“เป็น… เป็นฮ่องเต้! ฮ่องเต้รับปากข้าว่าขอเพียงช่วยให้พระองค์ได้ปิงฝูของกองทัพเว่ย พระองค์จะสนับสนุนให้เหม่ยเจียสมรสกับโหยวเหยา”
“กระไรนะ? ”
ทันใดนั้นดวงตาของซูจิ่นซีพลันแดงฉานขึ้นมา นางแทบทนรอไม่ไหวที่จะทุบเฉินไท่เฟยให้ตายด้วยกำปั้น
เฉินไท่เฟยช่วยฮ่องเต้ขโมยปิงฝูของเยี่ยโยวเหยา!
นี่นางรักเว่ยเหม่ยเจียจนบ้าไปแล้วหรือ?
ซูจิ่นซีเจ็บปวดแทนเยี่ยโยวเหยาเสียจริง
“เฉินไท่เฟย ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ท่านอ๋องลำบากมากเพียงใด? ”
เฉินไท่เฟยไม่กล้าสบตาซูจิ่นซี “รู้… รู้! ”
ท้ายที่สุดซูจิ่นซีก็ไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ นางบีบคอของเฉินไท่เฟยแน่น “รู้แล้วท่านยังทำเช่นนี้อีกหรือ? ท่านกำลังพยายามทำให้เยี่ยโยวเหยาสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างใช่หรือไม่? ”
“ไม่… ไม่ใช่… ข้าไม่เคยคิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน ฮ่องเต้รับปากข้าว่าตราบที่พระองค์ได้รับปิงฝู พระองค์… พระองค์จะมีรับสั่งพระราชโองการอภิเษกสมรสของเหม่ยเจียกับโหยวเหยา จะไม่ทำร้ายชีวิตของโยวเหยา”
เรื่องไร้สาระของฮ่องเต้จำพวกนี้ก็สามารถเชื่อถือได้หรือ?
ซูจิ่นซีโกรธเกรี้ยวราวกับเพลิงไฟ “ข้าเกลียดยิ่งนัก! ที่ตนเองรักษาขาทั้งสองข้างของท่านจนหายดี เหตุใดตอนนั้นข้าไม่ตอบแทนท่านด้วยยาพิษให้ตกตายไปเสีย! ”
เฉินไท่เฟยตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างมองไปยังซูจิ่นซีอย่างยากที่จะเชื่อ
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่มีเม็ดยาปรากฏขึ้นในมือของซูจิ่นซี นางส่งเม็ดยาเข้าไปในปากของเฉินไท่เฟยอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็บีบกรามของเฉินไท่เฟยด้วยความรุนแรง
เฉินไท่เฟยอดกลั้นไม่อยู่ ไอขึ้นมาอย่างกะทันหัน ยาเม็ดนั้นจึงไหลลงคอเข้าไปในท้อง
ซูจิ่นซีไม่สนใจมองเฉินไท่เฟยอีกต่อไป นางโยนเฉินไท่เฟยลงบนพื้น
เฉินไท่เฟยไอขึ้นมาอย่างรุนแรงสองครั้ง ในที่สุดก็หายใจได้อย่างโล่งสบาย “เจ้า… เจ้าให้ข้ากินกระไร? ”
“เฉินไท่เฟย ตราบใดที่ท่านอยู่ในหนานย่วนอย่างเชื่อฟังและไม่สร้างปัญหาให้กับเยี่ยโยวเหยา ข้ารับปากท่านว่าจะส่งยาแก้พิษให้ท่านตรงเวลา หากท่านยังทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้อีก ข้าก็รับประกันว่า แม้ท่านจะไม่ตายทว่าท่านจะใช้ชีวิตอย่างอนาถยิ่ง เมื่อถึงเวลานั้นท่านจะได้ลิ้มรสว่ากระไรคือสิ่งที่เรียกว่าแทงทะลุลำไส้และกระไรคือสิ่งที่เรียกว่าแผลตามร่างกายอย่างแน่นอน ข้าจะให้ท่านอยู่อย่างตายทั้งเป็น”
เฉินไท่เฟยเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก ขณะที่ฟังซูจิ่นซีกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้ได้ทำงานในร่างกายของนางแล้ว “เจ้าให้ข้ากินกระไรกันแน่? ”
“ฝูหรงอิ่น”
กระไร?
ฝูหรงอิ่น?
การแสดงออกบนใบหน้าของเฉินไท่เฟยเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่ไม่สามารถประหลาดใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว กระทั่งแววตาที่หวาดกลัวก็กลายเป็นความสิ้นหวัง
ฝูหรงอิ่น คือยาพิษในตำนานที่เลื่องลือว่ามีพิษร้ายแรงที่สุด
ตามตำนานกล่าวว่า มีฮูหยินนางหนึ่งที่ใช้ยาพิษในสมัยราชวงศ์โจว นางรักสามีของตนอย่างสุดซึ้ง กลับคาดไม่ถึงว่าสามีของนางจะทรยศนางโดยการตกหลุมรักหญิงอื่น เพื่อที่ฮูหยินจะได้ล้างแค้นศัตรู นางจึงปรุงยาพิษที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในใต้หล้าจำนวนสิบแปดชนิด นำมาละลายในเลือดและน้ำตาของตนเพื่อให้ศัตรูกลืนกินลงไป
ยานั้นก็คือยาฝูหรงอิ่น
ช่างเป็นชื่อที่ดีกระไรเช่นนี้!
แม้ไม่สามารถทำให้ตายได้ แต่ได้ยินมาว่ามันทำให้ผู้คนมีชีวิตที่เจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบมิได้ราวกับถูกทรมานในโลกันตมหานรก
เฉินไท่เฟยไม่อยากเชื่อเลยว่าซูจิ่นซีจะมีพิษชนิดนี้
“เจ้า… เจ้ากำลังทำให้ข้าหวาดกลัวใช่หรือไม่? เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะมีพิษเช่นนี้อยู่ในมือ! ”
“เชื่อหรือไม่ก็เรื่องของท่าน หากท่านไม่เชื่อก็ลองไม่ใช้ยาแก้พิษ อย่างไรก็ตามข้ารับประกันว่าท่านจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน”
เฉินไท่เฟยสูดลมหายใจด้วยความตกใจ
ซูจิ่นซีไม่ต้องการเห็นเฉินไท่เฟยอีก นางจึงหันหลังกลับและเดินออกจากตำหนักฝูอวิ๋นอย่างเฉียบขาดพลางสั่งการทหารอารักขาที่ประตูว่า “พาไท่เฟยกลับหนานย่วนและคอยเฝ้าอย่างเคร่งครัด หากไม่มีคำสั่งจากข้าและท่านอ๋อง ไม่อนุญาตให้นางก้าวออกจากหนานย่วนแม้แต่ก้าวเดียว”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
“ซูจิ่นซี นี่เจ้ากักบริเวณข้าหรือ? ข้าเป็นไท่เฟย เป็นมารดาของโยวเหยา เจ้ามีสิทธ์กระไรกักบริเวณข้า? ” ทันใดนั้นเสียงของเฉินไท่เฟยก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับไป “ดูเหมือนว่าคำพูดของข้าเมื่อครู่ ไท่เฟยไม่ได้ฟังแม้แต่คำเดียว! ข้าจะเตือนท่านอีกครั้ง จงใช้ชีวิตอยู่ในหนานย่วน ทำในสิ่งที่ควรทำ ข้าจะเก็บความลับบางอย่างไม่ให้ท่านอ๋องทราบตลอดไป ท่านยังจะมีทรัพย์สมบัติให้ได้ล้างผลาญไปชั่วชีวิต หากมิฉะนั้น… ”
ซูจิ่นซียังพูดไม่จบ นางก็หันหลังไปที่เรือนอวิ๋นไค ทว่าแววตาในตอนท้ายที่มืดมนและไร้ความรู้สึกได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
เฉินไท่เฟยแทบทรุด นางพยุงขอบประตูของตำหนักฝูอวิ๋นอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายโอนเอนพลิ้วไหวราวกับใบไม้อย่างไรอย่างนั้น ปวกเปียกอ่อนแอจนสามารถล้มลงกับพื้นได้ทุกเมื่อ
เมื่อมองความสง่างามและความหรูหราในวันปกติ เฉินไท่เฟยผู้สูงส่งได้รับการเตือนอย่างเข้มงวดจากซูจิ่นซี นางถูกทหารลากออกไป แม่นมฮวาและลวี่หลียืนอยู่ในเรือนชิงโยวอันเงียบสงบ ไม่กล้าพูดอันใดสักประโยค
โดยเฉพาะลวี่หลี
ดูเหมือนคุณหนูของนางจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ แตกต่างจากเมื่อก่อนที่อยู่ในจวนอย่างสิ้นเชิงราวฟ้ากับเหว แตกต่างราวกับเป็นคนละคน
ทว่าตอนนี้นางชอบคุณหนูที่เป็นเช่นนี้มากกว่า เข้มแข็ง เด็ดขาด และมีความสามารถ สิ่งสำคัญที่สุดคือหลังจากนี้จะไม่มีผู้ใดสามารถรังแกคุณหนูได้
บางอย่างที่แน่วแน่ปรากฏในดวงตาของลวี่หลี นางเม้มริมฝีปากแน่นและเดินเข้าไปในเรือนอวิ๋นไค
คุณหนูแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว ในฐานะสาวใช้เพียงคนเดียวที่อยู่ข้างกาย นางจะอ่อนแอได้อย่างไร?
ดังนั้นนางจึงต้องทำตนเองให้เข้มแข็งขึ้น
ซูจิ่นซีนั่งลงบนตั่งไม้ชั้นสองของเรือนอวิ๋นไคอย่างเงียบงัน ดวงตาลอยเคว้งและนิ่งสงบ นางเฝ้าครุ่นคิดถึงบางสิ่งอย่างจริงจัง
นางกำลังคิดว่าวันนี้ตอนที่เยี่ยโยวเหยาอยู่ในพระราชวัง เขาพึ่งใช้หมากรุกจีนสื่อสารลับให้นางปกป้องปิงฝูไว้ เมื่อกลับมาก็พบกับเฉินไท่เฟยที่กำลังจะขโมยปิงฝูไป
หรือเยี่ยโยวเหยารู้นานแล้วว่าใครบางคนมีความคิดต้องการปิงฝู?
ฮ่องเต้ต้องการใช้เฉินไท่เฟยขโมยปิงฝูของเยี่ยโยวเหยาเพื่อทำสิ่งใดกัน?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าการที่เยี่ยโยวเหยาถูกฮ่องเต้คุมขังในวังครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพ?
ซูจิ่นซีกำลังทบทวนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ทันใดนั้นเสียงของพ่อบ้านก็ดังขึ้นจากด้านนอก
ซูจิ่นซีเดินลงไปด้านล่าง
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ แม้ข่าวในวังหลวงและวิหารวิญญาณจะถูกปิดบังในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ทว่าข้าน้อยก็ยังสามารถสืบพบได้ว่า ครานี้ที่ฮ่องเต้ทรงกักขังท่านอ๋องไว้ในวังหลวงนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“เกิดกระไรขึ้นกันแน่? ”
“ในคืนที่เกิดเรื่องของคุณหนูเหม่ยเจีย ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนส่งข่าวไปยังกองทัพสกุลเว่ยที่ประจำอยู่ด้านนอกเมืองตี้จิงห่างออกไปห้าสิบลี้ ซึ่งประจำการโดยพี่ชายแท้ๆ ของคุณหนูเหม่ยเจีย หัวหน้ากองทัพสกุลเว่ยคือ ‘เว่ยเจิน’ หลานชายของไท่เฟย คืนนั้นเขาเข้ามาค้างคืนในเมืองตี้จิงเพื่อขอความยุติธรรมให้กับคุณหนูเหม่ยเจีย กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกคนของท่านอ๋องจับได้พ่ะย่ะค่ะ”
แม้ซูจิ่นซีจะไม่เคยเข้าค่ายทหารมาก่อน ทว่านางเคยได้เรียนรู้จากละครโทรทัศน์และนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ดูในชาติก่อนมาบ้าง
แม่ทัพที่ประจำการอยู่นอกเมืองตี้จิงไม่สามารถเข้าเมืองตี้จิงได้หากไม่มีข้อมูลทางการทหารที่ฉุกเฉินหรือคำสั่งจากฮ่องเต้ ไม่เช่นนั้นจะถูกอ้างอิงว่าเป็นการกบฏ
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าที่เยี่ยโยวเหยาต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายนี้ ล้วนมาจากพี่น้องสกุลเว่ย
ฮ่องเต้เฝ้ามองเยี่ยโยวเหยา ผู้ที่พระองค์ไม่สามารถกำจัดได้!
เช่นนี้ย่อมตรงกับพระทัยของฮ่องเต้ไม่ใช่หรืออย่างไร?
กองทัพเว่ยคือกองทัพของเยี่ยโยวเหยา หัวหน้าขุนพลเว่ยมายังเมืองตี้จิงเป็นการส่วนตัวและถูกลงโทษด้วยโทษกบฏ ฮ่องเต้จะโอนอ่อนผ่อนตามแล้วลงโทษเพียงเว่ยเจินได้อย่างไร? แน่นอนว่าเขาต้องใช้โอกาสนี้ในการตั้งข้อหาทั้งหมดไปที่เยี่ยโยวเหยา
วางแผนก่อกบฏเป็นโทษร้ายแรงประหารเก้าชั่วโคตร
ตามฐานะของเยี่ยโยวเหยา แม้เขาจะไม่ต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตร ทว่าโทษประหารสามชั่วโคตรย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน
ช่างน่าสะอิดสะเอียน!
ซูจิ่นซีแทบรอไม่ไหวที่จะฆ่าเว่ยเหม่ยเจียและเว่ยเจินให้ตายด้วยยาพิษ