ตอนที่ 88 สิ่งที่อยู่ภายในฟันเฟือง
ฟันเฟืองนี้เป็นของจริง เมื่อฟาร์มามองเข้าไปในกลไกของมัน มันมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและขนาดใหญ่ เมื่อพิจารณาจากการเห็นก้อนกรวดกำลังล่องลอยอยู่ภายในอากาศ ทำให้ทราบว่าอีกด้านหนึ่งของกระจกสะท้อนนี้ไร้แรงโน้มถ่วง นั่นก็หมายความว่ามันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจริงๆ แม้กระทั่งออกแบบยังทำไม่ได้เลย
คำพูดของปิอุสจึงดูน่าเชื่อถือขึ้นบางส่วน
“ในเมื่อท่านเห็นการทำงานของมันแล้ว ข้าอยากจะถามอีกครั้ง ท่านคิดจะทำเช่นไรกับอุปกรณ์นี้ที่จำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งเทพนับแต่นี้ตลอดไป”
พอปิอุสถามถึงการตัดสินใจของฟาร์มาอย่างเคร่งขรึม พอได้ยินแบบนั้นเขาก็รู้สึกเอือมจนพูดไม่ออก
“ทำไมเชื่อแบบนั้นกันล่ะครับ ก็รู้อยู่แล้วนี่ไม่ว่าผมจะทำอะไรไปตอนนี้ มันก็แค่เป็นการยืดปัญหาออกไปอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้าใช่ไหมล่ะครับ ทางที่ดีเราควรมาสังเกตมันว่าจากนี้ไปมันจะเป็นอย่างไรน่าจะดีกว่านะครับ”
“เพราะเราไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าจะมีเทพผู้พิทักษ์องค์ต่อไปจุติลงมา หากเป็นไปได้ข้าก็อยากจะหาวิธีการแก้ไขเรื่องนี้อย่างถาวรไปเลย ไม่เช่นนั้น ข้าก็คงได้กลายเป็นวิญญาณร้ายเป็นแน่”
คำว่า “วิญญาณร้าย” หลุดออกมาจากปากของปิอุส จักรพรรดินีที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ถามเขาด้วยความสงสัย
“ถ้าพระสันตะปาปากลายเป็นวิญญาณร้ายแบบนี้ คนที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังจะเดือนร้อนเอานะ นี่เจ้าจะหนีปัญหาที่ก่องั้นหรือ”
ส่วนทางฟาร์มาที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแล้วคิดว่าตนได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า ส่วนปิอุสก็มองไปยังโพรงบริเวณชั้นใต้ดิน ซึ่งมีอากาศเย็นลอยเข้ามา สีหน้าที่ว่างเปล่าของเขาทำให้รู้ว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้
“ไม่หรอก…ข้าไม่ได้คิดจะหนีไปไหน แต่ในนครศักดิ์สิทธิ์ แห่งนี้มีสิ่งหนึ่งที่คนส่วนมากไม่ทราบ ท่านหรือรู้ไม่ว่าทำไมทุกๆ 12ปีถึงต้องมีการเปลี่ยนตัวพระสันตะปาปา”
ปิอุสค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมและเปิดแผ่นหลังให้ฟาร์มาและคนอื่นๆ ดูก็พบว่าผิวของเขานั้นที่ซีดเซียวและผอมแห้ง โดยแผ่นหลังของเขานั้นก็มีตราสัญลักษณ์บางอย่างสลักเอาไว้อยู่ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของรอยสักนั้นกลายเป็นสีดำไปแล้ว ส่วนอีกสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นสีน้ำเงิน ฟาร์มาเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพที่แปลกตาเช่นนี้ เพราะลักษณะของมันช่างคล้ายกับตราแห่งเทพโอสถหรือตราเทพอัคคีของจักรพรรดินี ทั้งสองที่เห็นเช่นนั้นก็ถามปีอุส
“มันไม่ใช่ตราแห่งเทพหรอกแต่มันคือสิ่งที่ผู้แบกรับตำแหน่งพระสันตะปาปาต้องรับไว้ มันถูกเรียกว่า ตราหลอมละลาย และในวันที่เกิดสุริยุปราคา ตราสัญลักษณ์นี้ก็จะเริ่มมีการเคลื่อนไหว”
“มันจะเกิดอะไรขึ้นครับ การเคลื่อนไหวที่ว่าคืออะไรกันแน่”
ฟาร์มาถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“พลังแห่งเทพอย่างเดียวมันไม่เพียงพอหรอก มันจำเป็นต้องมีน้ำมันหล่อลื่นด้วย ไม่งั้นฟันเฟืองมันก็จะสึกหรอ ฟันเฟืองนี้ก็เช่นเดียวกัน”
ฟาร์มารู้ถึงสิ่งที่ปิอุสต้องการจะสื่อ
“ตราสัญลักษณ์นี้มันมีไว้เพื่อเลือกมนุษย์ไว้สำหรับเป็นน้ำมันหล่อลื่นให้กับฟันเฟืองยังไงล่ะ ตัวข้าจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งนั้นอยู่ภายในห้องนี้แหละ ถึงมันจะมองไม่เห็นก็ตามและพอข้าหายไปแล้ว ก็ไม่รู้หรอกนะว่าคนต่อไปจะเป็นใคร แต่หากคนผู้นั้นมีตรานั้นขึ้นที่ร่างของตน เขาคนนั้นก็จะกลายเป็นพระสันตะปาปาคนถัดไป…..แน่นอนว่าตามประวัติศาสตร์แล้วไม่มีพระสันตะปาปาคนไหนรอดชีวิตไปได้เลย”
ฟาร์มาตกตะลึงแต่พวกคาร์ดินัลที่อยู่รายรอบกลับเพิกเฉยต่อคำพูดของปิอุสราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ปิอุสกำลังจะเสียชีวิตด้วยกลไกลึกลับนี้
ฟาร์มารู้สึกเหมือนร่างกายของเขาถูกแช่แข็ง
ปิอุสถามฟาร์มาที่กำลังตะลึงอยู่เหมือนต้องการยืนยันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ฟันเฟืองนั้นมันมีอยู่จริงสินะ ท่านเห็นมันแล้วใช่ไหมล่ะ”
(ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ…)
นับตั้งแต่ที่ฟาร์มาได้พบกับปิอุส เขาก็สงสัยมาโดยตลอดว่าปิอุสก็ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับนักบวชในนครศักดิ์สิทธิ์
เพราะโดยปกติแล้วในโลกใบนี้หากพลังแห่งเทพยิ่งแข็งแกร่ง ก็หมายความว่าได้รับการปกป้องจากเทพพิทักษ์มากเป็นพิเศษ
และหากปริมาณของพลังแห่งเทพเป็นคุณสมบัติของการเป็นพระสันตะปาปา ก็ควรจะมองว่าตำแหน่งนั้นต้องเป็นผู้ที่มีพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในนครศักดิ์สิทธิ์เป็นธรรมดา
แต่เห็นได้ชัดว่าปิอุสนั้นเป็นผู้โชคร้ายที่ถูกเลือกโดยตราหลอมละลาย
มันเป็นสถานการณ์เดียวกับที่จักรพรรดินีได้รับตราแห่งเทพอัคคี แต่ความต่างของมันอยู่ตรงที่เกียรติยศที่ได้รับมาจากนั้น
ชะตากรรมที่รอคอยปิอุสอยู่ช่างแตกต่างจากจักรพรรดินี
“เอาเป็นว่าที่นี่คือหลุมศพของข้า ไม่ว่าท่านจะทำเช่นไรมันก็ไม่มีทางออกแล้ว แต่ก็ไม่เลวนะที่ก่อนตายได้พูดคุยกับคนมากมายเช่นนี้”
จำนวนผู้ตายที่ฟาร์มาพบในห้องใต้ดินแห่งนี้
บางทีน่าจะเป็นดวงวิญญาณของเหล่าพระสันตะปาปารุ่นก่อนๆ ที่ต้องทำหน้าที่ปกป้องโลกใบนี้
“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเหล่าเทพผู้พิทักษ์จึงต้องสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาด้วย”
เขาถอนหายใจก่อนจะพึมพำออกมาโดยไม่ต้องการคำตอบ
ในนครศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งเป็นนักบวชระดับสูงเท่าใด ความศรัทธาในเทพผู้พิทักษ์ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น การได้เห็นตราหลอมละลายซึ่งปราศจากความเมตตาและสังเวยให้กับความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย่อมไม่มีทางที่ศรัทธาจะเกิดขึ้นในหมู่นักบวชระดับสูง
“ข้ารู้สึกผิดหวังจริงๆ ท่านแพทย์โอสถฟาร์มา ถึงท่านจะมีพลังแห่งเทพจำนวนมากอย่างที่โลกนี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่ท่านกลับบอกว่าตนไม่ใช่เทพผู้พิทักษ์แถมยังไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับฟันเฟืองนี้อีก จะให้ข้าเชื่อเรื่องไร้สาระเช่นนั้นได้จริงๆ หรือ”
ฟาร์มาไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหน้าฟังปิอุสที่ผิดหวังในเรื่องนี้อยู่
“แล้วเมื่อไรเราจะได้พบกับเทพผู้พิทักษ์ที่รู้ความจริงของอุปกรณ์นี้ได้กันเล่า ทำไมข้าถึงต้องถูกสาปโดยเทพผู้พิทักษ์กัน ข้าอยากจะเห็นจริงๆ วันที่เหล่ามนุษยชาติจะเป็นอิสระจากเกมของพวกเทพผู้พิทักษ์”
ก่อนที่จะได้พบกับปิอุส ฟาร์มาเคยจินตนาการว่าปิอุสได้ใช้จูเลียน่าเป็นตัวประกันเพื่อหมายเอาชีวิตของฟาร์มาหลายต่อหลายครั้ง เป็นคนที่เลือดเย็นและเจ้าเล่ห์
นอกจากนี้ยังสงสัยว่านครศศักดิ์สิทธิ์ที่มีปิอุสเป็นพระสันตะปาปา จะเน่าเฟะเพียงใดหากมองถึงศีลธรรมในใจเขา
แต่ความเลือดเย็นนั้นกลับไม่ได้มุ่งไปหาเพียงแค่ผู้อื่นเท่านั้น มันยังมุ่งมาที่ตัวเขาเองด้วย เขายอมรับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของตนในการเป็นเครื่องสังเวยให้กับบางสิ่ง
“คุณปิอุส…ทำหน้าที่เป็นพระสันตะปาปามากี่ปีแล้วครับ? หรือว่าใกล้จะครบกำหนดแล้ว”
พอฟาร์มาถามปิอุสเช่นนั้น เขาก็ยิ้มออกมา
“ถึงจะเป็นการแสดง แต่ก็ช่างน่าแปลกใจที่ท่านสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วย ช่างขัดแย้งกับตัวตนของเทพผู้พิทักษ์ที่สร้างเครื่องจักรสังหารนี้ขึ้นมาด้วยความเลือดเย็นเลยนะ ข้าละถูกใจจริงๆ”
จักรพรรดินีนั้นครองราชย์มาเป็นปีที่สิบแล้ว และเธอบอกว่าเธอได้พบกับปิอุสครั้งแรกในวันที่ครองราชย์ นั่นก็หมายความว่าเวลาผ่านไปแล้วอย่างต่ำสิบปี
และพระสันตะปาปาจะเปลี่ยนทุกๆ สิบสองปี
หากคำพูดเหล่านั้นเป็นความจริง ปิอุสก็ใกล้จะถึงเวลาจากไปแล้ว
ปิอุสยังคงยิ้มออกมา
“ตัวข้ามันก็เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะของแบบนี้มันก็เหมือนกับข้าอยู่ในโลกแห่งความตายแล้วยังไงล่ะ”
“โปรดบอกเรามาเถอะครับ ว่าคุณยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่! จนกว่าจะถึงตอนนั้นเราจะต้องหาทางไขปริศนาของฟันเฟืองนี้แล้วพยายามหยุดห่วงโซ่แห่งโศกนาฏกรรมและความเกลียดชังนี้ให้ได้ในรุ่นเรา…!”
ฟาร์มาพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับสุริยุปราคาครั้งต่อไปจากปิอุส แต่ปิอุสไม่ยอมพูดออกมา
“อย่ามาทำตัวมีเมตตาหน่อยเลย”
“ผมไม่ได้เสแสร้งนะครับ! สุริยุปราคาครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ!”
หลังจากปิอุสตายไป ก็จะมีผู้ถูกเลือกคนถัดไป ห่วงโซ่แห่งฝันร้ายยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดิม ฟาร์มารู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องปกป้องไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอีก
ทันใดนั้น ฟาร์มาและคนอื่นๆ ก็ถูกแรงกระแทกอย่างมหาศาลพุ่งเข้าโจมตีจากทางพื้นดินจนเสียการทรงตัว
(แผ่นดินไหว!? ทำไมมันรุนแรงได้ขนาดนี้กัน!)
อย่างไรก็ตาม หากคุณมองดูรอบๆ อย่างใกล้ชิด โครงสร้างทั้งหมดจะไม่สั่นไหว มันไม่ใช่แผ่นดินไหว ในขณะที่ลังเล รอยแตกก็ปรากฏขึ้นบนพื้นทั้งหมด และหลังจากนั้นไม่กี่วินาที พื้นกระจกก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และทรุดตัวลงไป ปิอุสและจักรพรรดินีซึ่งอยู่ใจกลางของการสั่นไหว
แต่พอมองไปรอบๆ ให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าโครงสร้างของตัวอาคารไม่ได้สั่นไหว นั่นหมายความว่ามันไม่ใช่แผ่นดินไหว ขณะที่กำลังสับสน รอยแตกก็ปรากฏขึ้นที่พื้น ไม่นานนักคริสทัลซึ่งทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนที่พื้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ปิอุสและจักรพรรดินีที่อยู่บริเวณใจกลางของการสั่นไหว ก็ถูกฟันเฟืองนั้นดูดเข้าไป
(แย่แล้ว……ไม่นะ!)
อากาศถูกดูดเข้าไปภายในห้วงสุญญากาศนั้น มันได้คว้าเอาร่างทั้งสองเข้าไปด้วยแรงดูดอันมหาศาล
หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พื้นที่เหลืออยู่ก็จะพังทลายไปจนหมดและทำให้ทุกคนโดนดูดเข้าไปสุญญากาศจนเสียชีวิตในทันทีจากการโดนฟันเฟืองนั้นบดขยี้
ฟาร์มาตัดสินใจอย่างรวดเร็วก่อนจะดึงบัตรประจำตัวออกมาแล้วเสริมพลังไปที่เท้าของเขา เขารีบสร้างพื้นขึ้นมาใหม่เพื่อไม่ให้นักบวชล้มลง ก่อนจะทำการพาร่างของตนทะยานไปในสุญญากาศ หลบหลีกเศษไม้ที่แตกหักออกมา จนไปถึงยังฟันเฟือง
ปีอุสที่ถูกดูดเข้าไปก่อนได้ถูกใบมีดอันใหญ่ยักษ์ของฟันเฟืองกระแทกเข้าอย่างรุนแรงจนกลายเป็นเนื้อบดไป ส่วนจักรพรรดินีถึงตอนนี้จะไม่รอดพ้นจากความตาย แต่ร่างของเธอก็เข้าใกล้ศูนย์กลางของฟันเฟืองเข้าไปทุกที
ดวงตาของเธอเบิกกว้างและพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่ ร่างของเธอลอยอยู่ในอากาศและหมุนไปมา ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามเหวี่ยงคทาของตนและใช้ศาสตร์แห่งเทพมากเท่าใด แต่ในสภาวะสุญญากาศเช่นนี้ก็คงจะสร้างไฟขึ้นมาไม่ได้
ในขณะที่ร่างของเขาจะแข็งทื่อไปจากอุณหภูมิที่ลดต่ำลงจนแทบจะทำให้ร่างแหลกสลายได้ เขาได้เร่งพลังของบัตรประจำตัวอย่างสุดแรง เพื่อเอื้อมมือไปคว้าข้อมือบางๆ ของจักรพรรดินี
แต่ขณะที่ฟาร์มาพยายามบินขึ้นไป จนเกือบจะถึงใจกลางของมัน สมบัติลับของเขากลับสูญเสียพลังไป
(เดี๋ยวนะ…พลังของเรา…มันหายไป!?)
อีกทั้งร่างกายของเขายังถูกดูดพลังแห่งเทพออกไปจากร่างอีกด้วย
เขาไม่รู้สึกถึงพลังที่มีเหมือนเมื่อก่อน
ความรู้สึกที่เหมือนได้รับพลังมาจากตราแห่งเทพโอสถก็ไม่มีอยู่เช่นกัน
ตอนนี้มันเหมือนกับว่าตัวเองถูกฟันเฟืองดูดเข้าไปด้วยเช่นกัน นั่นจึงทำให้ร่างของเขาพุ่งเข้าไปตรงใจกลางเช่นเดียวกัน ฟาร์มารู้สึกขนลุกเพราะกลไกของฟันเฟืองนั้นมันคล้ายกับขากรรไกรของนักล่าเลย
(แบบนี้แย่แน่…โดนกินไปทั้งแบบนี้แน่เลย!)
ฟาร์มาไม่สามารถต้านแรงดึงดูดนั้นได้อีกต่อไป ทันใดนั้นทั้งฟาร์มาและจักรพรรดินี ก็เหมือนถูกห่อหุ้มด้วยแผ่นฟิล์มบางๆ คล้ายกับฟองน้ำ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ภายในนั้นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและมีอากาศไหลผ่าน อาการขาดอากาศหายใจของจักรพรรดินีก็หยุดลง
ในขณะที่ฟาร์มากำลังสับสน เขาก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่ดูเหมือนจะดังก้องขึ้น
“สวัสดี คุณมาถึงที่แห่งนี้แล้ว”
“ใครกัน……?”
“ดูเหมือนว่าฟันเฟืองแห่งค้อนเหล็กต้องการการสังเวยใหม่แล้วสินะ แต่ตอนนี้คุณยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันหรอกนะ”
“คุณเป็นใครกันแล้วกำลังทำอะไรอยู่”
พอฟาร์มามองไปรอบๆ เพื่อค้นหาตัวเจ้าของเสียงดังกล่าว กลับไม่พบใครเลย
ราวกับเป็นเพียงเจตจำนง
“ฉันก็เคยอยู่ในสถานการณ์คล้ายกับคุณ และฉันเป็นคนล่าสุดที่ถูกจับไปในที่แห่งนี้….ขอโทษนะ ถึงอยากจะแนะนำตัว แต่ก็ลืมชื่อของตัวเองไปซะแล้วสิ”
(เป็นไปไม่ได้…)
สัญชาตญาณของฟาร์มาบอกได้ทันทีว่าเธอคือสิ่งที่เรียกกันว่าเทพผู้พิทักษ์ ฟาร์มาจำสิ่งที่ซาโลม่อนเคยบอกเขาได้ว่าเทพผู้พิทักษ์องค์ก่อนที่จุติลงมานั้นคือเทพแห่งการเกษตร เธอเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับฟาร์มาและได้รับการปฏิบัติตัวในฐานะเทพผู้พิทักษ์….จะบอกว่าเธอคนนี้ก็เป็นคนของโลกเรางั้นเหรอ?
“เทพแห่งการเกษตร….สินะ… เธอก็มาจากโลกเดียวกันกับผมใช่ไหม”
“เทพแห่งการเกษตร ก็เหมือนจะเคยถูกเรียกแบบนั้นนะ แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าโลกที่เธอพูดหมายถึงอะไร ฉันก็เพียงแค่ถูกอัญเชิญมายังโลกใบนี้ในฐานะเทพแห่งการเกษตร ด้วยอุปกรณ์ชิ้นนั้น….ทำให้ฉันหายไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงอัตตาของฉันในตอนนี้ที่อีกไม่นานก็คงจะสลายไปเหมือนกับคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้”
เสียงนั้นไม่ได้รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาเลย มันคล้ายกับความรู้สึกที่แสนขนลุกของการพูดคุยกับคนที่ตายไปแล้ว
“แปลว่าผู้ดูแลสุสาน ส่งเสามนุษย์มาจากโลกภายนอกอีกแล้วสินะ…แต่เมื่อมันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วก็ไม่มีอะไรจะสามารถหยุดมันได้ อุปกรณ์ชิ้นนี้จะยังคงใช้พลังแห่งเทพของเทพผู้พิทักษ์และดวงวิญญาณมนุษย์ ดูท่ามันอยากจะได้ตัวคุณมากเลยนะ”
เรื่องราวที่เธอเล่าออกมาเต็มไปด้วยความไร้เหตุผลที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ซึ่งฟาร์มาก็ไม่อยากจะยอมรับมันด้วย
ฟาร์มาและจักรพรรดินีได้รับการช่วยเหลือจากเธอ แต่ปิอุสกลับเสียชีวิตในทันที ฟาร์มาคิดก่อนจะถามกับเธอว่าเธอทำพลาดไปในส่วนนั้นหรือเปล่า
“ทำไมเธอถึงช่วยผมกันล่ะ? แล้วใครคือผู้ดูแลสุสานที่ว่ากัน”
“สิ่งที่สร้างโลกใบนี้ สิ่งที่ทำลายโลกใบนี้ สิ่งที่ซ่อมแซมส่วนที่ถูกทำลาย….คุณจำไม่ได้เลยสินะ ผู้ถูกทอดทิ้งเอ๋ย?”
ฟาร์มาพยายามย้อนรอยวามทรงจำของเขา ก่อนที่เขาจะถูกปลุกด้วยสายฟ้า เขารู้สึกเหมือนอยู่ภายในความมืดมิด ก่อนจะถูกโอบอยู่ภายในมือของใครบางคน แต่ทว่ายิ่งนึกเท่าไร ความทรงจำตอนอยู่ภายในความมืดมิดนั้นกลับคลุมเครืออย่างมาก ฉากต่างๆ เหมือนถูกตัดแยกออกจากกัน ฟาร์มาส่ายหัวไปมาราวกับพยายามนึกถึงความทรงจำที่พร่ามัวนั้น และพูดกับสิ่งมีชีวิตที่เขามองไม่เห็น
“ไม่มีทางหยุดเครื่องนี้ได้เลยเหรอ!”
“เราสามารถต่อต้านผู้ดูแลสุสานได้ แต่วิธีการนั้นก็คือการทำลายโลกใบนี้เท่านั้น ว่ากันว่าในจักรวาลนี้ก็มีดวงดาวที่ถูกตะขอเกี่ยวเข้าไว้ด้วยกันนับไม่ถ้วน เป็นเหตุและผลที่ซับซ้อน นึกดูสิจะเกิดอะไรขึ้นหากหนึ่งในนั้นพังทลายลงในขณะที่ทั้งหมดยังเชื่อมต่อกันอยู่”
“ไม่นะ…กระทั่งโลกของเรา”
“ก็คงได้รับผลกระทบ ที่ที่คุณอาศัยอยู่เรียกมันว่าดาวโลกสินะ ที่แห่งนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าศาสตร์แห่งเทพหรือเปล่า”
“ไม่มี”
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น ศาสตร์แห่งเทพเป็นสิ่งที่สะดวกสบาย แต่ก็ใช้จนเป็นนิสัยก็…อา ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้ว กลับไปยังที่ที่คุณควรอยู่เถอะ ฉันจะคอยมองสิ่งที่คุณจะทำให้กับดาวดวงนี้จากตรงนี้เอง คุณยังไม่พร้อม ถึงผู้ดูแลสุสานอาจจะโกรธฉันที่ทำแบบนี้ แต่ครั้งนี้ฉันจะช่วยคุณเอง”
“ขอบคุณนะ…!”
หลังจากนั้นไม่ว่าฟาร์มาจะส่งเสียงเรียกออกไปอีกสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากเธอ
ฟองน้ำพาฟาร์มาและจักรพรรดินีร่อนลงไปที่พื้นราวกับกำลังไถลอากาศ
“ท่านฟาร์มา!”
ซาโลม่อนปลุกฟาร์มาให้ตื่นขึ้น ทางด้านจักรพรรดินีที่หมดเรี่ยวแรงเหมือนจะยังไม่รู้สึกตัว เขาจึงให้เธอนอนตรงนั้นไปก่อน ส่วนนักบวชที่ถูกทิ้งไว้บนแผ่นโลหะที่ฟาร์มาสร้างขึ้นก็หนีไปหลบอยู่ตรงบันไดวนในสภาพโกลาหล
“ทำไมพื้นมันถึงถล่มลงมาได้กัน…! ไม่เคยจะได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย”
“หรือเพราะใช้ศาสตร์แห่งเทพรุนแรงเกินไปงั้นหรือ! ว่าแต่ฝ่าบาทล่ะเป็นเช่นไรบ้าง…!”
“ส่วนทางท่านสันตะปาปาปิอุส….เสียชีวิตแล้วสินะ”
ฟาร์มาเดินไปบอกความจริงกับพวกคาร์ดินัลที่กำลังสับสนอยู่ ถึงฟาร์มาอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนที่ฆ่าปิอุส แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้
ปิอุสเสียชีวิตทันทีหลังจากชนเข้ากับฟันเฟือง
เขาไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพในอีกด้านหนึ่งของห้วงอวกาศได้ ถึงเขาจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยจักรพรรดินีที่กำลังจะตามปิอุสไปในไม่ช้า แต่บทสรุปที่ได้ก็คือเขาช่วยปิอุสเอาไว้ไม่ได้
เหล่าคาร์ดินัลที่ไม่สามารถทำอะไรได้กับการพังทลายของพื้นได้ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฟังเรื่องราวจากฟาร์มา ถ้าฟาร์มาไม่สร้างพื้นพวกนี้ทัน พวกเขาทั้งหมดก็อาจตายไปแล้ว และเป็นความจริงที่ว่าพวกเขาเองก็ไม่สามารถช่วยปิอุสได้ ฟาร์มามองดูทุกคนแล้วพูดต่อ
“รีบกลับขึ้นไปข้างบนกันเถอะครับ ที่นี่อันตรายเกินไป ผมว่าเราควรจะปิดผนึกที่นี่เอาไว้ก่อนจะดีกว่า”
ฟาร์มายืนยันถึงอาการของจักรพรรดินีที่ยังไม่ได้สติว่าเธอยังคงหายใจอยู่ ก่อนจะพาเธอขึ้นไปข้างบน ขณะที่ฟาร์มากำลังพาเธอขึ้นไป สายตาของเขาก็สังเกตเห็นรอยแผลมันเป็นรอยไหม้สีแดงอยู่ที่บริเวณแผ่นหลังของเธอ
(มันไม่ใช่ของเทพอัคคีนี่นา…ถ้าอย่างงั้น?!)
ฟาร์มารีบใช้ดวงตาวินิจฉัยส่องเข้าไปในร่างของเธอทันทีแล้วก็พบว่า…มันคือตราหลอมละลายเหมือนกับของปิอุส
ตราหลอมละลายที่ปิอุสเป็นคนแบกรับไว้ได้หายไปและจักรพรรดินีก็คือผู้ถูกเลือกคนถัดไป
วงกลมหลอมละลายที่ปิอุสแบกไว้หายไป และเขาได้ครอบครองจักรพรรดินี
“ฝ่าบาท…!ไม่จริงน่า เธอคือผู้ถูกเลือกในการสังเวยรอบหน้าเหรอ!”
ฟาร์มายังจดจำการตายของปิอุสได้เป็นอย่างดี ร่างของเขาถูกบดขยี้จนตายลงไป หาใช่ถูกหลอมละลายจนตายจากตราหลอมละลายนี้
เธอจะปลอดภัยจนกว่าจะถึงสุริยุปราคาครั้งต่อไปหรือเปล่านะ?
…━━…━━…━━…
“รู้สึกวันนี้พวกวิญญาณร้ายโผล่มาเยอะเลยนะ..”
“นานๆ ทีได้มาเห็นแบบนี้ก็แปลกดีนะคะ”
บลานช์ที่กำลังไปเยี่ยมเยือนคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่อาศัยของเอเลนในแถมชานเมืองจักรวรรดิพูดกับเอเลนระหว่างขี่ม้า นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เอเลนได้เห็นอะไรแบบนี้
มันคือวิญญาณร้ายของจริง เอเลนที่มองเห็นมันได้ก็ทำการขับไล่มันออกไปจากตัวของผู้ป่วยอยู่ทุกครั้ง ศาสตร์แห่งเทพของเธอได้ทำการจัดการมันจนมันหนีเข้าไปในความมืดของป่า แต่ในครั้งนี้ปริมาณของมันมากจนทำให้พลังแห่งเทพของเธอหมดลงเธอจึงกลับมาพักเอาแรงที่คฤหาสน์
แต่ระหว่างทางกลับ เธอก็ดันมาพบกับวิญญาณร้ายที่ติดตามหญิงชราคนหนึ่งมาระหว่างที่หญิงชราออกไปทำไร่ ราวกับต้องการสิงสู่ เอเลนจึงได้ดึงคทาออกมา
“”น้ำมันหายไป?! “”
หยดน้ำที่ปล่อยออกมาจากคทาของเอเลนได้เข้าไปล้อมวิญญาณร้ายเอาไว้ ก่อนที่มันจะสลายไปเพราะพลังแห่งเทพของเอเลนไม่เหลือแล้ว แต่ก็น่าจะเป็นเพราะสามารถทำให้มันตกใจได้ วิญญาณร้ายก็เลยหนีไปเช่นกัน
เอเลนที่ไม่ใช่นักบวชนั้นย่อมไม่สามารถใช้มนตร์ชำระล้างได้ ที่เธอทำได้มีเพียงแค่การขับไล่มันออกไปเท่านั้น
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นแบบนี้…ยังฝึกฝนไม่พอสินะ…”
“อาจารย์เอเลโอนอร์คะ หนูจะทำยังไงดี รู้สึกกลัวไปหมดเลยค่ะ”
“บลานช์จังก็ต้องสู้เหมือนกันนะ”
“ตะ…แต่ว่า-“
น่าแปลกที่ว่าช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เมืองหลวงของจักรวรรดิได้มีการเพิ่มขึ้นของพวกปีศาจและการปรากฏตัวของวิญญาณร้ายที่มากกว่าเดิม
เหล่านักบวชของเมืองหลวงก็ได้พยายามเร่งฝีเท้าออกไปลาดตระเวนทำการชำระล้างพวกมันให้หมด แต่ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ เธอที่เห็นแบบนั้นจึงได้ทำการส่งบลานช์กลับไปที่บ้าน ก่อนจะตรงไปยังร้านขายยาแทน ตอนนี้ประตูของร้านนั้นยังคงปิดอยู่ แต่ก็มีเหล่าอัศวินของตระกูลเดอ เมดิซิสหลายคนเฝ้ารักษาความปลอดภัยเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ปิดชั่วคราวงั้นเหรอ?”
เอเลนเดินผ่านพวกเขาเข้าไปภายในร้าน
ภายในนั้นก็มีเซดริก เซเลส และพนักงานทำความสะอาดกำลังจัดการเศษแก้วและขวดยาที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วร้าน ภายในร้านตอนนี้ไม่เหลือลูกค้าอยู่แม้แต่คนเดียว เซเลสที่สังเกตเห็นเธอก็ออกมาทักทาย
“ยินดีต้อนรับค่ะ คุณเอเลโอนอร์ ถ้าเป็นคุณชาร์ล็อตละก็ อยู่ที่ชั้นสองนะคะ!”
“เกิดอะไรขึ้นกับลอตเต้จังเหรอ!?”
เอเลนรีบวิ่งขึ้นไปดูที่ชั้นสอง ก่อนจะเห็นลอตเต้กำลังนอนหลับอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย โดยมีโรเจอร์และรีเบคก้านั่งเฝ้าเธออยู่ เอเลนที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปดู
“ลอตเต้จัง หน้าซีดเชียว เป็นไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
พอเอเลนถามแพทย์โอสถทั้งสองก็มองหน้ากัน
จากนั้นโรเจอร์ผู้มีสีหน้าที่สดใสอยู่เสมอก็เปิดปากของเขาอย่างเจ็บปวด
“มีคนถูกวิญญาณร้ายสิงได้เข้ามาภายในร้านแล้วก็โจมตีลอตเต้ เธอที่ถูกมันกัดเข้าจนได้รับบาดเจ็บครับ”
“ทำไมกัน……!”
ทั้งอัศวินที่เฝ้าประตู โรเจอร์ และเซดริกต่างก็ช่วยกันต่อสู้กับวิญญาณร้าย ด้วยศาสตร์แห่งเทพ ในขณะเดียวกันก็ขอให้ทอมไปที่โบสถ์เพื่อขอกำลังเสริม นักบวชที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินทางมาที่ร้านขายยาทันที ซึ่งก็พอดีกับตอนที่เหล่าอัศวิน โรเจอร์และเซดริกกำลังจนมุมอยู่ ทำให้สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ทันโชคดีที่ผู้ถูกเข้าสิงนั้นปลอดภัยดีและจำเรื่องอะไรไม่ได้เลย
ช่วงที่ผ่านมานี้ได้มีการเรียกตัวเหล่านักบวชให้เดินทางไปทั่วทุกมุมของเมืองหลวงอย่างไม่หยุดหย่อน เนื่องจากหัวหน้านักบวชได้เป็นผู้นำทางจักรพรรดินีไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้เหลือนักบวชเพียงห้าคนเท่านั้นในเมืองหลวง แน่นอนว่าพวกเขาก็ขอกำลังเสริมอย่างเร่งด่วนจากทางนครศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว
เอเลนที่เห็นลอตเต้สีหน้าซีดลงไปก็รู้สึกใจหาย เธอถูกวิญญาณร้ายกัดเข้าไปที่ท้ายทอยของเธอ ซึ่งบาดแผลภายนอกก็คงถูกรักษาอย่างเหมาะสมแล้ว
“คุณร่ายมนตร์ชำระล้างบาดแผลของลอตเต้จังแล้วหรือยัง”
“ฉันใช้ศาสตร์แห่งเทพในการจัดการแล้วค่ะ! ตามดุลยพินิจของคุณโรเจอร์ฉันก็ได้ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการอักเสบเนื่องจากเธอเริ่มมีไข้แล้ว ทางคุณเซเลสก็กำลังผสมยาแก้คำสาปอยู่ค่ะ”
รีเบคก้าพยักหน้าอย่างแรง เมื่อมีคนได้รับอันตรายจากวิญญาณร้ายโจมตี วิธีปฏิบัติก็คือให้ดื่มโอสถแห่งการชำระล้างและปล่อยให้มันหลุดออกมาจากร่าง ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จากคำสาปที่ฝังบนร่างกายของพวกเขา
เอเลนเชื่อว่าคำสาปดังกล่าวอาจจะเกิดจากการติดเชื้อก็เป็นได้
เหล่าแพทย์โอสถพาร์ทไทม์ได้กลับมาทำงานในฐานะผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพควบคู่กับแพทย์โอสถ ซึ่งได้ละทิ้งไปเป็นเวลานานแล้ว
ผู้ที่เป็นแพทย์โอสถขั้นหนึ่งและสองนั้นต่างก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพและแพทย์โอสถกันทั้งสิ้น พวกเขาสามารถทำในเรื่องที่นอกเหนือจากการรักษาผู้ป่วยได้ เช่นการต่อสู้ การปัดเป่าและช่วยเหลือผู้ป่วยจากวิญญาณร้าย ที่อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าป่วยเป็นโรคในตอนแรก
“ลอตเต้จัง จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?”
“ถ้าพรุ่งนี้เธอยังไม่ตื่น เราจะให้นักบวชมาช่วยด้วยอีกแรงค่ะ จากวันนี้ที่ฉันคอยดูอาการมาทั้งวัน ก็ดูเหมือนว่ายาแก้คำสาปจะยังใช้ได้ผลดีอยู่ค่ะ”
รีเบคก้าบอกว่าเธอจะเป็นคนดูแลลอตเต้เอง ถึงแม้ทางโบสถ์จะคอยมาก่อกวนฟาร์มาอยู่บ่อยครั้ง แต่ในยามฉุกเฉินเช่นนี้ โบสถ์ของเมืองหลวงก็พร้อมจะออกมาปกป้องพลเมืองของจักรวรรดิเช่นกัน
“คุณเอเลโอนอร์ก็เห็นสภาพชั้นหนึ่งแล้วใช่ไหมคะ”
“เห็นแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากน่าดูเลยนะ”
“ถึงของในตู้ยาจะยังปลอดภัยอยู่ แต่สภาพของร้านก็เป็นอย่างที่เห็นค่ะ หากวิญญาณร้ายเข้ามาแบบนี้ ของภายในร้านอาจจะปนเปื้อนด้วยก็ได้ ทำไมคุณเจ้าของร้านถึงไม่อยู่ในตอนนี้กันคะ?”
“ไม่ใช่แค่ฟาร์มาคุงหรอก จะฝ่าบาทหรือหัวหน้านักบวชก็ไม่อยู่เหมือนกัน ภาพเหมือนย้อนกลับไปเมื่อก่อนเลยนะ”
“หรือว่า…” เอเลนพูดขึ้นมา
(จะเป็นเพราะฟาร์มาคุงไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง?)
แต่นั่นไม่น่าจะใช่สาเหตุทั้งหมด เพราะฟาร์มาก็มักจะเดินทางไปมาร์เชลและสถานที่อื่นนอกเมืองหลวงอยู่เสมอ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ได้ แต่ก็ไม่เห็นจะมีความผิดปกติเช่นนี้มาก่อนเลย ถึงจะไม่เคยไปที่ไหนไกลเท่านครศักดิ์สิทธิ์มาก่อนก็เถอะ…..แต่การเปลี่ยนแปลงมันก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว เธออดกังวลเรื่องที่ฟาร์มาเดินทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับจักรพรรดินีไม่ได้เลย
(จนถึงตอนนี้ วิญญาณร้ายของเมืองหลวงจักรวรรดิ ซึ่งถูกบดขยี้ด้วยพลังแห่งเทพอันยิ่งใหญ่ของฟาร์มาคุงที่มีอิทธิพลทั่วเมืองหลวงของจักรวรรดิจะดับสูญไปแล้ว …… สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงกัน?)
วิญญาณร้ายพวกนี้มันไม่ได้สลายหายไปไหนเพราะฟาร์มาอยู่ที่นี่ แต่เพียงแค่มันไม่สามารถออกมาได้เท่านั้น
“แต่ไม่ใช่ว่าเรายังมีสมบัติลับอยู่ที่โบสถ์เหรอ..”
สมบัติลับของศาสนจักรจะทำการสร้างอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ป้องกันวิญญาณร้าย หรือว่าอาณาเขตนั้นจะพังทลายลงกันนะ? โรเจอร์ที่นึกอะไรออกก็ปรบมือขึ้นมา
“นักบวชเคยบอกพวกเราว่า สมบัติลับถูกขโมยไปครับ ว่ากันว่าตอนนี้ก็กำลังขอให้เอาอันใหม่มาจากนครศักดิ์สิทธิ์อยู่”
“เอ๊ะ!? ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ!”
เอเลนอยากจะกรีดร้องออกมา โบสถ์ถูกปล้นในจังหวะที่การรักษาความปลอดภัยอ่อนแอ
มีรอยเท้าหลายจุดในห้องเก็บสมบัติ ดังนั้นมันจึงน่าจะเป็นการปล้น
“ฟาร์มาคุง จูเลียน่าจัง และท่านซาโลม่อนจะไปที่นครศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับฝ่าบาท ตอนนี้จึงมีนักบวชเพียงห้าคนในเมืองหลวง ก็คงไม่แปลกที่จะโดน…”
นั่นหมายความว่าตอนนี้ก็มีเพียงนักบวชห้าคนเท่านั้นที่สามารถใช้มนตร์ชำระล้างได้
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้บังเกิดขึ้นแล้ว เอเลนจ้องมองไปข้างนอกและคาดว่ามันจะต้องโผล่ขึ้นมาอีกมากอย่างแน่นอน
“ฝันร้ายในอดีตได้กลับมาแล้ว”
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนในเมืองหลวงอาจจะต้องใช้เวลาทั้งวันอยู่ในความหวาดกลัวต่อวิญญาณร้ายกันอีกครั้ง
แค่คิดเธอก็รู้สึกกลัวขึ้นไปถึงกระดูกสันหลังแล้ว
——-
Note 1 : มันเอาจัดเลยครับ บทนี้
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code