เสี่ยวซู่เป็นมาตรฐานของหนุ่มรูปงาม ตาบอดหรือเปล่า!
ถึงเธอไม่อยากไปแต่ถ้าหลี่ว์เสี่ยวซู่อยากไป เธอก็จะไปด้วย
เพราะหลี่ว์ซู่ก็ทำเช่นนี้