บทที่ 514 ให้เงินมาก็รับสินค้าไป

บทที่ 514 ให้เงินมาก็รับสินค้าไป

ไม่ว่าอย่างไรสวี่เชิ่งเหม่ยก็ไม่ยอมให้หล่อนมีความสุขเลย ดังนั้นหล่อนก็ไม่จำเป็นต้องปิดความลับให้สวี่เชิ่งเหม่ยอีกแล้ว!

“หมายความว่ายังไง?” โจวกุยหลายหรี่ดวงตาถามด้วยรอยยิ้ม

เขารู้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่าง จางเหมยเหลียนกับสวี่เชิ่งเหม่ยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่อยู่ ๆ ฝ่ายแรกก็มาอยู่กับสวี่เชิ่งเฉียงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พูดถึงตรงนี้แล้วเขาก็ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไรนัก

“นายน่าจะรู้สินะ ว่าก่อนหน้านี้ฉันอยากจะคบกับหวงหู่” จางเหมยเหลียนพูดเสียงเรียบ

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” โจวกุยหลายพูด

“สวี่เชิ่งเหม่ยสนับสนุนฉันมาก หล่อนให้ท้ายฉันกับหวงหู่ ให้ฉันได้ใกล้ชิดกับเขา หล่อนพูดให้กำลังใจกับฉันไม่น้อย ทั้งยังบอกกับฉันว่าหวงหู่เป็นแค่คนบ้านนอก ถ้าเขาสามารถแต่งฉันเป็นภรรยาได้ถือว่าเป็นโชคดีของเขา แล้วทำไมพอฉันคบกับเชิ่งเฉียงถึงไม่ใช่โชคดีของเขาแล้ว? ทั้งยังวิ่งแจ้นไปขอความช่วยเหลือจากบ้านใหญ่โจวอีก?” จางเหมยเหลียนเอ่ยถากถาง

โจวกุยหลายหลุดขำ “ฉันจำเป็นต้องเชื่อคำพูดของเธอด้วยเหรอ”

“มีอะไรที่ทำให้นายไม่เชื่อฉันล่ะ แต่เดิมฉันกับเชิ่งเฉียงไม่ค่อยไปมาหาสู่อะไรกันหรอก ไม่ใช่เป็นเพราะสวี่เชิ่งเหม่ยฉันถึงรู้จักเขาเหรอ เรื่องที่หล่อนมีร้านเป็นของตัวเองนายก็รู้นี่” ในใจของจางเหมยเหลียนไม่อยากให้สวี่เชิ่งเหม่ยมีความสุขอีกต่อไป เพราะงั้นทำไมหล่อนยังต้องเก็บความลับของอีกฝ่ายไว้ด้วยล่ะ?

“รู้สิ” โจวกุยหลายพยักหน้า

“ฉันเองก็เป็นหุ้นส่วนร้านนั้นของหล่อนเหมือนกัน นายดูสิ หล่อนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตระกูลจางมีชื่อเสียงเป็นอย่างไร แต่หล่อนก็ยังร่วมกันเปิดร้านนั้นกับฉัน และฉันก็เจอเชิ่งเฉียงที่นั่น ได้อยู่ด้วยกันกับเขาที่นั่นมาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว หล่อนเพิ่งจะมารู้ก็ตอนปีใหม่นี้เอง ถึงรีบไล่ฉันออกมา เชิ่งเฉียงเลยออกมาอยู่กับฉัน ส่วนเรื่องหลังจากนี้นายคงรู้แล้วล่ะว่าฉันกับเชิ่งเฉียงออกมาเปิดร้านนี้ด้วยกัน” จางเหมยเหลียนอธิบาย

แม้สวี่เชิ่งเหม่ยจะไม่ได้ทำอะไรจนเกินกว่าเหตุนัก แต่ก็เคยช่วยหล่อนอยากให้หล่อนลงเอยกับหวงหู่

ทั้งที่บ้านใหญ่โจวไม่ค่อยชอบหล่อน แต่สวี่เชิ่งเหม่ยก็ยังร่วมมือเปิดร้านด้วยกันกับหล่อน

ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความเลย เพียงสองเรื่องนี้ก็ทำให้สวี่เชิ่งเหม่ยมองหน้าบ้านใหญ่โจวแทบไม่ติดแล้ว

จางเหมยเหลียนเห็นโจวกุยหลายยังยิ้มอยู่ หล่อนก็เดาอารมณ์เขาไม่ออก “เรื่องพวกนี้ฉันพูดความจริง ไม่อย่างนั้นนายก็รอให้เชิ่งเฉียงกลับมา เขากำลังออกไปตั้งแผงลอยตามคำสั่งของฉัน ตอนนี้เขาอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง”

“เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว พอฉันกลับไปฉันจะไปพูดตามความจริงนี้” โจวกุยหลายพูดพลางพยักหน้า

“สวี่เชิ่งเหม่ยไปพูดกับทางนั้นว่าอะไร?” จางเหมยเหลียนรีบถาม

“หล่อนไปหาพี่เอ้อร์นีของฉัน หรือก็คือเถ้าแก่เนี้ยโรงงานเสื้อผ้า บอกว่าไม่ให้ส่งสินค้ามาให้พวกเธออีก” โจวกุยหลายบอกอย่างไม่เกรงใจและขายสวี่เชิ่งเหม่ยออกมาตรง ๆ

คนจิตใจร้ายกาจแบบนี้ไม่ขายหล่อนแล้วจะขายใคร? ก่อนหน้านี้หล่อนยังคิดยัดเยียดจางเหมยเหลียนให้กับหู่จือเลยไม่ใช่หรือ? ช่างมีความสามารถเสียจริง

ตอนนี้ลงเอยกับสวี่เชิ่งเฉียงก็นับว่าเหมาะสมกันแล้ว!

โจวกุยหลายออกจากร้านไปแล้ว แต่จางเหมยเหลียนยังคงโกรธแค้นจนเจ็บในอก เมื่อถึงหกโมงกว่าสวี่เชิ่งเฉียงจึงได้กลับมา พอกลับมาถึงเขาก็เห็นหล่อนร้องไห้แล้ว

สวี่เชิ่งเฉียงงุนงง “เกิดอะไรขึ้นครับ มีใครรังแกคุณ?”

“ฉันใกล้จะโดนคนรังแกจนตายแล้วค่ะ ฉันอยู่ไม่ได้แล้วเฉียงจือ ถ้าคุณอยากเลิกกับฉัน งั้นก็เลิกกับฉันเสียเถอะ แค่ได้อยู่เคียงข้างคุณฉันก็ไม่นึกเสียใจแล้ว!” จางเหมยเหลียนพูดพร้อมกับร้องไห้

“นี่หมายความว่าอะไรกันครับ คุณกับผมอีกนิดเดียวก็จะจดทะเบียนกันอยู่แล้ว ยังจะบอกให้เลิกอะไรกัน? เลิกแล้วคุณจะสามารถแต่งงานกับใครได้อีก?” สวี่เชิ่งเฉียงรีบปลอบประโลม

“งั้นทำไมพี่สาวคุณถึงต้องทำร้ายพวกเราด้วย ถ้าหล่อนแยกพวกเราออกจากกันไม่ได้ หล่อนก็จะไม่ยินยอมปล่อยพวกเราไป!” จางเหมยเหลียนร้องไห้ไปด้วยพูดไปด้วย

“พี่สาวผมมาด่าคุณเหรอ?” ใบหน้าของสวี่เชิ่งเฉียงดำทะมึน สวี่เชิ่งเหม่ยมาหาที่นี่บ่อย ๆ เพื่อมาด่าว่าจางเหมยเหลียน ซึ่งเรื่องนี้สวี่เชิ่งเฉียงก็รู้

“ถ้าหล่อนเพียงแค่ด่าว่าฉัน ฉันยังพอทนได้ ใครให้ฉันชอบคุณล่ะคะ หล่อนเองก็เป็นพี่สะใภ้ของฉันเหมือนกัน แล้วฉันจะไล่หล่อนไปได้ยังไง? ต่อให้โดนหล่อนด่าว่าทุบตียังไงฉันก็ยังอดทน ตอนที่คุณอยู่ด้วยเวลาหล่อนด่าฉัน ฉันได้โต้ตอบกลับบ้างไหมล่ะคะ? หล่อนทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว!” จางเหมยเหลียนสะอึ้นไห้พูด

พอสวี่เชิ่งเฉียงรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สีหน้าของเขาก็แทบจะดูไม่ได้ขึ้นมา เขาไม่พูดไม่จามุ่งหน้าไปหาพี่สาวของเขาทันที

สวี่เชิ่งเหม่ยเดินออกมาเมื่อเห็นเขามาหา ในใจพอจะคาดเดาอะไรได้จึงพูดขึ้น “มาหาฉันมีเรื่องอะไร?”

“เรื่องของผมต้องให้พี่มายุ่งด้วยเหรอ”

‘เพียะ’ เสียงฝ่ามือของสวี่เชิ่งเฉียงดังกระทบใบหน้าหล่อน สวี่เชิ่งเหม่ยถึงกับอึ้งค้างไปแล้ว

ที่จริงก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในชนบท หล่อนเองก็เคยตบตีน้องชายไม่น้อยเช่นกัน แต่เขากลับไม่เคยกล้าตบตีเธอเลย ทว่าตอนนี้เพียงเพื่อผู้หญิงสำส่อนอย่างจางเหมยเหลียนเขาถึงกับตบหน้าหล่อน?

สวี่เชิ่งเหม่ยตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ “แกกล้าตบฉันเหรอ? นี่แกกล้าตบฉัน!”

“ใช่สิผมตบพี่ อย่าคิดว่าพี่แต่งเข้าตระกูลจ้าวแล้วผมจะไม่กล้าตบพี่นะ เรื่องของผมไม่ใช่เรื่องที่พี่ต้องเข้ามายุ่ง ผมพูดเรื่องเหมยเหลียนกี่รอบแล้ว พี่ก็ยังกล้ายื่นมือเข้ามาอีกเหรอ? ถ้าพี่ยังกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก ผมจะแฉเรื่องที่พี่จงใจแท้งเด็กคนนั้นเพื่อโบ้ยว่าเป็นความผิดตระกูลจ้าวให้ทุกคนในตระกูลจ้าวรับรู้ให้หมดเลยคอยดู!” สวี่เชิ่งเฉียงพูด

สวี่เชิ่งเหม่ยถึงกับยืนซวนเซ “แกพูดเพ้อเจ้ออะไร เรื่องเด็กคนนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ!”

“พี่คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าพี่สาวตัวเองมีนิสัยยังไง ไม่ง่ายเลยนี่กว่าจะแต่งเข้าตระกูลจ้าวได้ ทั้งหมดก็ต้องพึ่งไข่ทองคำนั่น คนอย่างพี่เนี่ยนะจะไม่รักษามันไว้ให้ดี? ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ตั้งใจแท้ง!” สวี่เชิ่งเฉียงแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา

“ไม่ว่าแกจะพูดยังไง มันก็คืออุบัติเหตุ” สวี่เชิ่งเหม่ยสงบสติอารมณ์ ทั้งที่ในใจเจ็บปวดเหลือแสน หล่อนทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อใคร เพื่อให้ใครสามารถมาที่ปักกิ่งได้ แต่น้องชายหล่อนกลับทำสิ่งนี้ตอบแทนหล่อน!

“ผมไม่สนหรอกว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือเปล่า ต่อจากนี้ถ้าพี่มายุ่งเรื่องของผม ตัดขาดสินค้าทางนั้นกับผม ผมจะไปฟ้องตระกูลจ้าว คอยดูแล้วกันว่าพวกเขาจะคิดยังไง!” สวี่เชิ่งเฉียงพูด

สวี่เชิ่งเหม่ยเดือดจัดจนเกือบจะตบตีเขา!

“ผมไม่สนใจแล้วว่าพี่จะเป็นยังไง พี่ก็อย่ามายุ่งกับผมเหมือนกัน ผมกับเหมยเหลียนอยู่สุขสบายดีมาก!” สวี่เชิ่งเฉียงพูดจบแล้วก็เดินกลับไป

สวี่เชิ่งเหม่ยโกรธจนแทบจะทนไม่ไหว หล่อนจึงไปหาโจวเอ้อร์นีในวันต่อมา เพื่อถามว่าทำไมถึงบอกสิ่งที่หล่อนพูดออกไป

โจวเอ้อร์นีมองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา “เมื่อก่อนเธอคิดจะส่งเสริมจางเหมยเหลียนกับหู่จือ ทำให้หล่อนไล่ตามหู่จืออยู่พักใหญ่ เป็นเธอที่ยุยงหล่อนใช่ไหม?”

สวี่เชิ่งเหม่ยนิ่งอึ้ง เพลิงแค้นที่สุมอยู่ราวกับถูกน้ำเย็นสาดลงมาจนดับมอด อีกนิดเดียวหล่อนก็จะทรงตัวแทบไม่อยู่แล้ว!

นี่คือเรื่องที่หล่อนเป็นกังวลที่สุดแล้ว แต่เคราะห์ดีที่หล่อนเก็บความลับนี้เอาไว้กับตัว ซึ่งหล่อนก็ไม่คิดว่าจางเหมยเหลียนจะแฉโพยออกมาแล้ว!

“ไม่…ไม่ใช่นะ หล่อนเป็นคนแบบไหนทำไมฉันจะไม่รู้ ไม่มีทางที่ฉันจะยุยงส่งเสริมหล่อนกับหู่จือแน่ ไม่ใช่ว่าหล่อนพูดเพ้อเจ้อหรอกเหรอ?” หล่อนเอ่ยละล่ำละลัก

“เธอยังเปิดร้านร่วมกับจางเหมยเหลียน เชิ่งเฉียงเลยได้ใกล้ชิดได้รู้จักกับหล่อนก็เพราะเจอหล่อนที่ร้านของเธอ” โจวเอ้อร์นีเอ่ยเสียงเย็นชาต่อ

เรื่องพวกนี้โจวกุยหลายเป็นคนกลับมาบอกกับหล่อนเอง

“ไม่…ไม่ใช่นะ…” สวี่เชิ่งเหม่ยอยากจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่กลับไม่อาจอธิบายอะไรออกมาได้

“เธออย่ามาที่นี่อีก อาสี่กับอาสะใภ้สี่ไม่อยากเห็นหน้าเธอแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากเห็นหน้าเธอเหมือนกัน” โจวเอ้อร์นีพูดเสียงเรียบ “สำหรับเรื่องธุรกิจถือว่ายังดำเนินต่อเหมือนเดิม ให้เงินมาก็รับสินค้าไป”

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

โดนแทงตลบหลังหนึ่งจึ้กใหญ่ ๆ จากงูพิษกลายเป็นไส้เดือนถูกขี้เถ้าเลยเชิ่งเหม่ยเอ๊ย ดิ้นพราดๆ เลยไหมล่ะ ภาวนาว่าอย่าให้ความลับเรื่องที่เธอจงใจทำให้ตัวเองแท้งหลุดต่อหน้าตระกูลจ้าวก็แล้วกัน หึๆๆ หัวเดียวกระเทียมลีบของจริงแล้วทีนี้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset