“ล็อตตี้แกล้งหนู เอมม่าอยากเล่นกับโอนี่จัง…”
“พี่บอกแล้วไงว่ามันรบกวนอาโอยางิคุง”
“โทษนะครับ…”
อาโอยางิได้ยินเสียงโหวกเหวกหน้าประตูเลยเปิดโผล่หน้าออกมา หัวเราะแห้งๆ
เสียงทะเลาะกันของชั้นกับเอมม่าดังจนเขาออกมาดูลาดเลาเหตุการณ์ ชั้นรู้สึกตัวแล้วว่าเสียงตัวเองคงจะดังลั่นจริงเล่นเอาหน้าร้อนผ่าว
“อ๊ะ โอนี่จัง”
เอมม่าเห็นหน้าอาโอยางิก็ดีใจ สีหน้าร่าเริงขึ้นมา โบกมือให้ ส่วนอาโอยางิคงพอจะเดาเหตุการ์ได้เลาๆ ก็ทำสีหน้าบรรยายไม่ถูก ได้แต่บอกแค่ว่า
“ยังไงก็ตาม เชิญเข้ามาในห้องผมก่อนครับ”
“ค….ค่ะ”
ชั้นได้รับแต่รับคำง่าย พาเอมม่าเดินเข้าห้อง
*****
“สวัสดีตอนเย็นครับเอมม่า”
“สวัสดีตอนเย็นค่า”
เอมม่าทักทายกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง สีหน้าเหมือนคาดหวังอะไรบางอย่าง
“ทำหน้าแบบนี้อย่าบอกนะว่า?”
“ใช่แล้วค่า โอนี่จังอุ้มหนูหน่อย”
เอมม่ายิ้มร่าเดินกางมือมาหาผม
เป็นเรื่องที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเอมม่าเจอผมแล้วต้องการให้ทำสิ่งใดเป็นอย่างแรก จะปฏิเสธ น้องก็ปล่อยโฮอีก สุดท้ายผมก็ปฏิบัติตามความต้องการของเอมม่า
“แฮะแฮะแฮะ”
พอถูกอุ้ม เอมม่าเปล่งเสียงหัวเราะแสดงความพึงพอใจทันที
เป็นเด็กขี้อ้อนจริงๆแฮะ
ผมลูบหัวเอมม่าอย่างอ่อนโยนพลางส่งสายตาไปให้ชาร์ล็อตที่มีท่าทางขอโทษขอโพย
“เรื่องเสียงดังหรือรบกวนวันนี้ไม่ต้องใส่ใจนะครับ
“แต่ว่า..”
เมื่อชาร์ล็อตเข้ามาในห้อง เธอเห็นโต๊ะผมมีหนังสือเรียนกับสมุดโน้ตวางอยู่ ใครมามองเห็นสภาพห้องตอนนี้ก้ต้องบอกได้ทันทีว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งติวบทเรียนอยู่
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ ผมเพิ่งเลิกติวตะกี้พอดี”
จริงๆผมโกหกเธอ แต่แน่นอนว่า เพื่อให้เธอสบายใจ มันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ
“น้องชั้นทำตามอำเภอใจจนรบกวนเธอมากขนาดนี้ไม่เป็นไรจริงเหรอคะ”
“คิดมากเกินไปครับ เราเป็นเพื่อนข้างห้องกันนะครับ ผมไม่มีปัญหาเลยที่พวกคุณจะแวะเข้ามาที่ห้องผม”
มีสาวน่ารักสองคนแวะเข้ามาหาถึงที่ ผมว่าไปถามผู้ชายทั้งโลก คงมีแต่คนยินดี ไม่มีใครไม่ชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าช่วงนี้สองพี่น้องจะแวะมาห้องผมทุกวัน ฉะนั้น เพื่อไม่ให้มีผลกระทบการเรียน ผมแค่เวลานอนให้น้อยลงก็จบ มันเป็นปัญหาที่แก้ไม่ยากเลย
ผมอยากให้สองพี่น้องเข้าใจความรู้สึกตรงนี้ อย่าเกรงใจที่จะแวะมาห้องผมเลย
“ล็อตตี้จู้จี้มากค่ะ”
จากที่ฟังเสียงดังกันเมื่อครู่ ถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าเอมม่ายังอารมณ์ค้างบาดหมางกับชาร็ล็อต น้องออกอาการงอนเต็มพิกัด แต่ก็เป็นอาการงอนที่เกิดจากตามวัยนั่นแหละ
แต่แน่นอนว่าคำพูดนี้ มันก็ถือว่าแรงในระดับหนึ่ง ชาร์ล็อตฟังแล้วก็ไม่โอเคกล่าว
“เอมม่า ถ้ากลับไปถึงห้อง เรามีเรื่องต้องอบรมนะ”
ถึงแม้ว่าชาร์ล็อตจะกล่าวพร้อมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูภายนอกก็ยังเป็นคนสวย แต่แรงกดดันที่ส่งมาจากตัวเธอ บอกได้แค่ว่าน่ากลัวเอาเรื่อง
“โอนี่จัง เอมม่าโดนแกล้งอีกแล้ว”
เอมม่าเอาหน้าเข้ามาซุกกับเสื้อผม พยายามปิดบังหน้าตัวเองไม่ให้ชาร์ล็อตเห็น ก่อนเหลือบมองผมด้วยสายตาอ้อนวอนทำท่าเหมือนจะร้องไห้
“ตอนนี้ชั้นรับบทเป็นตัวร้ายไปแล้ว และตอนนี้น้องก็หวังพึ่งอาโอยางิ ชั้นขอให้อาโอยางิช่วยบอกเอมม่าได้มั้ย”
“ได้ครับ เรื่องไหนผิด เราก็ต้องบอกน้องว่ามันผิด ผมทราบดีครับ สบายใจได้”
ผมรู้ว่าชาร์ล็อตไม่มีเจตนาแกล้งเอมม่าอยู่แล้ว แต่ว่าเอมม่าเองเจอชาร์ล็อตในบทโกรธ น้องเลยคิดว่าโดนแกล้ง ก็เป็นเรื่องที่ผมเข้าใจความรู้สึกเช่นกัน
“ขอบคุณมากค่ะ”
“เอมม่าครับ ไม่เป็นไรแล้วนะ ชาร์ล็อตไม่แกล้งหนูแล้วนะครับ”
ผมพยายามเลือกใช้คำพูดที่น่าจะไม่ทำร้ายจิตใจเอมม่า แต่ว่าพอเอมม่าฟังคำพูดผมจบ สีหน้าสลด
“โอนี่จังไม่เป็นพันธมิตรกับหนูแล้วเหรอ…?”
“หือ..?”
เอมม่าน้ำตาคลอเบ้ามองมาที่ผม เป็นปฏิกริยาที่ผมไม่นึกมาก่อนว่าจะเจอแบบนี้ เล่นเอารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายคนเลวทรามต่ำช้าแทนซะงั้น
ว่าไปเด็กตัวแค่นี้ไปเรียนรู้ศัพท์คำว่า พันธมิตร จากที่ไหนนะ เก่งเกินวัยจริง
“คือ..เอาน่า ทำใจให้สบายนะครับ ชาร์ล็อตไม่โกรธเอมม่าแล้วนะ”
ล็อตตี้โกรธหนูอยุ่”
เอมม่าส่ายศรีษะปฏิเสธคำพูดผม
จะว่าไม่โกรธ เอาจริงมันก็โกหกแหละ แต่ผมรู้ว่าที่เธอโกรธ เพราะเธอให้ความสำคัญกับเอมม่า เรื่องไหนที่ไม่ดีจริง ก็ต้องเตือนกันได้ แต่พอเตือนแล้วเจอปฏิกริยาแบบนี้ก็เล่นเอาปวดขมับไม่น้อยว่าควรใช้คำพูดแนวไหนดี
“พี่ไม่ได้โกรธแล้วนะ สิ่งที่พี่เตือนคืออยากให้ระวังมากกว่านะ”
ชาร์ล็อตเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง ผมเสริมต่อ
“ฮะฮะ เอมม่าเข้าใจทุกคนแล้วเนอะ คุณชาร์ล็อตเป็นพี่ที่ใจดี ส่วนผมก็เป็นพันธมิตรกับเอมม่าครับ”
“ปกป้องหนูด้วยใช่มั้ย…?”“
“แน่นอนครับ”
“เย้ หนูรักโอนี่จังที่สุดเลย”
ผมยิ้มอย่างพึงพอใจที่ผลลัพธ์ออกมาดี ส่วนเอมม่าก็มีทีท่าแฮปปี้ สบายใจละ
**
หมายเหตุ อยากอ่านไวกว่าใครนิดหนึ่ง ติดตามเพจผู้แปลได้ที่ kurakon