Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 90

ตอนที่ 89 ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ

 

ด้วยการจากไปของพระสันตะปาปา เหล่าผู้นำของมหาวิหารแห่งนครศักดิ์สิทธิ์จึงตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน

 

เมื่อมีพระสันตะปาปาเสียชีวิตลง ว่ากันว่านครศักดิ์สิทธิ์จะต้องทำการจัดพิธีศพขึ้นทั่วทุกพื้นที่และทำการไว้ทุกข์เป็นเวลาครึ่งปี

 

เมื่อรู้ว่าร่างของปิอุสที่อยู่ภายในฟันเฟืองไม่สามารถเข้าไปเก็บกู้ได้ เหล่าคาร์ดินัลจึงได้หาศพตัวแทนของปิอุสได้แทนแล้วในงานพิธี

 

ซึ่งอันที่จริงเหล่าคาร์ดินัลก็บอกแต่แรกแล้วว่า การหาศพตัวแทนของสันตะปาปานั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเขาต่างก็ต้องแบกรับตราหลอมละลายแล้วพอพวกเขาตายไปยังไงศพก็ไม่เหลือให้นำไปประกอบพิธีกรรมอยู่แล้ว

 

ฟาร์มาที่กลับมาจากชั้นใต้ดิน ก็ได้พาจักรพรรดินีไปยังคฤหาสน์ของพระสันตะปาปา และปล่อยให้เธอได้พักผ่อนในห้องรับรอง ก่อนจะพูดกับเหล่าคาร์ดินัลถึงข้อมูลฟันเฟืองที่ตนมีโดยไม่ปิดบัง ยกเว้นก็แต่เรื่องเสียงที่เขาได้ยินตอนเข้าใกล้ฟันเฟือง และอธิบายถึงเหตุผลที่เขาไม่สามารถช่วยปิอุสได้ทัน

 

บทสรุปที่ได้จึงเป็นจักรพรรดินีนั้นรอดชีวิตมาได้ส่วนปิอุสนั้นเสียชีวิต

 

ถึงจะไม่มีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะช่วยหรือเปล่า การพูดคุยก็จบลงตรงนั้นโดยที่ยังไม่สามารถคลายข้อสงสัยของแต่ละคนได้

 

 

 

“ผมไม่สามารถเข้าไปช่วยพระสันตะปาปาปิอุสได้จริงๆ ครับ”

 

 

พอฟาร์มาพูดแบบนั้น คาร์ดินัลคนหนึ่งก็พูดกับฟาร์มาด้วยความเห็นใจ

 

 

“ช่วยไม่ได้หรอกครับ ทางพวกเราเองก็ไม่คาดคิดว่าประตูแห่งฟันเฟืองนั้นจะถูกเปิดออก”

 

 

ก่อนที่คาร์ดินัลอีกคนซึ่งก็อยู่ในเหตุการณ์พูดต่อ

 

 

“หากไม่รีบหาทางจัดการกับมัน นครศักดิ์สิทธิ์คงได้ล่มสลายและหายไปเป็นแน่”

 

 

การจากไปของปิอุสที่กะทันหันเช่นนี้ ย่อมสร้างความวุ่นวายให้กับผู้คนได้เป็นจำนวนมาก

 

“นอกจากเรื่องพิธีศพเรา เรายังต้องค้นหาผู้ที่แบกรับตราหลอมละลายคนต่อไปได้ เพื่อทำการแต่งตั้งเขาเป็นสันตะปาปา เหมือนกับที่ท่านปิอุสได้บอกพวกเราไว้”

 

 

“หมายความว่า…จะทำทุกอย่างตามเดิมเหรอครับ?”

 

“นั่นก็เพราะเราไม่สามารถทำอะไรกับมันได้แล้วนี่ครับ ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับฟันเฟืองนั่นเลย กระทั่งเทพผู้พิทักษ์ก็ยัง――”

 

 

ฟาร์มาเข้าใจได้ทันทีว่า ห่วงโซ่แห่งฝันร้ายของการสืบทอดตราเครื่องสังเวยนี้จะยังคงอยู่ต่อไป

 

ถึงภายนอก พระสันตะปาปาจะต้องผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ที่เรียกกันว่า การเลือกตั้งพระสันตะปาปาภายใน และจนกว่าการเลือกตั้งดังกล่าวจะสิ้นสุดลง ตำแหน่งพระสันตะปาปาก็จะยังว่างอยู่

 

“ข้าก็ไม่คิดหรอกนะว่าผู้ที่มีตราหลอมละลายจะเป็นคนไกล ไว้เราลองปิดพรมแดนของนครศักดิ์สิทธิ์แล้วตามหาจนกว่าจะพบก็น่าจะดี”

 

 

โดยปกติแล้ว ตราหลอมละลายจะปรากฏอยู่กับผู้คนภายในนครศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ว่ากันว่าส่วนมากจะเป็นเหล่าคาร์ดินัล ในวันนั้นเองเหล่าคาร์ดินัลทุกคนก็ได้ถูกเรียกให้เข้ามาประชุม ก่อนจะทำการตรวจสอบตราหลอมละลายบนแผ่นหลังของทุกคนว่ามีหรือไม่

 

แต่สุดท้ายก็ต้องคว้าน้ำเหลว นั่นจึงทำให้ความวุ่นวายเพิ่มมากขึ้นไปอีก

 

“นี่เป็นเรื่องผิดปกติแล้ว หากตราไม่มีในหมู่คาร์ดินัล…ในกรณีแบบนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นกัน?”

 

“หรือตราหลอมละลายจะไม่มีการสืบทอดอีกต่อไปแล้วหรือ?”

 

 

“ไม่หรอก มันไม่ควรเป็นแบบนั้นมันต้องปรากฏอยู่บนร่างใครที่ไหนสักแห่งแน่ๆ”

 

 

เนื่องจากฟาร์มาเห็นพวกเขาคุยกับแบบนั้น เขาจึงได้เหลือบมองไปยังแผ่นหลังของจักรพรรดิ นีและยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของเธอด้วยดวงตาวินิจฉัย

 

(แน่อยู่แล้วเรื่องที่จะหาไม่เจอ เพราะมันอยู่กับจักรพรรดินี…แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรตอนนี้ ที่เรารอดตัวมาได้ก็เพราะพวกคาร์ดินัลเชื่อว่าตราจะปรากฏเฉพาะในหมู่พวกตนเท่านั้นด้วย)

 

 

หลังจากฟาร์มาเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นได้สักพัก เขาก็กล่าวว่า “ฝ่าบาทกำลังพักผ่อนอยู่ ผมเลยว่าจะไปดูอาการของพระองค์ที่ห้องสักหน่อย” ก่อนจะแยกตัวออกมาแล้วเดินทางไปที่ห้องรับรอง

 

ไม่นานนักซาโลม่อนและจูเลียน่าก็ตามเข้ามาภายในห้องก่อนจะล็อกห้องแล้วพูดคุยกับฟาร์มา

 

 

“ฝ่าบาทในตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่จะลดการป้องกันลงไม่ได้เลย พวกคาร์ดินัลกำลังคลั่งและพยายามตามหาผู้ที่มีตราหลอมละลายกันให้ควัก”

 

“ผมก็คิดแบบนั้นครับ คุณซาโลม่อน คุณจูเลียน่า ขอถามเพื่อความแน่ใจสุริยุปราคาครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ”

 

 

“ค่ะ จากที่ฉันตรวจสอบ…ก็ปรากฏว่า”

 

 

ทั้งสองมองหน้ากันก่อนเธอจะบอกกับฟาร์มา

 

 

“เป็นช่วงเดือนสิงหาคมปีหน้าค่ะ ตอนนี้เป็นเดือนธันวา ดังนั้นเราจะเหลือเวลาแค่เก้าเดือนค่ะ”

 

 

“แย่แล้วสิ….ผมว่าเราน่าจะให้พระองค์อยู่ห่างจากฟันเฟืองนี้หน่อยคงจะดีนะครับ?”

 

“ใช่แล้วครับ เพราะอันตรายแน่หากจักรพรรดินียังอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์ในเวลานั้น ผมว่าเราควรจะรีบกลับไปยังจักรวรรดิโดยไม่ต้องแจ้งให้พวกคาร์ดินัลทราบก็น่าจะดีนะครับ”

 

 

 

(บางกรณีมันอาจจะไม่ใช่เดือนสิงหาปีหน้าก็ได้)

 

 

พอฟาร์มาตระหนักได้แล้วว่าตนไม่สามารถอยู่เฉยๆ ต่อไปได้ เขาก็เรียกคลาร่าให้เข้ามาที่ห้องรับรองจากนั้นไม่นานนัก ทันทีที่เธอเห็นฟาร์มาเธอก็รู้สึกโล่งใจก่อนจะร้องไห้ออกมา

 

“ท่านแพทย์โอสถ!!! สบายดีใช่ไหมคะ! ได้ยินมาว่าท่านสันตะปาปาเสียชีวิตไปแล้ว ขอโทษจริงๆ นะคะที่ช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย”

 

 

คลาร่าก้มหน้าด้วยความผิดหวัง

 

เขาเดาว่าเธอคงจะเสียใจที่ไม่สามารถหยุดยั้งเหตุการณ์พวกนี้ได้ ว่ากันว่าความสามารถในการในการเห็นนิมิตของผู้ตายนั้นจะต้องเป็นผู้ที่เสียชีวิตจากการเดินทางเท่านั้น แต่ปิอุสไม่ได้อยู่ในประเภทนั้นเพราะเขาไม่ได้ออกไปจากนครศักดิ์สิทธิ์

 

 

ฟาร์มาพยายามเน้นย้ำในส่วนนี้

 

เขาไม่สามารถให้ใครรู้ได้ว่าจักรพรรดินีมีตราหลอมละลายอยู่ หากเธอหลุดเรื่องที่เธอมีตรานี่ออกไป เธออาจจะต้องถูกบังคับตรวจสอบจากทางนครศักดิ์สิทธิ์ เพราะสถานที่แห่งนี้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

 

“แน่นอนสิ ในฐานะผู้นำของอีกประเทศหนึ่ง เราไม่มีทางบอกให้ประเทศอื่นรู้หรอกว่าเรากำลังมีปัญหาอะไร”

 

“เป็นดังที่พระองค์กล่าว”

 

(แค่เธอเข้าใจก็ช่วยเราได้เยอะแล้ว)

 

 

จักรพรรดินีแสดงความเสียใจกับการจากไปของปิอุสด้วยการนั่งภาวนาที่โต๊ะอาหารค่ำ ก่อนจะบอกทางนครศักดิ์สิทธิ์ว่าพวกเธอจะกลับไปยังจักรวรรดิแล้ว

 

ถึงจะมีเรื่องของพิธีศพปิอุส แต่เมื่อเธอแสดงความต้องการที่จะกลับไปทำงานราชการของเธอ ทางนครศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร

 

 

“หากถึงช่วงเวลาไว้ทุกข์ เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันใหม่ แต่ตอนนี้เราจำเป็นต้องกลับไปยังประเทศของตัวเองแล้ว พอจะเข้าใจใช่ไหม”

 

“ฮ่ะ… ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ ทางเราจะส่งครูเซเดอร์ไปทำหน้าที่คุ้มกันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก เราปกป้องตัวเองได้”

 

 

 

จักรพรรดินีปฏิเสธอย่างเฉยเมย แต่คาร์ดินัลก็ไม่ได้ลดความพยายาม

 

“ขออภัยสำหรับความหยาบคาย แต่ยังไงกระหม่อมก็ต้องให้ทางหัวหน้านักบวชคอมพ์ กลับไปที่จักรวรรดิอยู่ดี เนื่องจากว่าเราจะมีการส่งมอบสมบัติลับชิ้นใหม่ไปที่เมืองหลวงจักรวรรดิ เพราะของเดิมถูกขโมยไปนั่นจะทำให้การป้องกันพวกวิญญาณร้ายอ่อนแอลง แถมทางนั้นก็เหมือนคนจะไม่พอด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

“มีคนขโมยไป คนทางนั้นไม่พองั้นหรือ? เอาเถอะ ว่าแต่เราอยากจะรู้แล้วสิว่าใครจะได้เป็นพระสันตะปาปาคนใหม่ก่อนจะกลับไป”

 

“เรื่องนั้นทางเรายังหาผู้สมัครไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไว้กระหม่อมจะรายงานให้ทราบในภายหลัง”

 

 

 

ฟาร์มาที่ฟังบทสนทนาขณะรับประทานอาหารก็รู้สึกโล่งใจในที่พวกเขาไม่รู้ว่าจักรพรรดินีเป็นผู้มีคุณสมบัติดังกล่าว และอาหารของฟาร์มาก็ไม่ได้มีสิ่งแปลกปลอมปะปนอีกต่อไป ฟาร์มารู้สึกว่าอาหารที่เขาทานอยู่นั้นอร่อยเลยทีเดียว

 

 

 

“งั้นหากปัญหาการสืบทอดตำแหน่งได้รับการแก้ไขแล้ว ก็รายงานให้เราทราบด้วย เดี๋ยวเราจะส่งทูตเข้ามาร่วมพิธีเอง”

 

 

จักรพรรดินีกล่าวเช่นนั้นแล้วลุกจากที่นั่ง หลังจากที่จักรพรรดินีจากไป ฟาร์มาก็ถามถึงแนวโน้มในอนาคตของนครศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง เขาบอกเหล่าคาร์ดินัลไปว่าถ้ามีอะไรให้เขาช่วยก็เรียกได้เลย

 

ก็เป็นไปตามที่คาร์ดินัลกล่าว หากพวกเขายังไม่สามารถหาผู้สืบทอดตำแหน่งพระสันตะปาปาได้ ทางนครศักดิ์สิทธิ์อาจจะต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ในขณะที่ตำแหน่งพระสันตะปาปายังว่างอยู่

 

“ในตอนนี้ จากมุมมองของฝ่ายบริหารแล้ว มันไม่สำคัญหรอกครับว่าตำแหน่งพระสันตะปาปาของนครศักดิ์สิทธิ์จะว่างอยู่หรือไม่ แต่เนื่องจากพิธีกรรมที่สำคัญบางอย่างนั้นจำเป็นต้องมีพระสันตะปาปาเป็นผู้ดำเนินการ และเพราะตำแหน่งนี้ยังว่างอยู่เราก็กลัวผลกระทบอันรุนแรงที่จะเกิดขึ้นนั่นแหละครับ”

 

“ผลกระทบที่รุนแรงเหรอครับ”

 

“เป็นพิธีกรรมการสร้างสลักมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่กระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศครับ หากมันเกิดพังทลายขึ้น พวกวิญญาณร้ายก็ถูกผนึกเอาไว้อาจจะออกมาร่อนเร่พเนจรไปทั่วได้”

 

“พิธีกรรมนั้นผมสามารถทำแทนได้ไหมครับ?”

 

 

เป็นเพราะข้อเสนอของฟาร์มา เหล่าคาร์ดินัลจึงมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

 

“พิธีกรรมนั้นมีเพียงคนคนเดียวที่ทำได้ครับ คนคนนั้นจำเป็นต้องผ่านการฝึกมาเป็นระยะเวลานานแล้วด้วยถึงจะทำได้”

 

(ผู้ที่แบกรับตราหลอมละลายคงจะสามารถทำบางอย่าง เช่นการผนึก ขับไล่วิญญาณร้ายได้ แต่ก็ต้องแลกกับพลังชีวิตของพวกเขาสินะ……)

 

 

แม้ฟาร์มาจะตกใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึงนี้ แต่เขาก็ต้องเตรียมตัวกลับบ้านพร้อมกับจักรพรรดินี

 

 

 

…━━…━━…━━…

ลอตเต้ซึ่งถูกวิญญาณร้ายกัดเข้าและหมดสติก็ถูกส่งกลับไปยังตระกูลเดอ เมดิซิส

 

ผิวของเธอเริ่มซีดลงเมื่อเวลาผ่านไป อุณหภูมิร่างกายของเธอก็เริ่มลดลง

 

แม้ว่าทางเอเลนกับปาลเล่จะใช้ศาสตร์แห่งเทพและยาต้านคำสาปดูแล แต่เธอก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยตั้งแต่ถูกกัด

 

 

เช้าวันต่อมา นักบวชจากเมืองหลวงซึ่งดูเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งคืนได้เข้ามาและพยายามทำลายคำสาปด้วยมนตร์ชำระล้าง แต่ก็ไม่เป็นผล

 

หากพวกเขาใช้เวลาในการวิเคราะห์คำสาป พวกเขาอาจจะสามารถหาเบาะแสในการทำลายคำสาปนี้ลงได้ แต่ด้วยวิญญาณร้ายที่ปรากฏตัวทั่วเมืองหลวงจักรวรรดิและออกมาทำร้ายผู้คน จึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะคอยดูแลลอตเต้คนเดียวเป็นพิเศษ

 

 

“ท่านนักบวช จะเกิดอะไรขึ้นกับชาร์ล็อตกันแน่คะ”

 

“เราหมดหนทางแล้วครับ”

 

 

“ไม่นะ…จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ค่ะ แต่ได้โปรดช่วยเธอด้วย”

 

“เพราะเธอเป็นสามัญชน…จึงทำให้เธออ่อนแอต่อพวกวิญญาณร้าย..โปรดคิดเสียว่ามันเป็นเพราะโชคของนาง พวกเราเสียใจด้วย”

 

 

นักบวชได้เดินออกจากคฤหาสน์ไปทั้งอย่างนั้น ถึงแม้พวกเขาจะแสดงความเห็นใจก็ตาม แต่ตอนนี้มนตร์ของพวกเขาไม่ได้ผลก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้แล้ว

 

“ถ้าอย่างงั้น เด็กคนนี้…จะต้องดูเธอจากไปเหรอคะ?”

 

 

 

หลังจากนักบวชจากไป แคทเทอรีนแม่ของลอตเต้ก็คิดไปแล้วว่าลอตเต้ไม่น่าจะมีชีวิตรอด เธอจึงจับมือลอตเต้แล้วร้องไห้ออกมา บลานช์ที่รับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของลอตเต้ ที่ทำดีกับเธอมากขนาดนั้นก็เข้าไปกอดเธอไว้แน่น

 

 

เอเลนเฝ้าดูอาการของลอตเต้ในขณะที่ตรวจสอบเอกสารเก่า ส่วนปาลเล่ที่พยายามใช้ศาสตร์แห่งเทพและยาวิเศษทั้งหมดเพื่อทำลายคำสาป ก็เดินไปรอบ ๆ ห้องราวกับว่าเขาไม่เข้าใจบางสิ่ง

 

 

 

“ปาลเล่คุง โทษทีนะ แต่นายทำให้ฉันเสียสมาธิ ไปนั่งนิ่งๆ หน่อยจะได้ไหม”

 

“เอเลโอนอร์ เธอไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”

 

ปาลเล่นั่งลงที่ขอบหน้าต่าง ก่อนจะเอนหลังแล้วไขว่ห้าง

 

เอเลนก็วางมือข้างหนึ่งไว้ที่เตียงราวกับคิดเช่นเดียวกัน

 

 

“ก็ใช่…ฉันไม่คิดหรอกว่านี่จะเป็นเพราะวิญญาณร้ายเพียงอย่างเดียว เพราะขนาดมนตร์ชำระล้างยังไม่ได้ผลเลย ถ้าฟาร์มาคุงอยู่ในเวลาแบบนี้….ไม่หยุดคิดเรื่องนี้ดีกว่าตอนนี้หมอนั่นก็ไม่อยู่ด้วย”

 

 

 

เมื่อพิจารณาจากกำหนดการเดินทางแล้ว ฟาร์มาจะกลับมาอย่างเร็วที่สุดก็อีกไม่กี่วันข้างหน้า แม้จะส่งนกพิราบไปยังนครอันศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องใช้เวลาหลายวันอยู่ดี ดังนั้นพวกเธอจึงต้องหาทางทำอะไรกันเอาเองไปก่อน

 

 

 

“ถ้าหนูไปถามท่านพ่อ ท่านพ่อก็น่าจะช่วยแก้คำสาปให้ลอตเต้ได้ใช่ไหมคะ”

 

 

บลานช์คร่ำครวญทั้งน้ำตา

 

 

“พี่ก็ไม่แน่ใจหรอกนะ เทคนิคของท่านพ่อน่ะอาจจะใช้ได้กับการรักษาโรค แต่หากเป็นคำสาปของวิญญาณร้ายยังไงก็ต้องให้ทางโบสถ์ที่มีมนตร์ในการชำระล้างมาแก้ไขอยู่ดี”

 

 

“ท่านพี่ งี่เง่า! ท่านพ่อน่ะไม่มีทางแพ้เจ้าพวกวิญญาณร้ายหรอก”

 

 

ในจังหวะนั้นเองปาลเล่ก็มองออกไปนอนหน้าต่าง ก่อนจะสั่นสะท้านกับสิ่งที่เห็นภายนอก

 

สวนหญ้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีในสวนหลังบ้านของตระกูลเดอ เมดิซิส จู่ๆ ก็เริ่มเหี่ยวเฉาขึ้นมาจากจุดหนึ่ง ก่อนที่มันจะเริ่มลามออกไปราวกับกำลังถูกกลืนกินชีวิต

 

 

 

“เดี๋ยวก่อน… มีบางอย่างเกิดขึ้น”

 

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน เงาที่ดูเหมือนจะเป็นวิญญาณร้ายก็ลอยขึ้นมาจากพื้นและเริ่มคลานไปรอบ ๆ ด้วยขาทั้งสี่เหมือนสัตว์ร้าย วิญญาณร้ายนั้นมีหลายประเภททั้งมนุษย์และสัตว์ และก็มีความน่าจะเป็นที่จะปรากฏตัวในสถานที่ต่างๆ ได้ไม่เหมือนกันอย่างสนามรบและสุสานโบราณก็จะมีสูงเป็นพิเศษหน่อย

 

 

อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่วิญญาณร้ายได้เกิดขึ้นในพื้นที่ของตระกูลเดอ เมดิซิส ซึ่งมีการสลักมนตร์เอาไว้รอบดินแทน

 

 

 

“เดี๋ยวนะ? … มันโผล่มาที่นี่ได้ด้วยเหรอ?”

 

 

 

ปาลเล่ซึ่งเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติ ก็ดึงคทาและปลดปล่อยพลังแห่งเทพออกมา

 

ต่างจากฟาร์มา เขานั้นเป็นคนที่พกคทาไปด้วยตลอดเวลา

 

 

“มีอะไรผิดปกติเหรอ?”

 

“วิญญาณร้ายน่ะ”

 

“วิญญาณร้าย!? โผล่ที่เขตตระกูลเมดิซิสเนี่ยนะ!? ล้อกันเล่นหรือเปล่า!

 

“เอาน่า เดี๋ยวฉันไปจัดการเอง ของแบบนี้ถึงจะเคยเห็นที่โนวารูทมากก่อนก็เถอะ แต่มันก็นานมาแล้วนะ”

 

 

เขาเปิดหน้าต่างและกระโดดลงมาจากชั้นสี่อย่างไม่ลังเล ก่อนจะเหวี่ยงคทาก่อนที่เขาจะลงถึงพื้น

 

เสียงการทำงานของศาสตร์แห่งเทพดังขึ้น ร่างของเขาเริ่มลอยขึ้นในอากาศ

 

 

 

“”–ยกเลิกข้อกำจัดนี่คือการต่อสู้จริง ยักษาวารีระดับล่าง””

 

“นี่ ปาลเล่คุง!?

 

 

ขณะที่เอเลนชะโงกออกมาที่หน้าต่าง ก็พบว่าปาลเล่ได้ทำการระเบิดพลังแห่งเทพของตนออกมา แล้วสร้างยักษ์แห่งสายน้ำขึ้นมาจากศาสตร์แห่งเทพ ก่อนจะขี่บนหลังของมัน ว่ากันว่าศาสตร์แห่งเทพของทงโนวารูทนั้นได้ผ่านการวิจัยอย่างละเอียดเกี่ยวกับศาสตร์แห่งเทพที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเรียกกันว่าศาสตร์แห่งเทพวิทยา ที่มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการสอนของทางจักรวรรดิ เนื่องจากทักษะพวกนี้จำเป็นต้องใช้พลังแห่งเทพในจำนวนมหาศาลและมีความรุนแรงมาก เพื่อปกป้องชีวิตของผู้ใช้จึงได้มีการ กำหนดข้อจำกัดการใช้งานไปด้วย นั่นเป็นวิธีการสอนของโนวารูต

 

ถึงปาลเล่จะเป็นสุดยอดผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ แต่โดยปกติแล้วจะไม่มีทางเลยที่จะเห็นเขาใช้มนตร์ดังกล่าว

 

ยักษ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอนั้นตัวโตมากจนเธอเห็นแค่แขนของมันที่ยื่นออกมา

 

ด้วยความพิเศษของสายเลือดเมดิซิส จึงทำให้ขนาดของมันใหญ่เสียจนแม้แต่เอเลนก็ไม่เคยพบเห็น ขนาดของมันตอนนี้สูงกว่าคฤหาสน์ของตระกูลเดอ เมดิซิสไปแล้ว

 

 

“นี่นายควบคุมน้ำปริมาณขนาดนี้ได้ยังไงกัน…”

 

 

การเคลื่อนไหวที่สง่างามและการควบคุมที่แม่นยำของเขาเป็นผลมาจากการฝึกฝนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของตัวปาลเล่เอง

 

 

ดวงตาของปาลเล่แสดงถึงความอำมหิตที่ปกติจะไม่มีทางได้เห็นออกมา

 

 

“การลงโทษของเทพยักษา””

 

 

ปาลเล่ออกคำสั่งด้วยคทาของเขา ร่างของวิญญาณร้ายถูกบดขยี้ด้วยกำปั้นน้ำแข็งยักษ์ ก่อนจะถูกดูดเข้าไปในร่างของยักษ์ตนนั้นและสลายหายไป

 

ปาลเล่ไม่ได้สร้างยักษ์น้ำขึ้นมา แต่เป็นยักษ์น้ำแข็งต่างหาก จากนั้นเขาก็สำรวจพื้นที่รอบๆ ของตระกูลเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีกไหม ก่อนที่เขาจะพบจุดสีดำที่ลานของบ้าน เขาจึงรีบตรงไปกำจัดวิญญาณร้ายที่ปรากฏตัวในทันที

 

 

 

“ไม่อยากจะเชื่อจะจบแค่นี้….เห็นทีต้องไปพักเอาแรกสักหน่อยแล้วสิ”

 

“ปาลเล่คุง――เดี๋ยว――นั่น――”

 

เอเลนตะโกนใส่เขาจากหน้าต่างชั้นสี่

 

แต่ปาลเล่ได้ยินไม่ชัด เขาจึงให้ยักษ์พาเขาไปที่หน้าต่างชั้นสี่

 

 

“อ้อว่าไง พอดีฉันได้ยินไม่ชัดน่ะ”

 

“ดูตรงนั่นสิ!”

 

 

เอเลนชะโงกออกมาครึ่งตัวก่อนจะชี้ไปยังใจกลางของเมืองหลวง

 

 

เกิดหมอกดำผิดธรรมชาติปกคลุมรัศมีหลายร้อยเมตรทั่วเมืองหลวง

 

 

“หมอกนั่น… ตรงนั้นมันมืดสนิทไปหมด นี่ไม่ปกติแล้ว… อ๊ะ ตรงนั้นก็มีหมอกกลุ่มใหม่เกิดขึ้นด้วย นี่มันอะไรกัน”

 

 

“ตรงนั้นมันมหาวิทยาลัยยานี่นาl”

 

 

“แย่แล้ว…! เดี๋ยวฉันรีบไปบอกให้ท่านอาจารย์รู้”

 

“สมบัติลับของโบสถ์ถูกขโมยไป การปกป้องจากเทพผู้พิทักษ์ภายในเมืองหลวงก็อ่อนแอลง พลังของพวกวิญญาณร้ายก็เพิ่มขึ้น…ถ้าเป็นแบบนี้ หากการปกป้องได้รับการฟื้นฟู คำสาปของชาร์ล็อตก็น่าจะดีขึ้นด้วย งั้นสิ่งที่เราทำได้ก็คือต้องกำจัดหมอสีดำพวกนี้ไปสินะ”

 

“แล้วนายจะกำจัดหมอกพวกนี้ได้ยังไงกันยะ! พวกเราต้องไปเอาผู้ใช้ศาสตร์แห่งวายุมาช่วยต่างหาก อย่างพวกเราทำอะไรมันไม่ได้หรอก”

 

 

ระหว่างที่ทั้งสองยังคงคุยกันอยู่ ดูเหมือนว่าหมอกสีดำจะเริ่มเข้ามาปกคลุมสวนของตระกูลเดอ เมดิซิสแล้ว

 

 

 

 

“ไม่หรอก ของแบบนี้ก็ต้องแก้ด้วยหมอกที่มีพลังแห่งเทพสิ”

 

“หา!?”

 

 

 

“”กำแพงสายหมอก! “”

 

ปาลเล่สร้างกำแพงหมอกขึ้นมาด้วยศาสตร์แห่งเทพ และสั่งให้มันโจมตีหมอกสีดำพวกนั้น หมอกที่ปาลเล่สร้างขึ้นมาได้ปะทะเข้ากับหมอกสีดำ แล้วความมืดมิดของมันก็สลายหายไปในพริบตา

 

 

 

“กลยุทธ์นี้ดูเหมือนจะได้ผลนะ งั้นก็ลุยไปทั้งแบบนี้เลย”

 

“ปาลเล่คุง ตอนนี้นายใช้พลังมากเกินไปแล้วนะ!

 

 

“อย่ามาห้ามกันหน่อยเลย เอเลโอนอร์ ดูสภาพชาร์ล็อตตอนนี้สิ งั้นฉันไปละนะ”

 

 

เอเลนเตือนปาลเล่แต่เขากลับเพิกเฉย

 

 

เอเลนเป็นกังวลเพราะได้ยินจากฟาร์มมาว่าปาลเล่มักจะเป็นลมเพราะใช้พลังมากเกินไปในคราวเดียว

 

 

(เราจะทำยังไงดี…ถึงปาลเล่คุงจะยังมองโลกในแง่ดีว่าวิญญาณร้ายคงถูกจัดการไปได้หมดแล้ว แต่มันก็สามารถผุดขึ้นมาอีกไม่หยุดแน่…ไม่มีที่ไหนในเมืองหลวงที่ไม่มีคนตายด้วย งั้นสมมติว่าการระบาดของพวกมันเกิดขึ้นมาจากการหายตัวไปของฟาร์มาคุงล่ะ ถ้าแบบนั้นพรของเทพผู้พิทักษ์ที่ปกป้องพวกเราก็จะหายไปด้วย)

 

 

เอเลนกลัวว่าเมืองหลวงของจักรวรรดิจะกลายเป็นเมืองแห่งวิญญาณร้าย ทันทีที่พลังแห่งเทพของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพหมดลง

 

ปาลเล่ที่ไม่รู้เจตนาของเอเลนก็ใช้ยักษ์ตนนั้นสร้างทางน้ำแข็งขึ้นมาเพื่อมุ่งไปยังมหาวิทยาลัยยา เขาได้ใช้มันพุ่งออกไป ราวกับต้องการรีบไปที่นั่นให้เร็วที่สุด

 

 

 

“โฮ๊ยยยย! นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉิน! นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉิน!”

 

 

“ดูท่ามีความสุขจังเลยนะ เจ้าหมอนั่น ทำคนอื่นวุ่นวายไปด้วยหมด…”

 

 

เอเลนเดาได้ว่าปาลเล่คงจะเคยสู้แต่ศัตรูในจินตนาการเท่านั้น เขาจึงอดดีใจไม่ได้ที่จะได้ต่อสู้แบบจริงจัง แต่ก็เพราะท่าทีของปาลเล่เลยทำให้เอเลนมีความกล้าขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

(เข้มแข็งหน่อยตัวเรา)

 

 

เอเลนตบแก้มตัวเองเพื่อกระตุ้นหัวใจที่อ่อนแอของเธอ

 

ครูเซเดอร์ของทางตระกูลเดอ เมดิซิสซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพได้รีบเดินทางออกไปปกป้องบรูโนและลาดตระเวนรอบสวนสมุนไพรหมดแล้ว ส่วนอีกไม่กี่คนที่เหลือก็ทำหน้าที่ปกป้องครอบครัวในคฤหาสน์รวมไปถึงทรัพย์สินและของชิ้นอื่น แต่พวกเขาก็เป็นเพียงอัศวินธรรมดาเท่านั้น

 

ตอนนี้บรูโนก็อยู่ที่มหาวิทยาลัยยา ปาลเล่ก็ออกไปกำจัดหมอกสีดำ เอเลนจึงเป็นคนเดียวที่สามารถเผชิญหน้ากับพวกวิญญาณร้ายที่จะเข้ามาโจมตีสมาชิกครอบครัวเดอ เมดิซิสได้ดีที่สุดแล้ว

 

การขับไล่พวกวิญญาณร้าย ในขณะที่เฝ้าลอตเต้ไปด้วย นั่นคืองานที่เธอได้รับ

 

 

เอเลนจับคทาไว้แน่น ย่อเอวลง ลดจุดศูนย์ถ่วง และเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดว่าวิญญาณร้ายจะปรากฏตัวที่ใด

 

จากนั้น แรงดันลมที่มาพร้อมกับพลังแห่งเทพได้ก่อกำเนิดขึ้นจากด้านหลังของเธอ และผลักเธอให้กระเด็นออกไปเล็กน้อย

 

 

“อะ-!”

 

 

เมื่อมองไปที่ทิศทางของลม สายลมนั้นได้คว้านเอาพื้นดินออกไปและทำให้สวนกลายเป็นรู

 

หมอกสีดำที่กระเด็นมาอยู่เบื้องหน้าของเอเลนได้ปลิวหายไปพร้อมกับสายลม

 

 

“วิญญาณร้ายพยายามโจมตีเธออยู่นะ เดี๋ยวฉันระวังหลังให้เอง”

 

 

แล้วเธอก็พบกับร่างของ เบียทริช เดอ เมดิซิส ภรรยาของผู้นำตระกูลเดอเมดิซิสปรากฏตัวขึ้นภายในสวน

 

เบียทริชถอดชุดลำลองออก ก่อนจะห่อหุ้มร่างตัวเองด้วยชุดเกราะ และเหวี่ยงคทาอันสง่างามของเธอ

คทาอันแสนล้ำค่าซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลดันเฮาเซอร์ ตระกูลของเบียทริช มันเป็นคทาที่เอเลนผู้คลั่งไคล้ในคทาไม่เคยเห็นมาก่อนเพราะมันเป็นสิ่งที่เบียทริชไม่ค่อยจะพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วย

 

คทาของเธอถูกประดับด้วยนกสามหัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูล ตอนนี้เธออยู่ในท่าพร้อมต่อสู้แล้ว

 

 

เอเลนที่ตกตะลึงกับการปรากฏตัวของเบียทริช ก็ได้สติแล้วเตือนเธอ

 

 

 

“คุณนายคะตรงนี้มันอันตรายนะคะ กรุณาเข้าไปข้างในคฤหาสน์เถอะค่ะ!”

 

 

 

เอเลนกังวลเกี่ยวกับเธอมากเพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับเบียทริช บรูโนและฟาร์มาจะต้องเสียใจมากแน่ๆ

 

แต่เบียทริชส่ายหัวไปมาอย่างเด็ดเดี่ยว ข้ารับใช้ที่เป็นสามัญชนก็ออกมาตามเบียทริชด้วยเช่นกัน

 

 

 

“คุณผู้หญิงคะ!”

 

“อันตรายงั้นเหรอ หุหุหุ ล้อกันเล่นหรือไงจ๊ะ ผู้นำของตระกูลจะมาหลบอยู่ในที่ปลอดภัยได้ยังไงกัน ที่นี่คือคฤหาสน์ของฉันนะ ฉันไม่อนุญาตให้ใครผ่านเข้าไปได้หรอก”

 

 

เอเลนตกใจกับด้านที่คาดไม่ถึงของเบียทริช เพราะด้านนี้ของเธอได้ถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้รูปลักษณ์อันสูงส่งของเธอตลอดมา

 

ความสามารถด้านการใช้ศาสตร์แห่งเทพของเบียทริชนั้น แทบไม่เป็นที่รู้จักมาก่อนเลย ถึงจะมีบางครั้งที่เธอคอยไปฝึกซ้อมให้กับบลานช์บ้างก็เถอะ…แต่ด้วยท่าทีที่ราวกับจะเยาะเย้ยความสงสัยของเอเลน เบียทริชก็ตั้งท่าถือคทาของเธอด้วยความสง่างาม

 

 

 

 

“วายุศักดิ์สิทธิ์”

 

 

ศาสตร์แห่งเทพของเบียทริชได้พัดพาเอาหมอกสีดำที่คืบคลานเข้ามาออกไป มนตร์ที่เธอใช้นั้นช่างสง่างามและได้รับการขัดเกลามาเป็นอย่างดี เอเลนรู้สึกทึ่งกับมันเพราะสายลมที่ออกมามีเส้นแสงสีรุ้งปะปนมาด้วย ซึ่งแตกต่างกับศาสตร์แห่งเทพทั่วไปที่เคยพบ

 

 

 

“วิเศษมากเลยค่ะ คุณนาย”

 

“หุหุหุ ต้องขอบคุณคทานี้เลย”

 

 

 

เอเลนยกย่องในความกล้าหาญของเบียทริช

 

“แต่แบบนี้มันคง ไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพมากนักที่จะรอให้วิญญาณร้ายปรากฏตัวและกำจัดพวกมันทีละตัว”

 

“คะ? ….แล้วท่านจะทำยังไงเหรอคะ”

 

“เธอเป็นเด็กฉลาดนะ ต้องใช้หัวคิดหน่อยสิ เธอรู้จัก “มหาเทพแห่งความคลุ้มคลั่ง” หรือเปล่าล่ะ”

 

 

เบียทริชหันไปยิ้มอย่างสง่างามให้กับเอลเลน

 

 

เพราะเธอเชื่อมั่นในความสามารถของเอเลน

 

เอเลนอ้าปากค้างราวกับประหลาดใจในคำพูดของเบียทริช มันคือการใช้คุณสมบัติธาตุวารีและวายุประสานเข้าด้วยกัน หากทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็จะสามารถใช้การสั่นพ้องของศาสตร์แห่งเทพทั้งสองธาตุได้

 

 

และแม้ว่าเธอจะเหงื่อตกเมื่อได้ยิน แต่เธอก็ยิ้มออกมาอย่างเข้มแข็ง

 

 

 

“ค่ะ ท่านอาจารย์เคยสอนฉันมา”

 

 

“เหรอ งั้นก็ดี รีบไปกันเถอะ”

 

 

เอเลนและเบียทริชกำคทาของตนเองและเริ่มวิ่งไปในทิศตรงข้ามกัน

 

 

ขณะที่วิ่งไปตามทางของตระกูลเมดิซิสซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ พวกเธอก็ให้วาดวงเวทพร้อมกับร่ายรำอยู่ในอากาศและร่ายบทสวดของมนตร์ออกมา ศาสตร์แห่งเทพนี้จะเป็นการปลดปล่อยพลังแห่งเทพออกมาทีละเล็กทีละน้อยและมีสูตรดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าพื้นที่ของวงเวทจะเขียนเสร็จ มันจำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งทางกายภาพและพลังแห่งเทพจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ทั้งเอเลนและเบียทริชก็ไม่ได้แสดงอาการอ่อนล้าออกมา

 

ขณะที่เธอร่ายมนตร์และเต้นรำไปด้วย คทาของเธอก็เริ่มหนังอึ้ง ลมหายใจของเธอก็เริ่มแรงขึ้นทุกที

 

แต่พอเอเลนมองไปอีกฝั่งหนึ่งของสวนสมุนไพร เธอก็เห็นว่าเบียทริชกำลังพยายามอย่างหนัก ท่าทางของเธอช่างดูสูงส่ง

 

 

 

“ทำการวาดวงเวทเสร็จสิ้น อย่าทำพลาดล่ะ!”

 

“ค่ะ!”

 

 

เอเลนและเบียทริชกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากวนไปรอบๆ เพื่อสร้างวงเวทขึ้น

 

พวกเธอยื่นมือออกไปพร้อมกับคทาภายในมือเพื่อเป็นการเปิดใช้งานวงเวทดังกล่าว

 

 

 

“ในนามแห่งเทพวารีและเทพวายุ ข้าขอสั่งพวกเจ้าให้เกรงกลัวต่อสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้และอย่าได้เข้ามาย่างกราย”

 

 

“ข้าขอแสดงพลานุภาพแห่งทวยเทพอังสูงส่งที่จะคงอยู่สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน”

 

แล้วพลังแห่งเทพของทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกัน

 

 

“มหาเทพแห่งความคลุ้มคลั่ง”!”

 

เมื่อคทาแห่งเทพของทั้งสองประสานกัน ก็ถือเป็นบทสรุปของการปลดปล่อยมนตร์ แล้ววงเวทสีฟ้าขาวก็ปรากฏขึ้นในอากาศ

 

วงเวทได้เริ่มแผ่ขยายไปรอบๆ พื้นที่ โดยมีพายุฝนเกิดขึ้นบริเวณใจกลางของวงเวท จากนั้นภายในเขตพื้นที่ของตระกูลเดอ เมดิซิสก็ได้รับการปกป้องโดยพายุที่กำลังคลุ้มคลั่ง

 

นี่คือวงเวทที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว มันสามารถชำระล้างพื้นที่โดยรอบได้ด้วยลมและฝน ซึ่งมีใจกลางของวงเวทเป็นที่หลบภัยสำหรับผู้ใช้

 

 

พายุแทบไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อมนุษย์เลย ตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ที่ดูแวววาวของมัน และมีผลกับวิญญาณชั่วร้ายด้วย ด้วยสิ่งนี้ แม้ว่าวิญญาณชั่วร้ายจะปรากฏตัวรอบๆ บ้าน พวกมันก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้

 

พอเอเลนใช้มาตรวัดพลังแห่งเทพ ก็พบว่าเธอใช้พลังไปถึง 95% จากที่สามารถปลดปล่อยได้ในแต่ละวัน

 

แต่ก็เพราะมนตร์บทนี้จึงทำให้ในทางทฤษฎีพวกวิญญาณร้ายไม่สามารถเข้ามาโจมตีได้อีกต่อไป เบียทริสยิ้มให้กับเอเลนก่อนจะลดคทาลง

 

 

 

“ตามที่คาดไว้ ใช้พลังแห่งเทพเข้ากันกับฉันได้ดีเลยนี่นา”

 

“ขอบคุณค่ะ คุณนาย”

 

 

พอเอเลนมองไปยังใจกลางของเมืองหลวง ก็พบว่าหมอกสีดำที่อยู่รอบๆ มหาวิทยาลัยยาได้ถูกกำแพงน้ำกลื่นกินและหายไปแล้ว

 

 

 

 

“ท่านอาจารย์ก็ใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับสูงเหมือนกันสินะ”

 

 

เอเลนหวังว่าฟาร์มาจะกลับมาโดยเร็ว

 

ถ้าหากเขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก เรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น เธออดที่จะคิดแบบนั้นไม่ได้

 

 

(ฟาร์มาคุงจะทำยังไงนะ ถ้ารู้เรื่องลอตเต้จังแล้ว…แถมยังมีเหตุการณ์ในเมืองหลวงนี้อีก?)

 

 

เอเลนนึกถึงการกระทำของฟาร์มาทีละอย่าง แม้ว่าเขาจะดูเป็นคนใจร้อน แต่เขาก็ไม่เคยลืมจะมองสิ่งที่อยู่รอบตัว บางครั้งเขาก็ประมาทแต่นั่นก็เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าต้องทำเช่นไรต่อไป และคิดถึงผลของการกระทำตัวเองไว้แล้ว

 

 

 

(เราจะต้องใจเย็น ค่อยๆ สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น)

 

 

ยิ่งในกรณีฉุกเฉินเธอจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลอย่างถูกต้องให้มากที่สุด

 

 

เอเลนบอกตัวเองให้ค่อยๆ คิดและใจเย็นๆ

 

———-

Note 1 : คนอื่นได้บทบ้างสักทีแหม่

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code 

 

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset