ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 56 : ท้าทายห้องแห่งขีดจำกัดที่สาม

ในที่สุด เซี่ยงเส้าหยุนและหวังเจิ้นฉวนก็ออกจากที่พักของจื่อฉางเหอ

“ขอบใจเจ้ามาก!” หวังเจิ้นฉวนกล่าวขอบคุณต่อเซี่ยงเส้าหยุน

เซี่ยงเส้าหยุนโบกมือ “ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดมากนัก ศิษย์พี่ของข้าเพียงปากแข็งก็เท่านั้น”

“ข้าได้รับบททดสอบจากผู้อาวุโสจื่อ มันเป็นเรื่องปกติด้วยปรารถนาศิษย์ที่น่าทึ่ง” หวังเจิ้นฉวนกล่าว ความตั้งใจในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง “บรรลุหนึ่งขั้นในสองเดือนเป็นสิ่งที่ยาก แต่ข้ามั่นใจว่าทำได้แน่นอน!”

“อืม มันก็ดีที่ท่านรู้สึกสบายใจเช่นนี้ ข้าจะรอคอยวันที่ท่านมาเป็นศิษย์หลานนะ” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว เขานั้นชื่นชมต่อความดื้อรั้นของหวังเจิ้นฉวน

“หากระดับยุทธ์ของเจ้ายังไม่ล้ำเกินหน้าข้า ข้าจะไม่ยอมรับว่าเจ้าเป็นอาจารย์อาของข้าแน่!” หวังเจิ้นฉวนกล่าวอย่างจริงจัง

“ฮ่า ฮ่า ไม่มีปัญาหา” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะจากใจก่อนจะมอบขวดหยกให้แก่หวังเจิ้นฉวน “สิ่งนี้เป็นของขวัญจากอาจารย์อาของท่านสำหรับการพบกันครั้งแรก ด้วยสิ่งนี้จะทำให้ท่านจะสามารถผ่านบททอบสอบของศิษย์พี่ได้อย่างง่ายดาย”

ด้วยความตื่นเต้น หวังเจิ้นฉวนมองดูขวดหยกนั่น และเปิดมันออก ภายในมีหยดน้ำของเหลวที่สั่นไหว เป็นประกาย และโปร่งแสง ขณะเดียวกันเขาพบว่ามีกลิ่นหอมออกมาจากขวด

“นี่มันของเหลววิญญาณรึ?” หวังเจิ้นชวนตะโกนด้วยความตกใจ

“ถูกต้อง มันคือน้ำจากน้ำพุดวงดาวปฐพี ยากมากนะกว่าจะได้มันมา” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวขณะตบไหล่หวังเจิ้นฉวน

“นะ น้ำพุดวงดาวปฐพี!” หวังเจิ้นฉวนสับสน

ของเหลวซึ่งหากได้ยากยิ่งภายในตำหนักยุทธ์ แต่ตอนนี้เขาได้มันมาอยู่ในมือ ด้วยหยดนี้สามารถทำให้เขาบรรลุไปสู่ขั้นถัดไปได้อย่างไร้ปัญหา

ตอนนั้นเองหวังเจิ้นฉวนได้มองไปที่ด้านหลังของเซี่ยงเส้าหยุน ขณะที่กอดขวดแน่นและกล่าว

“อาจารย์อา!”

เซี่ยงเส้าหยุนย้อนกลับไปที่ที่พักของตน เขานำอาหารที่ซื้อจากเหลาอาหารให้เสี่ยวไป่ หลังจากนั้นจึงมุ่งหน้าตรงไปที่หอคอยแห่งขีดจำกัด แม้จื่อฉางเหอจะให้เวลาสองวันในการฝึกฝนวิชาหอกอัสนีให้ได้เจ็ดในสิบ แต่สิ่งแรกที่เขาจะกระทำคือเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองก่อน จึงไม่รีบร้อนฝึกฝนนัก

และภายในตำหนักยุทธ์แห่งนี้ หอคอยแห่งขีดจำกัดเป็นสถานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฝึกฝน หากมีผู้ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ เขาคงถูกก่อนด่าว่าเป็นตัวประหลาด ทุกคนต่างต้องการก้าวข้ามขีดจำกัดของตน และแข็งแกร่งขึ้น แต่กระนั้นมันไม่ใช่เรื่องงายดายนักที่จะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้

เมื่อมาถึงหอคอยแห่งขีดจำกัดอีกครั้ง ผู้ดูแลยิ้มเมื่อสังเกตเห็นเขา “เจ้าหนู มันผ่านไปเพียงไม่นานนับตั้งแต่พบกันครั้งสุดท้าย และเจ้ามาที่นี่เพื่อสร้างความวุ่นวายอีกแล้วหรือ? เจ้านี่เก่งกล้าเสียจริง!”

“ต้นไม้อาจต้องการยืนอย่างนิ่งเฉย ไม่ไหวติงแม้สายลมพัดผ่าน ต่างกันกับข้า ตัวข้ามีทางเลือกอื่นให้กระทำ”

“ต้นไม้สูงมักจะถูกลมพัดให้ล้มลง โปรดจำคำข้าไว้” ผู้ดูแลกล่าว

“ตกลง ข้าจะจดจำคำของท่านไว้” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว ก่อนจะถาม “แล้วผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นแรก ควรท้าทายห้องไหนดีละท่าน?”

“ห้องที่สามก็ดูเข้าท่าดี” ผู้ดูแลตอบ หลังจากหยุดเพียงครู่ เขากล่าวเสริม “ระวังอย่าให้ตัวเองถูกกินล่ะ”

“ห้องที่สามรึ? หรือท่านจะกล่าวว่าสองห้องแรกมีไว้เพื่อระดับพื้นฐานเท่านั้น?” เซียงเส้าหยุนพึมพำอย่างสงสัยขณะมุ่งหน้าสู่ห้องที่สาม ตอนนั้นเอง เขาต้องปรับสภาพตัวเองก่อนเข้าไปข้างใน ด้วยไม่ต้องการทรมานขณะก้าวเข้าไปในห้องเหมือนสองห้องแรก

เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง มันต่างกับสองห้องก่อนหน้า เขาไม่พบแรงกดดันเหมือนห้องก่อนหน้าแม้แต่น้อย แต่ทว่าสิ่งที่แตกต่างคือ ภายในมีสัตว์อสูรถึงสิบตัวจ้องมองมาที่เขาอย่างหิวกระหาย

ซึ่งทั้งหมดเป็นหมาป่าโลหิตซึ่งเป็นปีศาจช่วงสูงสุดของระดับกลางขั้นหนึ่ง พวกมันตัวใหญ่ราวกับวัว และปกคลุมไปด้วยขนสีเลือด ดวงตาเต็มไปด้วยความหิวกระหาย หากมองเข้าไปในดวงตาของพวกมันก็เพียงพอจะทำให้ความกลัวเข้ามาในจิตใจ

สัตว์อสูรระดับกลางขั้นหนึ่งทั้งสิบตัวนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นหนึ่งสิบคน แม้แต่ผู้ฝึกยุทธะดับดวงดาวขั้นสองก็ต้องหลบหนี เมื่อพบสัตว์อสูรเหล่านี้

เพราะในท้ายที่สุด สัตว์อสูรก็โหดร้ายกว่ามนุษย์มาก โดยทั่วไปแล้วการจะจัดการกับสัตว์อสูรเช่นนี้ก็เหมือนกับเอาชีวิตไปทิ้ง

“ไม่แปลกใจเลยที่ท่านผู้ดูแลเตือนเราก่อนจะเข้ามา นี่มันเป็นห้องแห่งสัตว์อสูรหรือไรกัน?” เซี่ยงเส้าหยุนเลียริมฝีปาก

“โฮก!”

เมื่อจ่าฝูงของหมาป่าโลหิตคำรามออกมา พวกมันที่เหลือจึงเริ่มเคลื่อนไหว ด้วยเห็นเซี่ยงเส้าหยุนเป็นอาหาร และวางแผนจะฉีกกระชากร่างของเขา หมาป่าทั้งเก้าตัวพุ่งเข้าใส่พร้อมกัน เป็นภาพที่น่าสยดสยอง

เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนออก “ครั้งแรกที่เข้าไปในเทือกเขาร้อยอสูร หมาป่าเช่นเจ้าทำให้ข้าต้องฉี่รดกางเกง แต่วันนี่ ข้าจะขอเพลิดเพลินกับการล้างแค้น!”

แทนที่เขาจะถอย เซี่ยงเส้าหยุนกลับพุ่งเข้าใส่ฝูงหมาป่า และต่อยออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง

หมัดพลังปราณเต็มพลัง!

ด้วยไม่อาจเห็นพลังงานโดยรอบหมัดได้ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ หมัดเหล่านั้นเป็นท่วงท่าที่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันมหาศาล

ตู้ม!

ก่อนที่หมาป่าจะทันได้เข้าถึงตัวเซี่ยงเส้าหยุน หมัดก่อนหน้าได้เข้าปะทะกับจมูกของพวกมันระเบิดออกราวกับหมอกเลือด ขณะเดียวกันนั้นหมาป่าสองตัวที่ยังมีชีวิตเริ่มจู่โจมเข้าใส่จากสองทิศทางที่ต่างกัน กรงเล็บของพวกมันพุ่งเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุน และเมื่อสังเกตถึงความแหลมคมของกรงเล็บแล้ว จะต้องมีการหลั่งโลหิตอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกันนั้นหมาป่าตัวอื่นเริ่มจู่โจมจากทิศทางอื่น หากมีใครพบเห็นจะต้องกล่าวให้เซี่ยงเส้าหยุนหลบหนีไป

“เนื่องจากพวกเจ้าปิดกั้นเส้นทาง ข้าก็จักสร้างเส้นทางใหม่ขึ้นมาเอง” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวขณะพุ่งตัวเข้าใส่ และปล่อยลูกเตะรอบทิศทาง

ลูกเตะวายุหมุน!

ลูกเตะวายุหมุนมีจุดเด่นที่ความเร็ว และการเตะที่ราวกับสายลม รวดเร็วและพลิ้วไหว วิชานี้เป็นวิชาที่สามารถต่อกรกับฝูงหมาป่าได้อย่างดีเลิศ และลูกเตะของเซี่ยงเส้าหยุนทำให้หมาป่าสองตัวต้องกระเด็นไปไกล

ตัวเขานั้นไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นแรกธรรมดา เพราะพลังการตู่สู้ของเขาเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นสาม การโจมตีของเขาในแต่ละครั้ง เพียงพอที่จะทำให้หมาป่าไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง

ด้วยมีประสบการณ์ในการสังหารสัตว์อสูรมาก่อน หลังจากผ่านการเดินทางจากเทือกเขาร้อยอสูรมา ดังนั้นหลังจากปะทะกันครั้งแรก ความตั้งใจในการต่อสู้เพิ่มขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าใส่หมาป่า ขาเริ่มถลอกออกทุกขณะ การเตะแต่ลครั้งนั้นรุนแรงมาก และก่อนที่หมาป่าจะได้ทันโต้ตอบ พวกมันก็กระเด็นไปไกล

“โฮก! โฮก!”

ผ่านไปไม่นาน หมาป่าทั้งเก้าตัวก็มิอาจลุกขึ้นยืนได้อีก และสามตัวได้ตายไปแล้ว ส่วนที่เหลืออ่อนแอลงมาก เหลือเพียงจ่าฝูงที่ได้ฝากบาดแผลที่หลังเซี่ยงเส้าหยุน แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงนัก

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset