“ข้าเคยเห็นก้อนหยกนี้มาก่อน แต่ข้ามีซูจิ่นซีแล้ว” เยี่ยโยวเหยากล่าวเสียงเย็นชา
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งแววตาขึงขังเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็พูดขึ้นว่า “แต่ข้าได้ยินมาว่า ซูจิ่นซีเป็นเพียงบุตรสาวของอนุแห่งสกุลซู จวนสกุลซูไม่ได้มีหน้ามีตาอันใด หากโยวเหยาได้แต่งกับเสวี่ยเอ๋อร์ ข้าจะเตรียมสินสอดทองหมั้นไว้มากมาย”
สินสอดทองหมั้นที่ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งพูดมานั้น ไม่เหมือนกับสินสอดทองหมั้นที่เป็นแก้วแหวนเงินทองทั่วไปจำพวกนั้น ทว่านางหมายถึงหุบเขาร้อยบุปผาและตระกูลจงแห่งแคว้นหนานหลีทั้งหมด มิหนำซ้ำยังมีสำนักถังเหมินหรืออำนาจที่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
แม้บิดาของถังเสวี่ยจะเป็นคนสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลี ทว่าในนามเขายังเป็นสกุลถัง หากถังเสวี่ยแต่งงานไป สำนักถังเหมินจะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในอำนาจที่เยี่ยโยวเหยาต้องการหลังจากออกเรือนไปแล้วอย่างแน่นอน
อำนาจทั้งสามด้านนี้ สำหรับบุรุษที่มีความทะเยอทะยานผู้หนึ่งแล้ว ถือเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากอย่างหนึ่ง
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งคิดว่า สิ่งนี้เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยโยวเหยาทอดทิ้งซูจิ่นซี และไปแต่งงานกับถังเสวี่ย กลับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ในชีวิตของข้า มีซูจิ่นซีเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
มีซูจิ่นซีเพียงผู้เดียวเท่านั้น?
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งตกตะลึงในทันที
ซูจิ่นซีเคยพูดมาก่อนว่า ชั่วชีวิตนี้เยี่ยโยวเหยามีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น ทว่ายังไม่เคยพูดต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาสักครั้ง ยิ่งไม่รู้ถึงความคิดของเยี่ยโยวเหยา
หากซูจิ่นซีได้ยินคำพูดเช่นนี้ นางจะต้องยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นานเป็นแน่ ใช่หรือไม่?
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งยังไม่ได้สติจากอาการตกตะลึง ทันใดนั้น เงาดำพลันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เยี่ยโยวเหยาเข้ามาแย่งป้ายหยกจากมือของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งไปแล้ว
น้ำเสียงของเขายังแสดงถึงอารมณ์เย็นชาเช่นเคย “ป้ายหยกชิ้นนี้คืนให้กับข้า ถือเสียว่าฮูหยินไม่เคยมาที่แคว้นจงหนิงมาก่อน และข้าก็ไม่เคยได้ยินคำพูดใดจากปากของฮูหยิน”
ไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้?
เยี่ยโยวเหยาไม่เต็มใจยอมรับสถานะที่แท้จริงของมารดาแท้ๆ ของตนหรือ?
ทว่าฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ในพริบตานางก็ขบคิดจนเข้าใจ
ตอนนี้เยี่ยโยวเหยาเป็นถึงโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง พระมารดาของเขาคือเฉินไท่เฟย หากให้ผู้อื่นล่วงรู้สถานะที่แท้จริงของเขา ต้องไม่เป็นประโยชน์ต่อเขาเป็นแน่
เมื่อคิดเช่นนี้ ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจึงเข้าใจความหมายในคำพูดที่เยี่ยโยวเหยาเอ่ยออกมา
แม้จะเสียใจอยู่บ้าง ทว่านางก็ยังยิ้มและพยักหน้า “ดี… ดี… เพียงเจ้ามีชีวิตที่ดี หากมารดาของเจ้าที่ล่วงลับไปแล้วได้ล่วงรู้ นางก็จะได้ตายตาหลับ”
“ฉางชิงคือผู้ใด? ”
“ข้าก็ไม่ชัดเจนนัก ในปีนั้น ตอนที่มารดาของเจ้าไปมาหาสู่กับเขา เขาก็ทำตัวลึกลับมาตลอด ข้าถามไถ่ไม่รู้กี่ครั้งเพราะเกรงว่านางจะเสียหาย ทว่ามารดาของเจ้ากลับไม่เคยบอกอันใดข้าเลย”
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วป้ายหยกนี้ไม่ได้เป็นของเยี่ยโยวเหยา ดังนั้นนางจึงคิดว่าเยี่ยโยวเหยาเป็นบุตรของจงซีจือ เยี่ยโยวเหยาจึงเชื่อว่าคำพูดของนางนั้นจริงใจ ไม่มีการพูดใส่ร้ายใดๆ
เมื่อนำป้ายหยกมาได้ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก เขาหันหลังเดินจากไป ทว่าฮูหยินเตี๋ยเมิ่งกลับร้องเรียกเขา
“โยวเหยา หลุมฝังศพของซีจืออยู่ที่ใด ก่อนที่ข้าจะจากไป ข้าต้องการไปจุดธูปคำนับนางสักครั้ง”
จงซีจือ อนุของซูจ้ง นางเสียชีวิตแล้ว หลุมศพก็ต้องอยู่ที่สุสานบรรพชนของสกุลซู ทว่าหากเยี่ยโยวเหยาพูดออกไป ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจะต้องรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ใช่บุตรของจงซีจือ
“ข้าก็ไม่ทราบ ตอนที่นางเสียชีวิต ไม่มีผู้ใดตั้งหลุมฝังศพให้นาง”
ไม่มีผู้ใดตั้งหลุมฝังศพ?
เช่นนั้นนางก็เป็นผีไร้ญาติวิญญาณเร่ร่อน?
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งยืนตะลึงด้วยความแปลกใจ หลังจากที่ร่างของเยี่ยโยวเหยาหายไปทางหน้าต่างท่ามกลางค่ำคืนที่มืดสนิท เป็นเวลานานกว่าที่ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจะได้สติกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
นางใช้มือค้ำกับโต๊ะและทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ พลางร้องห่มร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
“ซีจือ ในปีนั้น วันที่เจ้าจากไป เจ้ามีความลับอันใดซ่อนอยู่? ฉางชิงเป็นผู้ใดกันแน่? เหตุใดบุตรของพวกเจ้าจึงกลายเป็นอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง ในปีนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? ”
หลังจากได้ป้ายหยกมาแล้ว เยี่ยโยวเหยาก็ไม่สนใจเรื่องอื่นอีก
ทว่าเขากำชับให้องครักษ์เงาจับตาดูฮูหยินเตี๋ยเมิ่งในแคว้นจงหนิงทุกย่างก้าวและรายงานเขาทุกเมื่อ จนกว่าฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจะออกไปจากแคว้นจงหนิง
ร่างของเยี่ยโยวเหยาเหินขึ้นลงบนหลังคาตามถนนหลักฉางอันในเมืองตี้จิง เขาใช้วิชาตัวเบากลับไปยังจวนโยวอ๋อง
ร่างนั้นราวกับปีศาจร้ายที่มาจากนรก ทำให้ผู้คนหวาดกลัว และเป็นดั่งเทพเจ้าผู้สูงศักดิ์ที่ลอยลงมาจากสรวงสวรรค์ ทำให้ผู้คนไม่กล้าสร้างความขุ่นเคืองให้
บนโลกใบนี้ ผู้ที่มีนิสัยสองด้านซึ่งแตกต่างขัดแย้งกันอยู่ภายในตัวคนๆ เดียวกัน เกรงว่าจะมีเพียงเยี่ยโยวเหยาผู้เดียวเท่านั้น
ทันใดนั้น ร่างสีแดงที่สัมผัสได้ถึงเสน่ห์อันน่าหลงใหล ดั่งดอกม่านถัวหลัวริมแม่น้ำวั่งชวน พลันเหินลอยลงมาอยู่ด้านหน้าของเยี่ยโยวเหยา ขวางทางเยี่ยโยวเหยาไว้
หลังจากที่คนผู้นั้นหยุดยืนนิ่ง เขาไม่ได้หันหลังกลับมาในทันที
เขาเอามือไขว้หลัง ชุดสีแดงที่เย้ายวนใจพลิ้วไหวท่ามกลางลมหนาวราวกับธงสีแดงเพลิง ทว่าไม่เหมือนธงเสียทีเดียว กลับเป็นเหมือนผ้ายันต์สะกดวิญญาน ทำให้ผู้ที่หวาดกลัวเรื่องผีสางไม่กล้าลืมตามองดู
“เจ้ารนหาที่ตาย! ” แววตาของเยี่ยโยวเหยาเย็นชาน่ากลัว
คนผู้นั้นหันหลังกลับมา แท้จริงแล้วเขาคือจอมวายร้ายไป๋เฉ่าแห่งหุบเขาเทพโอสถ
ใบหน้าเย็นชาภายใต้หน้ากากแย้มยิ้มอย่างชั่วร้าย พลางพูดว่า “เยี่ยโยวเหยา เมื่อครู่ข้าได้ยินทุกคำพูด ป้ายหยกในมือของเจ้า แท้จริงไม่ใช่ของเจ้า ทว่าเป็นของแม่นางพิษน้อยผู้นั้น ใช่หรือไม่? ”
คนที่เขาพูดถึงก็คือซูจิ่นซี
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขายกแขนเสื้อขึ้นและโจมตีไปที่จอมวายร้ายไป๋เฉ่า
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าดึงแส้ยาวที่คาดเอวออกมาอย่างรวดเร็ว
ผ่านการสู้รบที่หุบเขาเทพโอสถมาแล้ว เยี่ยโยวเหยาทราบดีว่าบนแส้ยาวของจอมวายร้ายไป๋เฉ่ามีพิษ ดังนั้นจึงรีบหลบฉากออกไป
จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายืนตรงจุดเดิม เขาแย้มยิ้มอย่างชั่วร้าย “ฮ่าๆ เยี่ยโยวเหยา เจ้ามีฝีมือเท่านี้หรือ เมื่อไม่มีแม่นางพิษน้อย เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
คาดไม่ถึงว่าทันทีที่จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดจบ เยี่ยโยวเหยากลับพลิกฝ่ามือชูขึ้น ในมือพลันปรากฏอาวุธลับหลายชิ้น มันส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางความมืด เขาซัดอาวุธเข้าใส่จอมวายร้ายไป๋เฉ่าอย่างรวดเร็ว
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าไม่กล้าประมาทอีก เขารีบหลบฉากทันที
เพิ่งจะหลบฉากได้ เยี่ยโยวเหยาก็ตามมาซัดอาวุธลับอีกเป็นครั้งที่สอง
ตามด้วยครั้งที่สาม…
แม้จอมวายร้ายไป๋เฉ่าจะหลบได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับซัดอาวุธออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่า ในที่สุดการซัดอาวุธครั้งที่สาม จอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็หลบไม่พ้น อาวุธลับซัดเข้าที่ก้นของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าอย่างพอดิบพอดี
“บัดซบ! ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าร้องด้วยความตกใจ “เยี่ยโยวเหยา เจ้ามันหน้าไม่อาย เจ้าเล่นตุกติกกับข้า หากเจ้ามีความสามารถก็อย่าใช้อาวุธลับสิ”
หากเจ้ามีความสามารถก็อย่าใช้พิษสิ!
ทว่าเยี่ยโยวเหยาเกียจคร้านเกินกว่าจะพูดกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า
“วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง เมื่อถึงกำหนดเวลา หากเจ้ายังหาสิ่งของที่ข้าต้องการไม่พบ ข้าจะกำจัดเจ้าด้วยมือของข้าเอง! ”
พูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็หันหน้าไปทางจวนโยวอ๋องและจากไปในทันที
“บ้าจริง! ซี๊ด เจ็บจะตายอยู่แล้ว! ”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าสบถด่า เขาดึงอาวุธลับที่ก้นออกและทิ้งลงไปบนชายคาอย่างแรง
ทันใดนั้น ร่างสีขาวนวลจันทร์พลันเหินลงมาที่ด้านข้างของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า
คนผู้นั้นสวมเสื้อแพรสีขาวนวลจันทร์ คอเสื้อและปลายแขนเสื้อปักภาพไผ่สีเขียวอย่างประณีต ในมือถือพัด ท่วงท่างามสง่า ท่าทางขาวสะอาด มีสง่าราศีดั่งสายธารแห่งแสงจันทรา ทว่าใบหน้าของเขามีผ้าคลุมสีเดียวกับเสื้อผ้าปิดบังเอาไว้ จึงมองไม่ชัดว่าเขามีใบหน้าเป็นอย่างไร
“บ้าจริง! ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าหันกลับมามองเขา พลางสบถด่า “เล่นอันใดพิลึกพิลั่น ทำอันใดไร้ประโยชน์ ทั้งยังใส่ผ้าคลุมหน้าอีก น่าตกใจนักหรือ? ”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดพลางยื่นมือไปเปิดผ้าคลุมหน้าของบุรุษผู้นั้น