ตอนที่หลงเยว่หงซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังผงกศีรษะ ซางเจี้ยนเย่าที่นั่งข้างเขาก็ตบมือขึ้นมา
“เขาแสดงได้แนบเนียนมาก”
ราวกับว่าเขารู้สึกชื่นชมอีกฝ่าย
เจี่ยงไป๋เหมียนเอี้ยวคอกลับไปมองหลงเยว่หงแล้วถามอย่างยิ้มแย้ม
“นายคิดว่าจุดไหนน่าจะเป็นเรื่องโกหกมากที่สุด”
หลงเยว่หงครุ่นคิดแล้วตอบออกมา
“ผมจำได้ว่ามุขนายกเรนาโต้บอกว่าเขาตัดสินใจยุติพิธีมิสซาและขอให้วีลออกมา แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองอะไร
“เมื่อครู่ผมสังเกตเห็นว่ามีลำโพงติดตั้งอยู่หลายจุด เสียงของเรนาโต้น่าจะดังไปทั่วทั้งชั้นใต้ดิน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่วีลจะไม่ได้ยิน แต่กว่าเขาจะออกมาก็รอจนผ่านไปหนึ่งคืน”
“ดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดชมเชยประโยคหนึ่ง “นายผ่านคุณสมบัติด้านการสังเกตแล้ว”
เธอถามต่ออีก
“แล้วถ้าหากว่าตอนนั้นวีลเกิดหลับอยู่ล่ะ”
“ถ้าเขาหลับอยู่ก็ไม่น่าจะหลบการค้นหาของมุขนายกได้… ก็ผู้ตื่นรู้สามารถรับรู้จิตสำนึกได้ในระยะขอบเขตประมาณหนึ่งไม่ใช่เหรอ” หลงเยว่หงที่ถูกชมก็พลันมีความมั่นใจขึ้นอีกไม่น้อย “คนที่หลับอยู่จะย้ายตำแหน่งไม่ได้”
การมีผู้ตื่นรู้อย่างซางเจี้ยนเย่าอยู่ในทีมทำให้เขาไม่ขาด ‘ความรู้พื้นฐาน’ ในด้านนี้
ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยยิ้ม
“นายไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาจะเป็นผู้ตื่นรู้น่ะ”
หลังจากตอบด้วยคำถามเสร็จ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ฉันสงสัยว่าพิธีซ่อนกายเป็นพิธีกรรมตื่นรู้”
“ทำไมล่ะ” หลงเยว่หงโพล่งถามออกมาทันที
ซางเจี้ยนเย่าเริ่มวิเคราะห์
“นายดูสิ…”
เมื่อได้ยินคำนี้ หลงเยว่หงถึงกับหนังศีรษะชาหนึบ
“หยุด!
“ไม่ต้องมา ‘นายดูสิ’ หรอก พูดออกมาเลย”
ซางเจี้ยนเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขาแล้วยกนิ้วขึ้นมาทีละนิ้ว
“หนึ่ง การเล่นซ่อนหาของนิกายตื่นตัวมีความเป็นพิธีกรรมมาก
“สอง เมื่อมีผู้ศรัทธาในศาสนาของผู้ครองกาลมาก ก็ยิ่งมีผู้ตื่นรู้มากขึ้นไปด้วย
“ดังนั้น…”
หลงเยว่หงตบมือทั้งสองข้าง แล้วพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ดังนั้นพิธีซ่อนกายก็คือพิธีกรรมตื่นรู้!”
เจี่ยงไป๋เหมียนที่เฝ้ามองกระบวนการทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น ได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ แล้วยกมือปิดหน้า
“นายอย่ารังแกเสี่ยวหงนักสิ…”
“…” ดวงตาหลงเยว่หงขยับวูบ หันมามองซางเจี้ยนเย่าด้วยความงุนงง
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดเสริมขึ้นหนึ่งประโยค
“ไม่มีหลักฐานสักหน่อยว่าพิธีมิสซาขององค์กรศาสนาคือพิธีกรรมตื่นรู้”
ตอนนี้หลงเยว่หงถึงได้รู้ตัวขึ้นมา
“เอ๊ะ…”
ซางเจี้ยนเย่ายิ้ม
“นายดูสิ ฉันไม่ได้พูด ‘นายดูสิ’ ก็ยังชักจูงนายได้เลย”
“แบบนี้ก็เรียกว่าชักจูงด้วยเหรอ” หลงเยว่หงเถียงด้วยความโมโห
เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นด้านหนึ่งก็มองทางข้างหน้า อีกด้านก็ปรามไม่ให้ทั้งสอง ‘ทะเลาะ’ กันต่อ
“ถ้าอย่างนั้นก็มีปัญหาแล้วล่ะ ตอนที่ผู้ตื่นรู้หลับไปแล้วก็ยังพรางตัวซ่อนจิตสำนึกไว้ได้ด้วยเหรอ”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยทดลองมาก่อน” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกเสียใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ
“ไม่ว่าวีลจะเป็นผู้ตื่นรู้หรือไม่ก็ตาม ทำไมเขาถึงไม่ยอมออกมาตอนที่มุขนายกตัดสินใจสิ้นสุดพิธีมิสซาล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“เพื่อความสนุก!”
เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองหลงเยว่หง
หลงเยว่หงตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัย
“ถ้าเป็นซางเจี้ยนเย่า หากหมอนี่ไม่ปรากฏตัวออกมาก็คงเพราะความสนุก
“แต่ถ้าไม่ใช่ การที่เขายังซ่อนตัวต่อจะมีประโยชน์อะไร ถ้ามุขนายกไม่เจอตัวเขาจะทำให้ตื่นรู้ได้ง่ายขึ้นหรือไง”
“สมแล้วที่เป็นเพื่อนรักของฉัน” ซางเจี้ยนเย่าชมเขา
ตอนนี้เองที่หลงเยว่หงรู้ตัวว่าตนเองถูกชักจูงว่า ‘พิธีซ่อนกายอาจจะเป็นพิธีกรรมตื่นรู้’ ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
เขาลังเลไปเล็กน้อย
“ฉัน… ฉันก็อนุมานไปตามหลักเหตุผลนั่นแหละ
“มันมีความเป็นไปได้แบบนั้นจริงๆ นี่นา”
“อืม ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ยังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีกหรือเปล่า”
“เขาไม่ได้ยิน” ซางเจี้ยนเย่าพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
หลงเยว่หงกำลังจะแย้งไปว่าวีลไม่ได้หูหนวกหรือหูตึงเสียหน่อย แต่ก็พลันรู้สึกได้ว่าคำพูดนี้เหมือนจะกระทบหัวหน้าทีมก็เลยรีบหุบปากทันที
ไป๋เฉินซึ่งกำลังขับรถมองไปข้างหน้า ก็เข้าร่วมกับการถกประเด็นด้วย
“ถ้าวีลไม่ออกมา อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้แค่สองอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือไม่อยากออกมา สองคือไม่ได้ยิน
“ไม่อยากออกมา ไม่ว่าจะเต็มใจหรือเปล่าก็เป็นปัจจัยส่วนตัว พวกคุณเพิ่งจะวิเคราะห์กันไป ซึ่งจากในตอนนี้ก็ยากจะวิเคราะห์ต่อไปได้อีก ด้วยจำนวนและตำแหน่งของลำโพงในพิธีมิสซานั้น ถ้าวีลไม่ได้ยินจริงๆ นั่นก็หมายความว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ในชั้นใต้ดินนั่น”
“ใช่!” หลงเยว่หงตระหนักขึ้นในทันที “หรือว่าวีลจะใช้ช่องระบายอากาศเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ของมาร์ดิโก้”
ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะไม่มีใครเจอตัวเขาข้างนอก และเขาก็ไม่ได้ยินเสียงของมุขนายกที่ประกาศสิ้นสุดพิธีมิสซาด้วยเช่นกัน!
“ในทางทฤษฎีก็เป็นไปได้อยู่ แต่นั่นมันค่อนข้างยาก” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบาย “ด้วยรูปแบบของตระกูลดิมาร์โก้ ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะออกแบบช่องระบายอากาศที่สามารถแอบเข้าออกได้ง่ายๆ ทางเข้าออกภายในจะต้องมีคนคอยป้องกันเอาไว้อย่างแน่นอน”
พูดถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา
“ฉันยังสงสัยอยู่ว่า ‘นาวาบาดาล’ นี่ไม่น่าจะมีช่องระบายอากาศแค่ทางด้านโบสถ์เท่านั้น ควรจะต้องมีด้านอื่นด้วย และจะต้องถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่อย่างนั้นตอนที่ถูกศัตรูจากภายนอกปิดผนึกไว้ ‘นาวาบาดาล’ ก็คงทนอยู่ได้ไม่นาน
“พวกนายลองคิดดูสิ บริษัทเราสามารถสร้างระบบนิเวศภายในได้เอง ในสถานการณ์ปกติก็ยังไม่กล้าปิดกั้นการถ่ายเทอากาศจากพื้นโลกอย่างสิ้นเชิงเลย”
แต่ถ้ามีสถานการณ์ที่มลพิษแพร่กระจายอยู่บนพื้นโลก นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ใช่ ใช่” หลงเยว่หงเห็นด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“การลงไปใต้ดินน่ะคงเป็นไปไม่ได้ แต่การขึ้นมาบนดินน่ะไม่แน่”
“เป็นเพราะหลายคนมักเลือกซ่อนตัวอยู่ที่ช่องระบายอากาศ ฉันก็เลยสังเกตจุดนี้เป็นพิเศษทั้งก่อนและหลังเข้าไปในโบสถ์ แล้วก็พบว่านิกายตื่นตัวนั้นไม่ได้ส่งคนไปเฝ้าไว้เป็นพิเศษ
“อืม… ยังตัดประเด็นที่ว่าพวกเขาซ่อนอยู่ข้างในตั้งแต่ก่อนหน้านี้ทิ้งไปไม่ได้เหมือนกัน การตรวจจับของฉันมันไม่ได้ครอบคลุมอย่างสมบูรณ์”
หลงเยว่หงครุ่นคิดใคร่ครวญแล้วกล่าวเสริม
“หรือพูดอีกอย่างก็คือ มีแนวโน้มว่าหลังจากเริ่มพิธีมิสซาไปไม่นาน วีลก็ใช้ช่องระบายอากาศในจุดที่คนเฝ้าไม่ทันระวังเพื่อออกมาจากโบสถ์แล้วซ่อนตัวอยู่ในซากเมืองใกล้ๆ จากนั้นค่อยกลับเข้ามาตอนที่คิดว่าน่าจะใกล้จบแล้ว
“เป้าหมายของเขาก็คือเป็นผู้ชนะเลิศเหรอ
“นี่ถือว่าเป็นเกียรติอันสูงส่งของผู้ตื่นรู้หรือเปล่า”
ซางเจี้ยนเย่ารีบให้ ‘คำตอบ’ ออกมาด้วยความตื่นเต้น
“หรือว่าผู้ที่ชนะเลิศการซ่อนหาจะได้รับการุณย์แห่งเทพ ได้พลังผู้ตื่นรู้”
“ใครจะไปรู้ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบกลับมาประโยคหนึ่ง “ถ้าจะพูดกันอย่างเคร่งครัดแล้วละก็ วีลน่ะ ละเมิดกฎอย่างชัดเจน แต่เรื่องภายในของนิกายตื่นตัวไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา เราแค่ยืมใช้สถานการณ์นี้เพื่อฝึกฝนกระบวนการคิดก็พอแล้ว เอาละ เอาละ กลับไปที่ชุมชนศิลาแดงกัน ไปดูว่ายังรับภารกิจอะไรได้บ้างไหม”
เมื่อเห็นว่าซากเมืองอยู่ไม่ห่างนัก จู่ๆ ไป๋เฉินก็พูดมาหนึ่งประโยค
“หลังจากที่ได้ฟังเรื่องของตระกูลดิมาร์โก้แล้ว ฉันยิ่งรู้สึกว่าการสืบสวนสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าควรเริ่มต้นจากที่บริษัทก่อน ตั้งแต่หัวหน้าใหญ่ คณะกรรมการบริหาร แล้วก็เอกสารตั้งแต่ช่วงแรกๆ เลย”
ในประเด็นนี้เจี่ยงไป๋เหมียนย่อมเคยพิจารณาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าระดับสิทธิ์ในปัจจุบันยังไม่อาจทำได้
ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลายลง บริษัทกลับสามารถรวบรวมทรัพยากรจำนวนมากเพื่อนำมาใช้กับเทคโนโลยีเหนือจินตนาการ สร้างเป็นอาคารใต้ดินที่ยิ่งใหญ่อลังการ มีระบบนิเวศภายในอย่างสมบูรณ์แบบ หากบอกว่าไม่เคยตระหนักหรือคาดการณ์ไว้ว่าโลกเก่าจะถูกทำลายลงในสักวัน จะมีใครเชื่อล่ะ
อย่างน้อยก็พนักงาน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นี่แหละ… ที่ไม่เชื่อ!
แม้แต่หลงเยว่หงซึ่งมักหลอกตัวเองอยู่เสมอก็ยังไม่เชื่อเลย ทำได้เพียงแค่ช่วยหาเหตุผลข้างๆ คูๆ มาเป็นข้ออ้างให้บริษัทเท่านั้นเอง
คำพูดของไป๋เฉินนี้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา
“รอไว้ก่อน รอไว้ก่อน
“เสี่ยวไป๋เอ๋ยเสี่ยวไป๋ เธอพูดคำพูดพวกนี้ออกมาได้ แสดงว่าต้องเชื่อใจเรามากพอควรเลยนะเนี่ย!”
เธอพูดออกมาด้วยความยินดีและภาคภูมิใจ
ไป๋เฉินยังคงจ้องมองไปเบื้องหน้าประหนึ่งว่ากำลังจดจ่ออยู่กับการขับรถ
รอจนผ่านไปหลายวินาทีเธอถึงจะพูดต่อ
“ตอนที่ยังรอนแรมอยู่ในแดนธุลี ฉันก็ยังไม่ได้คิดแบบนี้หรอกนะ
“จนกระทั่งตอนที่รู้ว่าบริษัทมีอาคารใต้ดินแบบนั้น ฉันก็เริ่มสงสัยว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในเงื้อมมือของจอมวายร้ายตัวสุดท้ายหรือเปล่า แบบว่าเป็นลาสบอสน่ะ”
“นั่นเป็นเรื่องดีนะ” ซางเจี้ยนเย่าเน้นย้ำ
หลงเยว่หงเองก็ถอนหายใจ
“ยังดีที่พวกกองกำลังใหญ่ทั้งหลายบนพื้นโลกนั่นไม่รู้ว่าบริษัทอยู่ที่ไหน ภายในเป็นยังไง ไม่งั้นพวกเขาต้องสงสัยแน่ๆ ว่าบริษัทเกี่ยวข้องกับการทำลายล้างโลกเก่า…”
พูดมาถึงตอนนี้ เขาก็พลันชะงักงันไป ตระหนักได้ว่าภาพความเป็นจอมวายร้ายของบริษัทนั้นยากขจัดออกไปได้จริงๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าใครไม่ยอมทำตาม ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของพวกเราละก็ พวกเราจะแสดงให้ดูว่าจอมวายร้ายตัวสุดท้ายน่ะมีหน้าตาเป็นยังไง!”
“ดี!” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยความกระตือรือร้นสุดๆ
* * * * *
หลังจากเข้ามาในชุมชนศิลาแดงแล้ว เนื่องจากว่ายังเร็วเกินไปสำหรับอาหารมื้อเที่ยง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่จึงกลับมาที่สมาคมนักล่าอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสวมหน้ากากกันทุกคน ทว่าชายหนุ่มที่สูงอย่างซางเจี้ยนเย่ากับหญิงสาวที่สูงอย่างเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นยากจะพบเห็นได้ในชุมชนศิลาแดง ยิ่งพอมาอยู่ร่วมกันแล้วก็เรียกได้ว่าทีมเช่นนี้มีเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสอง
“มาติดตามภารกิจเรื่องอาวุธเหรอคะ” พนักงานที่สวมหน้ากากเสือกล่าวทักทายเขา
“คุณมองทะลุการปลอมตัวของผมได้เหรอ” ซางเจี้ยนเย่าตกตะลึง
“ถ้านายหักขาทิ้งจะทำให้การปลอมตัวได้ผลดีขึ้นนะ” เป็นเรื่องยากมากที่หลงเยว่หงมีโอกาสได้เอาคืนซางเจี้ยนเย่า เขาย่อมไม่ปล่อยให้พลาดโอกาสอยู่แล้ว
“ตั้งแต่เข้ามาในชุมชนศิลาแดง ฉันก็ย่อตัวงอเข่าไปแล้วนะ!” ซางเจี้ยนเย่าเน้นย้ำ
“แต่ฉันเปล่าทำ” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจ
จากนั้นเธอก็หัวเราะพูดเยาะเย้ยออกมาประโยคหนึ่ง
“นายเดินแบบนี้ ยิ่งเหมือนลิงเข้าไปใหญ่”
ในตอนนี้พนักงานที่สวมหน้ากากเสือก็ขัดจังหวะขึ้นมา
“พวกคุณยังจะรับทำภารกิจอาวุธต่ออีกหรือเปล่า”
“รับสิ” ไป๋เฉินเดินก้าวเข้ามาแล้วตอบอย่างใจเย็น
พนักงานพูดต่อทันที
“คุณนายเทเรซ่า ภรรยาม่ายของเฮลเว็กมาที่นี่ บอกว่ายังให้ดำเนินภารกิจต่อ ตอนนี้รอพวกคุณอยู่ที่ร้าน ‘ปืน’ น่ะ”
หลังจากเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไปยังร้าน ‘ปืน’ ที่ชั้นสามอย่างรวดเร็ว
เทเรซ่าไม่ได้ซ่อนตัว เธอสวมชุดผ้าหนาสีดำ สวมหมวกซึ่งมีผ้าคลุมสีดำยาวห้อยลงมา นั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้
เจี่ยงไป๋เหมียนมองทะลุผ้าคลุมสีดำเข้าไปก็พอจะเห็นได้อย่างเลือนลางว่าเธอเป็นชาวแม่น้ำแดง ดวงตาสีเขียว จมูกโด่ง
ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนมาพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดงอย่างลื่นไหล
“อรุณสวัสดิ์ คุณนายเทเรซ่า”
“อรุณสวัสดิ์” เทเรซ่าตอบด้วยเสียงแหบเล็กน้อย จากนั้นก็ชี้ไปที่เก้าอี้ข้างเธอ “นั่งสิ”
เธอใช้ภาษาแม่น้ำแดงจริงๆ
รอจนกระทั่ง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนนั่งลงแล้ว เธอก็พูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
“ฉันอยากจะเพิ่มภารกิจอีกเรื่องหนึ่ง
“สืบหาสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตของสามีฉัน”
“นี่ไม่ใช่ว่าเป็นหน้าที่ของนายอำเภอหรอกเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามแทนคำตอบ
น้ำเสียงของเทเรซ่าดังขึ้นเล็กน้อย
“หานวั่งฮั่วเป็นคนภาษาธุลี เขาก็ต้องเข้าข้างคนพวกนั้นอยู่แล้ว!”
เธอพูดชื่อ ‘หานวั่งฮั่ว’ ด้วยการออกเสียงเลียนแบบ ไม่ได้ใช้คำแทนในภาษาแม่น้ำแดง
“คนภาษาธุลี…” เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ก็พวกคนที่พูดภาษาแดนธุลีน่ะ” เทเรซ่าอธิบาย “พวกเขาอิจฉาที่พวกเราชาวแม่น้ำแดงผูกขาดการค้าอาวุธ ก็เลยคิดอยากจัดการพวกเรามาตลอด หานวั่งฮั่วก็เป็นคนที่พวกเขานั่นแหละให้การสนับสนุนขึ้นมา เหอะ เหอะ ถึงเปลือกนอกจะดูว่าเขาเป็นคนนอก แต่แล้วยังไงล่ะ เขาไม่ใช่พวกคนภาษาธุลีหรือไง เขาน่ะเอาแต่บอกว่าเฮลเว็กตายเพราะตกใจจนตาย!”