ตอนที่ 92 การล่มสลายของโบสถ์
ในตอนพลบค่ำ ฟาร์มาและคนอื่น ๆ กำลังนั่งรถม้าไปยังหมู่บ้านของหญิงสาวสามัญชนที่ติดขบวนมาด้วย โดยวิ่งไปตามทางหลวงในเขตชานเมืองของอาณาจักรเฮลเวเทีย
“อีกไม่นานก็จะถึงหมู่บ้านแล้วค่ะ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมาได้นั่งบนขบวนรถของจักรพรรดินี แถมยังได้รับการตรวจอาการจากแพทย์โอสถส่วนตัวของจักรพรรดินีที่มีชื่อเสียงอีก แทบจะเป็นลมเลยค่ะ”
หญิงสาวสามัญชนที่เกาะหน้าต่างอยู่พูดออกมาอย่างมีความสุข เธอชื่อว่าเอ็มม่า ฟาร์มาที่นั่งรถไปกับเอ็มม่าที่ท้ายขบวน ก็เห็นภาพที่เธอพูดออกมาอย่างไร้เดียงสาและต้องการช่วยเหลือแม่ของเธอจริงๆ
เอ็มม่าดูเหมือนจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังอยู่ภายในใจ อีกไม่นานแม่ของเธอก็จะได้รับการตรวจอาการจากแพทย์โอสถชื่อดังแล้ว
ฟาร์มาคุกเข่าลงต่อหน้าเอ็มม่าที่กำลังมีความสุขอยู่ ก่อนจะจ้องมองไปที่ขาของเธอซึ่งเปื้อนเลือดอยู่ พอเธอเห็นฟาร์มาจ้องแบบนั้นเธอก็ผงะถอยไป แล้วใบหน้าของเธอก็กลายเป็นสีแดงด้วยความเขินอาย
” ว๊าย! ได้โปรดอย่ามองมันเลยนะคะ!”
“ขอโทษครับแต่ผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงกับเท้าของคุณดี”
“ได้โปรดทิ้งเท้าอันแสนสกปรกของฉันไว้แบบนั้นเถอะค่ะ มันเป็นแบบนี้อยู่แล้วถึงจะรักษาไป…เดี๋ยวมันก็เป็นใหม่อยู่ดีค่ะ”
“….งั้นก็…เอาไว้ครั้งหน้าผมจะจัดการให้เป็นกิจลักษณะให้นะครับ”
ถึงฟาร์มาจะรักษาเธอตอนนี้ไป มันก็แค่มาตรการรักษาชั่วคราว แถมมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เธอพ้นจากความยากจนได้ด้วย แต่เขาก็อยากจะให้ข้อมูลกับเธอ เขาอยากจะสอนเธอเรื่องวิธีการล้างเท้าที่เปื้อนเลือดของเธอและโคลนด้วยน้ำ วิธีการขับเลือดเมื่อเกิดตุ่มพองขึ้นมา วิธีฆ่าเชื้อด้วยเข็ม และวิธีการดูแลตัวเองหลังการรักษา เขานึกถึงสถานการณ์ในอดีตของเธอมาพิจารณาประกอบการแนะนำ
“หากการรักษาครั้งนี้จบลงแล้ว คิดว่าครั้งหน้าจะทำเองไหวไหมครับ?”
“ถึงจะยาก แต่จะพยายามนะคะ”
“ที่จริงเรื่องอื่นก็ประโยชน์เหมือนกันนะครับ คุณสามารถอ่านหนังสือได้ไหมครับ”
“พอจะอ่านได้นิดหน่อยค่ะ…แต่ถ้าเป็นคุณแม่ละก็เธออ่านออกค่ะ”
“งั้นก็เอาสิ่งนี้ไปอ่านด้วยแล้วกันนะครับ”
ฟาร์มาดึงตำราเรียนที่เขาเขียนออกมาให้เธอ โดยเล่มนี้มันถูกสร้างขึ้นมาเป็นฉบับย่อที่เหมาะสำหรับคนทั่วไปให้อ่านเข้าใจง่าย แล้วเขาก็พับขอบของหน้ากระดาษ ที่เธอเหมาะจะนำไปปรับใช้ ถึงมันจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้ยา แต่รับรองว่ามีประโยชน์ในกรณีที่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงแน่นอน เช่นสามารถรู้วิธีในการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้น หรือวิธีการรักษาทั่วไปที่ดูตามอาการผู้ป่วย
“โปรดใช้ตำราเล่มนี้ในการอ้างอิงถึงวิธีการรักษาอาการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บนะครับ มันมีวิธีสอนการใช้สมุนไพรและยาด้วย คุณสามารถอ่านมันได้เต็มที่เลย ถ้าจะให้ดีก็คัดลอกมันแล้วแจกจ่ายให้คนรอบข้างได้อ่านด้วยนะครับ และถ้าเกิดว่าไม่เข้าใจเนื้อหาอะไรในตำรานี้ ก็สามารถส่งจดหมายมาตรงที่อยู่ของผมในท้ายเล่มได้เลย เดี๋ยวผมจะตอบกลับมา”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับหนังสือเลยค่ะ ฉันสัญญาว่าจะรักษามันไว้เป็นอย่างดีและจดจำชื่อของท่านเอาไว้จนวันตายค่ะ”
เธอน้ำตาคอลเบ้าเมื่อมองดูตำราที่อยู่ในมือเธอ ก่อนจะเช็ดน้ำตาของตนด้วยผ้าที่ดูสกปรก ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นก็ให้เธอยืมผ้าเช็ดหน้า
“ขอบคุณมากนะคะ…จริงสิคะ ตอนนี้ฉันอาจจะไม่สามารถจ่ายค่าตรวจกับค่ายาให้ท่านได้ แต่ฉันจะพยายามทำงานหาเงินเพื่อตอบแทนท่านอย่างแน่นอนค่ะ”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินหรอกครับ ไม่ใช่สิ่งที่ผมขอด้วย ผมก็ต้องการแบบนี้เอง แถมยังไม่รู้ด้วยว่าจะช่วยแม่ของคุณได้หรือเปล่า”
ฟาร์มาหัวเราะออกมา และก็เริ่มพูดคุยกันต่อไปเรื่อยๆ จนรถม้าเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าขบวนกำลังจะหยุดพักเนื่องจาก ต้องการให้ม้าได้พักสักครู่ แล้วคลาร่าก็มาหาเขาที่รถม้าพร้อมกับคนอื่นๆ ในสภาพที่พร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ตลอดเวลา
“ท่านแพทย์โอสถคะ เกิดเรื่องแล้วค่ะ เราจำเป็นต้องรีบกลับไปที่เมืองหลวงจักรวรรดิโดยด่วนเลย”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
ดูเหมือนว่าเธอจะฝันเห็นนิมิตอีกครั้งแล้วขณะที่เธองีบไปเมื่อครู่นี้
สิ่งที่เธอเห็นนั้นจะเปลี่ยนไปทุกขณะ ดังนั้นพวกเขาอาจจะเจออันตรายที่เธอไม่เห็นมาก่อนด้วยก็ได้ แถมคำทำนายของเธอก็ดูคลุมเครือในบางครั้ง ฟาร์มาจึงคาดเดาและตอบสนองกับสิ่งที่เธอบอกได้ยาก
“การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจักรวรรดินั้น ถึงคนอื่นจะกังวลกันไปบ้าง แต่พวกเขาจะปลอดภัยกันดีค่ะ ทุกคนสบายดีกันหมด ดังนั้นฉันเลยคิดว่าเราควรจะรีบกลับให้เร็วที่สุดเท่าที่นิมิตของฉันยังเห็นว่าดีอยู่”
“ที่พูดมาก็มีแต่เรื่องดีนี่ครับ หรือจะบอกว่ามีผมคนเดียวที่ผลต่างออกไปกัน?”
“ไม่ค่ะ ท่านแพทย์โอสถก็ไม่เป็นอะไร แต่ว่าฉันเห็นสัญญาณบางอย่างที่เตือนฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าหากไม่รีบกลับไปตอนนี้ ท่านจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแน่ค่ะ จะเพียงแค่ตัวท่านคนเดียวกับม้าหนึ่งตัวก็ได้ แต่ได้โปรดรีบกลับไปตอนที่ยังทันเถอะค่ะ”
“มีบางอย่างที่ไม่อาจย้อนคืนหากผมไม่รีบกลับไปสินะครับ”
“ค่ะ”
ฟาร์มาตรวจสอบอาการของคลาร่าด้วยดวงตาวินิจฉัย สภาพร่างกายของคลาร่าไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด แต่การจะบังคับให้ฟาร์มากลับไปก่อนโดยทิ้งเจ้านายของเขาเอาไว้ ก็เหมือนเป็นการละเลยหน้าที่ในฐานะแพทย์โอสถหลวงส่วนพระองค์ คลาร่าก็รู้ดีว่าที่เธอพูดมันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“ฉันจะเป็นคนไปขออภัยโทษกับจักรพรรดินีเองค่ะ ขอให้ฉันได้ทำตามที่ต้องการ ฉันยอมรับโทษทุกอย่างแต่แค่ตอนนี้เท่านั้น! ได้โปรดขอให้ท่านรีบกลับไปที่เมืองหลวงด้วยเถอะค่ะ!”
“ได้ครับ ถ้าผมดูอาการแม่ของคุณเอ็มม่าเสร็จ ผมจะรีบกลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิในทันที”
“ถ้าได้เช่นนั้นจะดีมากเลยค่ะ……”
คลาร่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฟาร์มาเชื่อคำพูดของคลาร่า แม้ว่าเธอจะรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่มันก็คือความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นหากไม่หลีกเลี่ยง เพราะนั่นเป็นถึงลางสังหรณ์ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพแห่งการเดินทาง
ก็เหมือนกับฟาร์มาที่มีพลังเหนือกว่าคนทั่วไป นั่นก็คือสิ่งเดียวที่เด็กสาวผู้ไร้พลังมีเหมือนกัน คำพูดของเธอไม่สามารถมองข้ามไปได้เด็ดขาดในโลกที่มีศาสตร์แห่งเทพเช่นนี้ ขนาดตัวเธอเองยังรู้สึกหงุดหงิดที่วิวรณ์ของเทพแห่งการเดินทางมันออกมาประหลาดเแบบนี้เหมือนกัน ฟาร์มาได้ยินเธอบ่นอยู่เสมอ
คทาแห่งเทพอันใหม่ของฟาร์มาที่มีสมบัติลับฝังอยู่ภายในนั้น ก็มีพลังมากขึ้นกว่าเดิมด้วย น่าจะทำให้เขาสามารถเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงได้เร็วยิ่งขึ้น
“ขอโทษที่เรื่องของคุณแม่ทำให้ท่านต้องมาลำบากในเวลาแบบนี้ด้วยนะคะ”
เอ็มม่าที่ได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ก็รู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้เขาเสียเวลา ก่อนที่ฟาร์ม่าจะวางมือบนไหล่ของเธอแล้วส่ายหัว
“คุณไม่ต้องกังวลหรอกครับ”
“ค่ะ เดี๋ยวหมู่บ้านถัดไปนี้ก็เป็นหมู่บ้านของฉันแล้วค่ะ ดีจังเลยนะคะที่ไม่ทำท่านเสียเวลาไปนานกว่านี้”
เมื่อเอ็มม่าพูดจบ ขบวนรถม้าก็เกิดหยุดกะทันหันขึ้น ในระหว่างที่ขบวนหยุด ฟาร์มาก็เริ่มมีความกังวลและบอกให้เอ็มม่ารออยู่ตรงนี้
เหล่ามหาดเล็กรวมตัวกันรอบรถม้าของจักรพรรดินี ฝ่ายตรวจสอบเส้นทางล่วงหน้ายืนยันความปลอดภัยของถนนกลับมาด้วยใบหน้าซีดเซียวและรายงานต่อจักรพรรดินี
“บอกเรามาเสียว่าครั้งนี้มันเกิดอะไรขึ้นอีกโดยไม่ต้องปิดบัง”
“ฮ่ะ กระหม่อมขอรายงาน”
เส้นทางข้างหน้านั้นเป็นหมู่บ้านที่ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ และมันยังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา โดยมีชาวบ้านนอนล้มอยู่ทั่วหมู่บ้าน ในสภาพที่หายใจหอบด้วยความเจ็บปวด
จักรพรรดินีตะโกนออกมาสั่งเหล่าข้ารับใช้ทันที
“งั้นก็จงรีบตรงเข้าไปที่นั่นเสีย!”
หลังจากได้ยินคำตัดสินของจักรพรรดินี หัวหน้าของหน่วยสำรวจเส้นทางก็พูดขึ้นมา
“กระหม่อมอยากจะทูลว่า หมอกหนาที่อยู่ข้างในพวกเรานั้นนันไม่ใช่หมอกธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ พวกม้ามีอาการตกใจกลัวหมอกนี้อย่างเห็นได้ชัด ที่พวกเรากลับมาโดยปลอดภัยก็เพราะม้าพวกนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่ แค่หมอกก็สามารถใช้ศาสตร์วายุปัดเป่าออกไปก็จบแล้วนี่”
“หมู่บ้านที่อยู่ข้างหน้านั้นทางเราเชื่อว่าพวกเขาถูกวิญญาณร้ายโจมตีพ่ะย่ะค่ะ และหมอกที่เกิดขึ้นมาก็ลุกลามเร็วจนน่าตกใจด้วย”
พอเห็นเช่นนั้น รัฐมนตรีการค้าก็แนะนำให้เธอเปลี่ยนเส้นทาง
“ฝ่าบาทได้โปรดหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางนี้เถิด หากมีวิญญาณร้ายโจมตีทั้งหมู่บ้านจริง ฝ่าบาทก็อาจจะตกอยู่ในอันตายได้”
ฟาร์มาซึ่งกำลังฟังการสนทนากับจักรพรรดินีได้แทรกเข้ามาระหว่างการสนทนาและถามพวกเขา
“เท่าที่ผมได้ยินมา ก็แปลว่าชาวบ้านยังมีชีวิตกันอยู่สินะครับ”
ฝ่ายตรวจสอบเส้นทางที่เห็นฟาร์มาถามเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าไม่ดีนักออกมา
“ครับ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้มันก็เหมือนกับตายไปแล้ว แถมคนของเราก็ไม่พอจะช่วยได้ทั้งหมดด้วย”
“ฝ่าบาท เดี๋ยวกระหม่อมจะเข้าไปช่วยพวกชาวบ้านเอง หากพบว่าเป็นวิญญาณร้ายจริงกระหม่อมจะทำการขับไล่ออกไปเอง ขอให้ฝ่าบาทและทุกคนโปรดรออยู่ที่นี่ก่อน”
ฟาร์มาพูดออกมาอย่างไม่ลังเล จนทำให้คนอื่นต้องหยุดฟาร์มาไว้
“ท่านเมดิซิส คู่ต่อสู้ของท่านในครั้งนี้คือวิญญาณร้ายนะครับ ท่านจะตกอยู่ในอันตรายเอาด้วยได้ แถมที่นี่ไม่ใช่จักรวรรดิ ท่านควรจะมอบหน้าที่นี้ให้เป็นของพวกนักบวชที่สังกัดอยู่พื้นที่นี้กับท่านลอร์ดเฮลเวเทีย อย่าไปยุ่งกับเรื่องของพวกเขามากเกินเลยครับ เดี๋ยวผมจะส่งทหารไปติดต่อกับท่านลอร์ดให้เอง”
หัวหน้าหน่วยตรวจสอบเส้นทาง ให้คำแนะนำกับเขาอย่างหนักแน่น อาณาจักรเฮลเวเทียนั้นยังมีปัญหาเรื่องความมั่นคงในกิจการภายในอยู่ ถึงจะเป็นจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยได้รับการต้อนรับที่ดีเลย พวกเขายกเว้นให้เฉพาะการเดินทางข้ามประเทศตามที่บอกไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่ฟาร์มาก็ไม่ตัดใจ
“หากในแง่ของการเมืองเราก็ควรทำเช่นนั้นครับ แต่นี่เป็นเรื่องฉุกเฉิน หากเราไม่รีบเข้าไปช่วยเหลือในตอนนี้ อาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากมากกว่านี้ก็ได้ถ้าหากมันเป็นโรคระบาดขึ้นมาแล้วไม่ถูกตรวจสอบ ถนนเส้นนี้ที่เชื่อมต่อกับจักรวรรดิอาจจะกลายเป็นพาหะนำโรคก็ได้”
พอฟาร์มาพูดออกมาอย่างแน่วแน่ พวกมหาดเล็กที่รู้สึกทึ่งกับข้อโต้แย้งของเขาก็มองไปที่จักรพรรดินี
จากข้อมูลที่หน่วยตรวจสอบเส้นทางสัมผัสได้มันคือวิญญาณร้าย แต่ฟาร์มาก็มองในมุมที่อาจจะเป็นโรคระบาดก็ได้เช่นกัน แถมแม่ของหญิงสาวที่อาศัยในหมู่บ้านนั้นก็มีไข้ด้วย ทำให้เขากังวลขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้คอมพ์หัวหน้านักบวชของเมืองหลวงจักรวรรดิจึงเข้ามาช่วยเหลือ
“เดี๋ยวทางเราจะช่วยตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ เราจะติดต่อกับโบสถ์ในพื้นที่ด้วย น่าแปลกทั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้แต่ทางโบสถ์กลับไม่ออกมาดูแลผู้ป่วยหรือขับไล่วิญญาณร้ายเลย”
จักรพรรดินีที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็พูดออกมาด้วยความหงุดหงิด
“โถ่เอ้ย เราฟังมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ พวกเจ้าพูดอะไรกันมากความอยู่ได้ รีบเดินหน้าลุยเข้าไปที่หมู่บ้านของหญิงสาวผู้นั้นได้แล้ว! จากนั้นก็ไปกำจัดพวกวิญญาณร้ายให้หมดเสีย!”
“ฝ่าบาทไม่ควรทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฟาร์มาบ่นใส่จักรพรรดินีผู้บอกว่าจะตรงไปที่หมู่บ้านถึงแม้จะมีเธอคนเดียวก็ตาม เขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าจักรพรรดินีจะรอดชีวิตได้หากเธอสัมผัสเข้ากับวิญญาณร้ายหรือโรคระบาดเข้าเมื่อมีตราหลอมละลายอยู่ เขาเลยอยากจะให้เธอรอที่นี่
“กระหม่อมกังวลว่ามันอาจจะเป็นทั้งโรคระบาดและวิญญาณร้าย และหากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมก็อาจจะติดโรคได้ และฝ่าบาทที่เคยป่วยเป็นฝีในท้องถึงฝ่าบาทจะเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ยอดเยี่ยมแต่ภูมิคุ้มกันของฝ่าบาทก็ยังเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้น กระหม่อมจึงอยากจะให้ฝ่าบาทกลับเมืองหลวงโดยสวัสดิภาพ”
“แถมถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทกระหม่อมคงถูกตัดหัวเป็นแน่”
“เอาไว้กลับมาเชิญบ่นกระหม่อมได้เต็มที่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีแสดงความผิดหวังออกมา แต่ฟาร์มาก็พยายามเกลี้ยกล่อมอยู่นานจนสุดท้ายเธอก็ยอมแล้วขบวนรถม้าของจักรพรรดินีกับข้ารับใช้ก็หันกลับไปที่เมืองก่อนหน้านี้แทน
“ท่านแม่….ทุกคนตายหมดแล้วเหรอคะ? พวกวิญญาณร้ายมันโจมตีหมู่บ้านจริงเหรอคะ”
เอ็มม่าที่ได้ฟังเรื่องราวในภายหลัง ก็สั่นไปทั้งตัว จูเลียน่าที่เห็นแบบนั้นก็เข้าไปกอดเธอ แต่ดูเหมือนสติของเธอจะไม่อยู่กับตัวด้วยความกังวลเรื่องในหมู่บ้าน
“คุณเอ็มม่า บอกชื่อแม่กับน้องชายของคุณมาสิครับ ผมจะได้ยืนยันว่าพวกเขายังปลอดภัยดีไหม เดี๋ยวพวกวิญญาณร้ายทางนักบวชจะช่วยจัดการให้เองครับ”
พอฟาร์มาได้ชื่อ เขาก็มอบหมายให้ข้ารับใช้ที่เขาไว้ใจของตระกูลดูแลเธอ ก่อนจะไปเข้าร่วมกับทีมกู้ภัยด้วยยาและคทาที่อยู่ในมือของตน
นักบวชห้าคน คนคุ้มกันอีกห้าคน ครูเซเดอร์ของทางตระกูลเดอเมดิซิส จูเลียน่า ซาโลม่อน และฟาร์มา ทั้งหมดขี่ม้ามุ่งตรงไปยังหมู่บ้านในทันที
คอมพ์ที่รู้ว่าคนที่เหลือกำลังตามมาช่วยแล้วก็แสดงสีหน้าที่กังวลออกมา
“แย่แล้วสิครับ หากโบสถ์ที่พื้นที่หยุดการทำงานไปแบบนี้ เรื่องเลวร้ายสุดๆ ได้เกิดขึ้นแน่”
“หมายความว่าไงครับคุณคอมพ์”
“ท่านรู้หรือไม่ครับว่าโบสถ์เหล่านี้มักจะสร้างขึ้นบริเวณไหน”
พอคอมพ์พูดจบสีหน้าของซาโลม่อนและจูเลียน่าที่อยู่กับเขาก็แข็งกระด้างไปทันที จูเลียน่าเป็นคนแรกที่ตอบคำถามนั้นให้ฟาร์มาฟังแทน
“โบสถ์โดยปกติแล้วจะถูกสร้างขึ้นที่เขตเมืองใหญ่และจุดคมนาคมที่สำคัญค่ะ แต่สำหรับการสร้างโบสถ์ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้…พวกเขาจะสร้างในพื้นที่ที่สำหรับปิดผนึกพวกวิญญาณร้ายค่ะ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากโบสถ์หรือวงเวทศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายไม่ก็หยุดการทำงานไปละก็….”
จูเลียน่าพูดออกมารัวๆ จนไม่ทันหายใจ ซาโลม่อนจึงสรุปปิดให้
“ถ้าโบสถ์ล่มสลายไป มันก็จะกลายเป็นรังของพวกวิญญาณร้ายครับท่านฟาร์มา”
(โบสถ์เลยเป็นสถานที่ที่สำคัญของโลกใบนี้สินะ)
ฟาร์มาตระหนักได้ถึงความโง่ของตัวเองโดยทันที เพราะก่อนหน้านี้เขาบอกว่าจะทำลายมหาวิหารของนครศักดิ์สิทธิ์ด้วยพวกขู่พวกคอมพ์ แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความคิดอันตื้นเขินของเขาเช่นกัน
“เจอแล้วครับ โบสถ์ตรงเนินเขานั่นคือโบสถ์เมสเซโน่ เดี๋ยวตะเกียงนิรันด์ทำไมดับไปกันล่ะ!!”
คอมพ์ตะโกนออกมาขณะตรวจดูแผนที่บนหลังม้า สิ่งที่เขามองเห็นบริเวณเนินเขานั้นคือโบสถ์สีขาวที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ซาโลม่อนบอกกับฟาร์มาว่าตะเกียงนิรันดร์คือเปลวไฟจากศาสตร์แห่งเทพที่แขวนติดไว้ภายในหอระฆังของทางโบสถ์เพื่อบ่งบอกว่าการทำงานภายในโบสถ์นั้นยังปกติดี
“แถมส่วนล่างของโบสถ์จะถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำด้วย”
“หมายความว่าพวกวิญญาณร้ายมันออกมาจากโบสถ์งั้นเหรอครับ?”
ตอนนี้เขาพบทางแยกของถนนที่จะนำทางไปสู่หมู่บ้านแล้ว โดยทางแยกหนึ่งเป็นทางตรงไปหมู่บ้าน ส่วนอีกทางเป็นทางไปสู่โบสถ์บนเนินเขา
คอมพ์พูดออกมาอย่างหมดหวัง
“ท่านฟาร์มา พวกเราจะเข้าไปที่โบสถ์กันก่อนและประกอบวงเวทกันขึ้นอีกครั้ง จุดนั้นอาจจะเป็นต้นกำเนิดของพวกวิญญาณร้ายนี่ก็ได้ หากท่านจะไปที่หมู่บ้าน ก็โปรดระวังตัวด้วย ผมจะให้นักบวชที่สามารถใช้ศาสตร์การชำระล้างไปกับท่านด้วยเผื่อว่าพวกวิญญาณร้ายจะโผล่มา”
“อย่ากังวลไป ทางฉันจูเลียน่าก็รู้วิธีนั้นเหมือนกัน”
จูเลียน่าแนะนำตัวเอง ก่อนจะยิ้มให้กับคอมพ์
“ฮ่าๆ เดิมทีฉันเป็นถึงคาร์ดินัลเลยนะคะ ไม่อยากให้ลืมกันไปเสียก่อน ดังนั้นก็ขอให้พระเจ้าคุ้มครองค่ะ”
พวกเขาเริ่มเฆี่ยนม้าและอยากทางกันออกไปคนละทาง ฟาร์มากับคนที่เหลือก็มุ่งตรงไปทางหมู่บ้าน ไม่นานพวกเขาก็เห็นสภาพโดยรอบ
“ดูเหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นจริงสินะ!”
พอพวกเขาเข้าไปใกล้หมู่บ้าน ก็พบกับหมอกดำหนาทึบกำลังปกคลุมโดยรอบไว้เหมือนรายงานที่ได้รับมา
ฟาร์มาก็รู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกมันที่แผ่กระจายอยู่ในอากาศได้ มันเป็นแบบเดียวกับวิญญาณร้ายที่เขาพบในห้องใต้ดินคฤหาสน์ของฮิวโก้เมื่อครั้งก่อน
(นี่คือวิญญาณร้ายแน่นอน…)
“สายลมชำระล้าง”
เหล่าครูเซเดอร์ได้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุวายุในการขจัดหมอกพวกนี้เพื่อให้การมองเห็นของพวกเขาดีขึ้น แต่ความน่ากลัวของหมอกเหล่านี้มันทำให้พวกเขารู้สึกหายใจไม่ค่อยออกเลย แล้วพวกเขาก็เริ่มได้ยินเสียงครวญครางของชาวบ้านที่ยังมีชีวิตกันอยู่
“อึกฮ่ะ!”
พวกเขามีอาการเหมือนจมน้ำเพราะหมอกสีดำพวกนี้ หนึ่งในครูเซเดอร์ของจักรวรรดิก็ตกลงจากหลังม้าเพราะม้าของเขาเกิดหลุดการควบคุมขึ้น ฟาร์มาจึงรีบหยิบคทาของเขาออกมาแล้วควบม้านำหน้าไปแทน นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้พลังของคทาอันใหม่นี้
“เราต้องรีบจัดการกับหมอกพวกนี้ก่อน “อาณาเขตชำระล้างโรคระบาด!””
ฟาร์มาชี้คทาไปยังทิศที่เขาจะมุ่งไปก่อนจะร่ายอาณาเขตชำระล้างโรคระบาดไปข้างหน้าด้วย โดยปกติแล้วการใช้มันจำเป็นต้องสร้างอาณาเขตจากตัวของผู้ร่ายเอง แต่ถ้ามีสมาธิมากพอ ผู้ใช้ก็สามารถกำหนดพื้นที่นอกเหนือจากตัวเองได้ กระแสคลื่นของพลังแห่งเทพได้พัดพาเอาหมอกสีดำออกไปจนหมด พลังของมันช่างเหมือนกันกับการชำระล้างด้วยคทาแห่งเทพโอสถเลย ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาดในการเปรียบเทียบเชิงเทคนิค
แต่เขาก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเมื่อก่อนอย่างชัดเจน
(พื้นที่อาณาเขตชำระล้างโรคระบาด…เล็กไปไหมนะ! คงประมาณแค่ 500 เมตรได้มั้ง?)
แต่มันก็สามารถขับไล่หมอกสีดำพวกนี้ไปในเวลาอันสั้นได้อยู่ดี
บริเวณที่ฟาร์มากางอาณาเขตเสร็จ เหล่าทีมกู้ภัยก็จะรีบเข้าไปยังบริเวณนั้นเหมือนเป็นการนำทาง ตอนนี้พวกเขาได้ถูกล้อมไว้ด้วยวังวนของพายุหมอกสีดำ คนที่ตกจากหลังม้าก็รีบกระโดดขึ้นไปแล้วไล่ตามฟาร์มาไป ก่อนที่หมอกสีดำจะเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเขาอีก
ท้ายที่สุดพวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านได้ แม้ฟาร์มาจะจัดการพวกหมอกนี้ออกไปแล้ว แต่ไม่นานพวกมันก็กลับมาใหม่และคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นราวกับผลขออาณาเขตมันน้อยลงทุกที
“ถ้าวงเวทสร้างขึ้นมาเสร็จ หมอกพวกนี้ก็จะหายไปเอง ไม่มีประโยชน์ที่จะฝืนจัดการหมอกพวกนี้ให้หมดหรอกครับ เรารีบไปช่วยผู้รอดชีวิตก่อนดีกว่า”
“งั้นเราแยกกันออกไปค้นหาดีกว่านะครับ”
ฟาร์มาตัดสินใจทำตามคำแนะนำของซาโลม่อน
ทันทีที่ทีมกู้ภัยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ พวกเขาก็เข้าไปในตรอกของหมู่บ้าน ฟาร์มาและคนอื่นๆ ก็พบกับซากศพที่นอนอยู่กลางทางและพยายามหนีออกจากหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก เขาวิ่งหนีออกมาด้วยเท้าเปล่าและล้มลงราวกับหมดแรงไปทั้งอย่างนั้นเพราะศพยังอุ่นอยู่เลย
“ให้ตายสิ…เรามาช้าไป พวกเขาโดนวิญญาณร้ายเล่นงานกันหมดเลยสินะ”
ฟาร์มาตรวจดูอาการของพวกเขาโดยสวมถุงมือเอาไว้ เขายืนยันได้แล้วว่าไม่มีอาการบาดเจ็บภายนอก และพอพลิกเปลือกตาล่างของศพเพื่อหาสาเหตุการตายดูก็พบว่า มีเลือดออกเล็กน้อยบริเวณเยื่อเมือกตา ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดฝอยที่แตก นั่นเป็นสัญญาณของการขาดอากาศหายใจ
“แปลว่าหมอกพวกนี้ทำให้คนหายใจไม่ออกสินะ?”
ขณะที่ฟาร์มากำลังคิดอยู่ ทางซาโลม่อนก็รีบเขียนยันต์ศักดิ์สิทธิ์ แปะเข้าที่หลังของศพ ก่อนจะร่ายมนตร์บางอย่าง บางทีเขาน่าจะคุ้นเคยงานเกี่ยวกับศพอยู่แล้ว เขาจึงรับมือได้รวดเร็ว
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ”
“เป็นการไว้ทุกข์ให้กับพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขากลายเป็นวิญญาณร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่โบสถ์ไม่สามารถทำงานได้เช่นนี้ ผู้คนที่ตายไปอย่างน่าเศร้าจะมีโอกาสกลายเป็นวิญญาณร้ายได้ง่ายครับ…ในกรณีนี้ก็เช่นกัน”
พอซาโลม่อนหันกลับมาก็เห็นว่ามีร่างสีดำสองสามร่างกำลังโฉบไปมาอยู่ภายในตรอกของหมู่บ้าน
ฟาร์มาซึ่งเห็นวิญญาณร้ายช้ากว่าซาโลม่อนเล็กน้อย กำลังจะก้าวออกมารับมือ แต่คทาของซาโลม่อนก็ออกมารับหน้าแทน
“กับวิญญาณร้ายแค่นี้ได้โปรดให้ผมจัดการพวกมันเองเถอะครับ ท่านฟาร์มากับคนอื่นๆ รีบไปช่วยเหลือชาวบ้านเถอะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
ฟาร์มาปล่อยให้ซาโลม่อนรับมือกับพวกวิญญาณร้ายก่อนจะเริ่มออกตามหาจูเลียน่าและคนอื่นๆ เพื่อช่วยชาวบ้านต่อ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างมาจากทางโรงแรม ภายในนั้นมีสภาพที่มืดสนิท เขาได้ยินเสียงคร่ำครวญของคนคนหนึ่งเมื่อเขาเปิดไฟ ก็พบกับร่างของชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นแขก ฟาร์มาจึงเดินเข้าไปหาพวกเขา
“รอก่อนค่ะ “จงหายไปซะ”!”
จูเลียน่าเปิดขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์และสาดใส่ชายหญิงคู่นั้น ก่อนจะร่ายมนตร์ชำระล้างแล้วเปิดหน้าต่างโรงแรมออก
เธอรีบเขียนสัญลักษณ์บางอย่างที่มุมทั้งสี่ของห้องด้วยถ่านและร่ายศาสตร์แห่งเทพ จากนั้นหมอกก็ผุดขึ้นจากร่างของผู้รอดชีวิตทั้งสองก่อนที่มันจะหมุนวนไปรอบๆ ห้อง และทำลายล้างเครื่องเรือนในห้องราวกับโพลเตอร์ไกสต์ กระจกแตกกระจายและสิ่งของในโรงแรมก็ตกลงบนพื้นทั้งหมด ฟาร์มาจึงล้อมรอบผู้รอดชีวิตด้วยกำแพงน้ำแข็งเพื่อป้องกันพวกเขาจากของเครื่องเรือนที่ตกลงมา สักพักลมพายุก็สงบลง
หลังจากทำความสะอาดห้องเรียบร้อย ทั้งสองก็กอดกันและทรุดตัวลง อาจเป็นเพราะพวกเขาถูกความกลัวเข้าครอบงำจนทนไม่ไหว หลังจากทำงานของเธอเสร็จจูเลียน่าก็มองกลับไปที่ฟาร์มาราวกับโล่งใจ
“คนพวกนี้ถูกวิญญาณร้ายสิงสู่ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว”
“ขอบคุณครับ คุณจูเลียน่า”
ฟาร์มาเข้าไปช่วยผู้ช่วยรอดชีวิตทั้งสองขณะที่ชื่นชมการตอบสนองอย่างรวดเร็วของจูเลียนาอดีตคาร์ดินัลไปด้วย
“พวกเรามาช่วยแล้วนะ เข้มแข็งไว้”
“แฮกๆๆ หายใจสะดวกขึ้นเยอะเลย ขอบคุณมาก”
“พอรู้สึกตัว ร่างกายมันก็หนักอึ้งจนหายใจไม่ออก จนคิดว่าตัวเองจะตายแล้วสิ”
สามัญชนที่ไม่มีพลังแห่งเทพที่จะมองเห็นวิญญาณร้าย จะยกเว้นก็พวกที่มีประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลม
จูเลียน่าอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา
“หมอกสีดำพวกนี้คือกลุ่มก้อนของวิญญาณร้ายที่จะทำการแยกร่างของพวกมันออกไปแสวงหาสิ่งมีชีวิตขอให้ระวังกันไว้ด้วย”
“เราต้องรีบไปหาผู้รอดชีวิตกันต่อแล้วครับ”
ฟาร์มาพยายามค้นหาผู้รอดชีวิตให้ได้มากที่สุด แม้มองแวบแรก ชาวบ้านหลายคนอาจจะดูเหมือนเสียชีวิตไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงพวกเขาแค่สลบไป ส่วนคนที่มีอาการขาดอากาศหายใจไปนั้นก็ไม่ตื่นขึ้นมาเลยถึงจะได้รับออกซิเจนไปแล้วแต่พอพวกเขาขับไล่วิญญาณออกจากร่างไปได้คนพวกนั้นก็ฟื้นขึ้น จนถึงตอนนี้จำนวนผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ประมาณหนึ่งโหลเท่านั้น
“เราเองก็ต้องชำระล้างพวกมันออกไปให้หมด”
ท้ายที่สุดด้วยความร่วมมือกันของฟาร์มาและคนอื่นๆ พวกเขาก็ได้ทำการขับไล่วิญญาณร้ายออกไปได้สำเร็จ ก่อนที่พวกเขาจะรวบรวมร่างของผู้เสียชีวิตที่พบแล้วไว้อาลัยให้กับพวกเขา ส่วนทางคนอื่นๆ ที่ยังรอดชีวิตอยู่นั้นก็มีแม่และน้องชายของเอ็มม่าอยู่ในนั้นด้วย พวกเขามารวมตัวกันที่จัตุรัสกลางหมู่บ้านในสภาพที่เหนื่อยล้า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตกัน
แม่ของเอ็มม่ามีไข้สูง ซึ่งจากการตรวจด้วยดวงตาของเขาก็พบว่าเป็นต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน เมื่อเขาขอให้เธอเปิดปากเขาสามารถมองเห็นหนองได้อย่างชัดเจน
“คุณเอ็มม่าเป็นห่วงคุณมากเลยนะครับ เห็นว่าคุณต้องการใช้ยาวิเศษ แต่ผมมีอะไรที่ดีกว่านั้นอีกครับ นี่ครับยาที่ผมจะมอบให้”
“ว่าแต่ ท่านคือใครเหรอคะ?”
“ผมเป็นแพทย์โอสถมีชื่อว่า ฟาร์มา เดอ เมดิซิสครับ ตอนนี้คุณเอ็มม่าอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วครับ”
“โถ..เด็กคนนั้น ฉันไม่รู้จะขอบคุณท่านยังไงดีจริงๆ”
ฟาร์มาหยิบยาลดไข้และยาปฏิชีวนะออกมาจากกระเป๋ายา และส่งให้แม่ของเธอ ก่อนจะอธิบายวิธีรับประทาน ในขณะเดียวกันจูเลียน่ากับซาโลม่อนก็ได้วางคริสทัลและวาดวงเวทเอาไว้ตรงกลางจัตุรัสที่มีผู้รอดชีวิตรวมตัวกันอยู่
“ข้างนี้ในปลอดภัย โปรดอย่าออกจากอาณาเขตของวงเวทนี้”
“พวกท่านเป็นนักบวชสินะครับ ขอบพระคุณมากจริงๆ พวกเราคิดว่าจะต้องตายแล้วเสียอีก”
“ไม่นานมานี้ข้าเห็นพวกชนชั้นสูงขี่ม้าหนีออกไป ก็คิดว่าจะถูกทิ้งซะแล้วสิ ที่แท้พวกเขาก็ไปตามคนมาช่วยนี่เอง”
“พอไม่มีทั้งนักบวชและชนชั้นสูงที่ใช้ศาสตร์แห่งเทพได้เลย ก็คิดว่าจะถูกพวกวิญญาณร้ายฆ่าแล้วสิ”
“แต่ทั้งที่มีโบสถ์อยู่ใกล้ๆ นี้แท้ๆ ทำไมพวกวิญญาณร้ายถึงปรากฏตัวออกมาได้กันนะ”
แม้จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ชาวบ้านก็แสดงความขอบคุณต่อทีมกู้ภัย ฟาร์มามองเห็นบทบาทของชนชั้นสูงและนักบวชที่ใช้ศาสตร์แห่งเทพในโลกนี้ได้อย่างดีและรู้ซึ้งถึงความสำคัญของการดำรงอยู่ของชนชั้นสูงในกรณีเกิดเรื่องฉุกเฉินเช่นนี้ ขณะที่กำลังพวกเขากำลังยินดีที่เอาชีวิตรอดและช่วยเหลือชาวบ้านกันได้ ฟาร์มาก็คิดว่ามีบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ
(ทำไมพลังอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของเราถึงได้หายไปด้วยนะ?)
เหมือนที่ซาโลม่อนได้บอกก่อนหน้านี้ อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของฟาร์มามักจะคอยเป็นสิ่งขับไล่วิญญาณร้ายอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาเชื่อทั้งแบบนั้นโดยไม่พยายามพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงเลย แต่ก็อาจจะเป็นเพราะอาณาเขตนั้นจริงๆ จึงทำให้ฟาร์มาต้องประสบความยากลำบากในการเผชิญหน้ากับพวก หากไม่ใช่พวกวิญญาณร้ายระดับสูงฟาร์มาก็ไม่รู้ต้องจัดการยังไงถึงจะเหมาะสม
เพราะพวกระดับล่างไม่สามารถปรากฏต่อตัวหน้าเขาได้และเมื่อฟาร์มาเข้าใกล้พวกมัน เหล่าวิญญาณร้ายก็หายไปแทบจะโดยอัตโนมัติ แต่ตอนนี้หมอกสีดำดันปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา และพวกวิญญาณร้ายก็ออกมากันด้วย
ไม่รู้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษในความเป็นเทพของฟาร์มาหรือไม่ แต่เขารู้ว่ามันต้องมีอะไรแตกต่างจากเดิมแน่นอน
(หรือจะเกี่ยวข้องกับฟันเฟืองที่โผล่มากัน ไม่ก็เรื่องที่พระสันตะปาปาเสียชีวิตลงแล้วทำให้โลกนี้เปลี่ยนไป)
“ทำไมจนถึงตอนนี้ตะเกียงนิรันด์ถึงไม่จุดติดสักทีนะ”
ครูเซเดอร์คนหนึ่งที่กำลังมองขึ้นไปยังโบสถ์บนเนินเขาของหมู่บ้าน ได้เข้ามาแจ้งกับเขา ฟาร์มาจึงนึกถึงเรื่องของคอมพ์ได้
“ถ้าเป็นแบบนี้ อาจจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณคอมพ์ก็ได้นะครับ..”
“ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังมีปัญหาในการฟื้นฟูเวทวงนะครับ เพราะมันใช้เวลามากเกินไปแล้ว”
ฟาร์มาที่ได้ยินคำพูดของซาโลมอนก็ตัดสินใจทันที
“ผมฝากที่นี่ไว้กับคุณได้ไหมครับ”
“เอ๊ะ หมายความว่าไงกันครับ?”
ฟาร์มาบอกจูเลียน่าและซาโลม่อน
“ผมจะไปที่นั่นเองครับ ขอให้ทุกคนช่วยคุ้มครองพวกชาวบ้านด้วย”
“ท่านฟาร์มา! ท่านไปคนเดียวไม่ได้นะครับ! พวกเราก็จะตามไปด้วย…”
“ผมคิดว่าคงจะดีกว่าหากพวกเราไม่กระจายกำลังกันออกไปมากกว่านี้ในขณะที่หมอกพวกนี้ยังอยู่ แถมผมก็มีพลังที่พอจะสามารถต่อสู้กับพวกมันได้โดยลำพังด้วย”
ซาโลม่อนที่ไม่รู้จะตอบอะไรกลับฟาร์มาไปก็ได้แต่นิ่งเงียบ ฟาร์มาคิดว่าเขาควรหลีกเลี่ยงการพาคนจำนวนมากไปยังสถานที่อันตรายไม่เช่นนั้นอาจจะมีเหยื่ออย่างจักรพรรดินีและปิอุสมากไปกว่านี้
“ขอโทษนะครับ แต่ผมไว้ใจคุณจริงๆ ก็เลยอยากจะให้ดูแลที่นี่”
“ท่านฟาร์มา!”
ฟาร์มาพุ่งออกไปและหายเข้าไปในหมอก ถึงเขาจะถูกบ่นอยู่เสมอว่าอย่าฝืนทำอะไรตัวคนเดียว แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกมาลุยคนเดียว
ฟาร์มาวิ่งผ่านหมอกด้วยความคิดที่หลากหลาย ก่อนจะบินด้วยคทาของเขาที่มีพลังแห่งเทพเคลือบไว้ มันบินออกจากป่าและในเวลาไม่กี่วินาทีก็เดินทางมาถึงเหนือหลังคาของโบสถ์
(เราน่าจะมาที่นี่ก่อนตั้งแต่แรก)
แม้มองจากระยะไกลก็เห็นได้ชัดว่า โบสถ์เทพผู้พิทักษ์ที่งดงามนี้ เกิดรูขนาดใหญ่ผิดธรรมชาติบนเพดาน และมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากรู้นั้น พอเขาเข้าใกล้ ภายในโบสถ์ก็เต็มไปด้วยเศษไม้ เผยให้เห็นภูมิทัศน์ที่ดูเหมือนซากปรักหักพัง
เมื่อฟาร์มามองให้ดีๆ ก็พบว่าพื้นของโบสถ์ถูกปกคลุมไปด้วยก้อนสีดำคล้ายน้ำมัน ซึ่งกำลังกระเพื่อมตัวและก่อตัวเป็นร่างของเหลวขึ้นจากนั้นเขาจะเห็นลำแสงศาสตร์แห่งเทพสีน้ำเงินลอยออกมาจากใจกลางของเหลว นั่นคือเหล่า นักบวชห้าคนที่ปลดปล่อยศาสตร์แห่งเทพต่อต้านของเหลวที่กำลังจะกลืนพวกเขาอย่างสิ้นหวังอยู่
บริเวณพื้นผิวของของเหลวถูกปกคลุมด้วยใบหน้ามนุษย์ขนาดใหญ่และขนาดเล็กปนกันไปมา
ฟาร์มาปลอดปล่อยพลังแห่งเทพลงไปที่คทาและรีบพุ่งลงมาช่วยเหลือพวกเขาทันที โดยการแทงคทาแห่งเทพไปที่ร่างของเหลวนั้น
สมบัติลับภายในคทาที่รับรู้ถึงตัวตนของวิญญาณร้ายก็ได้ทำงานร่วมกันจนเกิดเป็นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ที่กลืนกินของเหลวนั้น
” หายไปซะ!”
เมื่อฟาร์มาเพิ่มสมาธิจนถึงขีดสุดและรวบรวมพลังของเขาไว้จุดเดียว สิ่งที่ดูเหมือนใบหน้าบนพื้นผิวของของเหลวก็ถูกเผาและละลายลงไปทั้งแบบนั้น ก่อนมันจะหายเข้าไปในพื้นของโบสถ์ราวกับโดนดูดลงไป
ฟาร์มาขับไล่ของเหลวพวกนั้นซึ่งเต็มไปด้วยวิญญาณร้ายกลับลงไปในใต้ดิน ก่อนจะเหยียบพื้นของโบสถ์ด้วยพลังแห่งเทพที่อยู่ในเท้าเขา
เขาเติมพลังแห่งเทพลงไปภายในโบสถ์อย่างไม่ลังเลหมายจะทำการฟื้นฟูการทำงานของโบสถ์ ฟาร์มาไม่รู้หรอกว่าวิธีการหรือโครงสร้างในการทำงานของมันเป็นเช่นไรเขาจึงได้แต่อัดพลังแห่งเทพเข้าไปเรื่อยๆ แต่ก็ดูเหมือนพลังนั้นจะตอบสนองต่อความต้องการของเขา เวทวงจึงก่อตัวขึ้นมาโดยที่ฟาร์มาไม่ต้องร่ายมนตร์อะไรเลย ดูเหมือนว่านักบวชที่เข้ามาตอนแรกพลังแห่งเทพจะไม่พอเปิดการทำงานของวงเวท จนสุดท้ายพวกเขาก็เลยต้องมายืมมือฟาร์มา นั่นคือสิ่งที่เขาคิด
“ท่านเทพ…โอสถ…อึก แค๊ก”
คอมพ์ที่ล้มลงไปกับพื้นกำลังพยายามลุกขึ้นยืน แต่เขาก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดก่อนจะคุกเข่าล้มลงไปอีกครั้ง แล้วค่อยๆ เงยหน้ามามองฟาร์มาแทน ดวงตาของพวกเขาไม่ได้มีความเกลียดชังอยู่ภายในนั้นอีกต่อไป นักบวชคนอื่นๆ ก็เช่นกัน พวกเขาต่างล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง จนฟาร์มาต้องเข้าไปช่วยพยุงทุกคนขึ้นมา ดูท่าพวกเขาจะผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมามากจนทำให้พลังแห่งเทพของพวกเขาหมดลง
“ทุกคนปลอดภัยดีใช่ไหมครับ ถ้าตอนนี้ผมว่าไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วครับ”
“สมบัติลับที่อยู่ภายในโบสถ์นี้สูญเสียพลังไปครับ นั่นจึงทำให้พวกวิญญาณร้ายที่ถูกผนึกเอาไว้ขึ้นมาบนผืนดินได้…จนไปสร้างความเสียหายให้กับหมู่บ้านรอบๆ ช่างน่าสมเพชจังเลยนะครับ ถ้าท่านไม่ตามมา พวกเราก็คงจะ…ตายกันหมดแล้ว บุญคุณครั้งนี้พวกเราจะไม่ลืมเลยครับ”
“อย่าได้กังวลเลยครับ พวกมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะรับมือได้ง่ายเสียหน่อย”
ฟาร์มาชมเชยการต่อสู้ของคอมพ์ โดยบอกว่ามันดูเหมือนเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถรับมือได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
คอมพ์มองไปที่ดวงตาของฟาร์มาด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา ก่อนจะพูดต่อ
“ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่โบสถ์แห่งนี้ครับ ไม่ว่าจะที่ไหน…โบสถ์ก็น่าจะสูญเสียพลังในการสร้างอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์แล้วเป็นแน่”
แล้วคำทำนายของคลาร่าก็แวบเข้ามาในหัวของเขา
เขาสงสัยว่าตอนนี้ที่เมืองหลวงจะเป็นอย่างไรกันบ้าง
“ผมเริ่มได้ยินเสียงโหมโรงแห่งหายนะของโลกใบนี้แล้ว ตัวผมก็ได้แต่ขอภาวนาให้พวกเราพบตัวท่านสันตะปาปาโดยเร็วด้วยเถิด…”
คอมพ์พูดออกมาก่อนจะหมดสติไป
…━━…━━…━━…
“เจ้าน่ะ แจ้งชื่อกับที่อยู่มา แล้วก็รีบอพยพไปที่มหาวิทยาลัยซะ”
บรูโน อธิการบดีของมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิได้ออกคำสั่งกับเหล่าผู้อพยพที่อาศัยอยู่รอบมหาวิทยาลัยให้อพยพเข้าไปภายในนั้น
“บาเรียป้องกันฉุกเฉินถูกติดตั้งครบทุกประตูแล้วครับ ตอนนี้การใช้งานมนตร์ป้องกันก็สมบูรณ์แล้ว”
พนักงานของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุวายุที่เก่งเรื่องการจัดการวงเวทจะช่วยกันสร้างวงเวทอันทรงพลังเพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณร้ายเข้ามาได้ หากพวกวิญญาณร้ายเข้าใกล้บาเรียมันก็จะทำการสลายวิญญาณร้ายถึงไปคนทั่วไปมองไม่เห็น แต่เหล่าชนชั้นสูงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“ขอบคุณท่านแกรนดยุค ข้าจะไม่มีวันลืมความเมตตานี้เลย”
“ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นอะไรไปแล้ว แต่พอเห็นแบบนี้ก็โล่งใจ”
เหล่าสามัญชนรีบไปที่มหาวิทยาลัยพร้อมกับกระเป๋าเดินทางของพวกตน
“หึ ในเวลาแบบนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชนชั้นสูงแห่งจักรวรรดิเถอะ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมาเป็นห่วง”
บรูโนที่ต้อนรับพวกสามัญชนที่ประตูหลัก ตะคอกอย่างไม่เป็นมิตรราวใส่พวกเขาราวกับตอบรับคำขอบคุณ ไม่นานหลังจากการตัดสินใจของบรูโน ราชสำนักของจักรวรรดิก็ได้ออกคำสั่งจากโดยมีรัฐมนตรีแห่งรัฐ เป็นตัวแทนออกคำเตือนให้มีการอพยพฉุกเฉินทั่วเมืองหลวงของจักรวรรดิ
การปกป้องสามัญชนในยามฉุกเฉินและต่อสู้กับวิญญาณร้ายเป็นหน้าที่ที่สำคัญสูงสุดของชนชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ
หากวิญญาณร้ายเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง พลเมืองจะอพยพไปยังสถานที่อพยพที่กำหนดไว้ของจักรวรรดิเป็นการชั่วคราว และหากพวกเขาไม่สามารถอพยพได้ทันเวลา พวกเขาจะอพยพไปยังคฤหาสน์ของชนชั้นสูงที่มีธงสีแดงตั้งไว้เป็นการชั่วคราว
สถานที่อพยพที่กำหนดนั้นรวมไปถึงวังของจักรพรรดิ สิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องกับกองทัพของจักรวรรดิ มหาวิทยาลัยยาของจักรวรรดิเป็นหนึ่งในสถานที่อพยพที่กำหนดเช่นกัน
ในเวลากลางคืน อิทธิพลของวิญญาณร้ายจะรุนแรงเป็นพิเศษ และสิ่งที่ดูเหมือนหมอกในตอนกลางวัน มันจะสามารถโจมตีพลเมืองได้ในตอนกลางคืน
มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิได้นำเครื่องนอนและอาหารที่ไม่เน่าเสียง่ายซึ่งถูกชำระด้วยศาสตร์แห่งเทพแจกจ่ายให้กับประชาชนอย่างไม่เสียดาย ผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีก็ทำหน้าที่สร้างน้ำและจัดหาน้ำดื่มให้กับประชาชน ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจของบรูโนที่จะใช้น้ำที่ผลิตโดยศาสตร์แห่งเทพ เพราะหากพวกเขาใช้น้ำที่ไม่สะอาดระหว่างการอพยพนี้ มันจะนำไปสู่โรคติดเชื้อ เหล่าประชาชนเองก็จะขวัญกำลังใจมากขึ้นจากสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้รับนี้ด้วย
“ขอบคุณครับ น้ำจากศาสตร์แห่งเทพนี่มันใสจริงๆ”
“พอเป็นแบบนี้แล้วพวกชนชั้นสูงก็ใจดีเหมือนกันนี่นา ถึงปกติจะชอบทำตัวหยิ่งผยองหน่อยก็เถอะ”
“ชู่ววว อย่าเอ็ดไปสิ”
ความประทับใจของสามัญชนที่มีต่อชนชั้นสูงก็มีหลากหลายเช่นกัน
“เราจะยื้อได้อีกนานแค่ไหนกันนะ”
บรูโนส่งผู้ช่วยของเขาไปยังที่ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเมืองหลวงในตอนนี้จบพบว่า โบสถ์ของทางเมืองหลวงนั้นใช้งานไม่ได้แล้ว ดูเหมือนว่าเหล่านักบวชจะติดอยู่ในโบสถ์เพื่อรักษวงเวทเอาไว้ให้คงอยู่ จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แต่ถึงกระนั้นเพื่อไม่ให้วิญญาณร้ายที่เริ่มปรากฏตัวใน เมืองหลวงมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่านี้ จึงกล่าวกันว่าการปกป้องโบสถ์ไว้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
วงเวทที่ถูกนำไปใช้ในที่ป้องกันเหล่าสามัญชนที่เหล่าชนชั้นสูงเป็นคนสร้างนั้นค่อ