ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 38 คุณได้รับบาดเจ็บ
“แกอย่าทําปากดีอวดเก่งไปนักเลย! เพียงแค่ข้อหาดูหมิ่นเจ้าหน้าที่พนักงานฉันก็สามารถจับแกยัดเข้าคุกได้หลายปีแล้ว!”
แม้ภายในใจจะมีคําถามเหล่านั้นปรากฏขึ้น แต่เพื่อรักษาหน้าเขาจึงต้องทําเป็นต้องทําท่าที่ดุดันต่อไป ผู้กํากับตั้งยกมือขึ้นชี้หน้านี่เลยพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
“ถ้าจะให้เป็นผลดีต่อตัวแกเอง ก็รีบตามฉันกลับไปรับการสอบสวนที่สถานีตํารวจจะดีกว่า ไม่อย่างนั้น ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายใจดําก็แล้วกัน!”
หลู่ฉีเว่ยเบียดกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขึ้นมาด้านหน้าพร้อมกับร้องบอกผู้กํากับตั้งทันที
“ผู้ชายคนนี้ปลอมแปลงเอกสาร หลอกว่าตัวเองเป็น แพทย์พิเศษไม่พอยังทําร้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจนได้ รับบาดเจ็บคนที่กล้าท้าทายกฎหมายแบบนี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับบทลงโทษอย่างหนัก!”
ผู้กํากับดังรู้จักหลู่ฉีเว่ยดีว่ามีตําแหน่งอะไร เขารีบยกมือขึ้นตบหน้าอกตัวเอง พร้อมกับร้องบอกด้วยสีหน้าท่าทางมั่นอกมั่นใจ
“ผู้อํานวยการหลู่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ครับ ขอแค่คุณส่งคนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ไปเป็นพยานสักคน รับรองได้ว่า ผมจะจัดการไอ้คนไม่รู้จักเคารพกฎหมายแบบนี้ ให้ได้รู้ว่ากฎหมายบ้านเมืองมีความศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนแน่!”
น้องเขยของหลู่ฉีเว่ยที่ยังคงนอนร้องคร่ําครวญอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด หลังจากได้ยินคําพูดของผู้กํากับทั้ง เขาก็ข่มความเจ็บปวดไว้และหันไปข่มขู่ฉีเลยว่า
“ไอ้สารเลว! แกระวังตัวไว้ให้ดีเถอะฉันต้องสั่งสอนแกที่หลัง
แน่!”
ฉีเล่ยฟังแล้วก็ได้แต่นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ! ฉันอยากจะรู้นักว่า แขนของแกจะใช้ได้อีกที่เมื่อไหร่?”
ผู้กํากับตั้งขมวดคิ้วเข้าหากัน พร้อมกับหันไปสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่
“พวกคุณสองคนยังจะยืนนิ่งเฉยอยู่ทําไม? ยังไม่รีบส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลให้หมอดูอาการอีกล่ะ!”
“ส่วนคุณสองคน พาตัวผู้ชายคนนี้กลับไปสอบสวนที่สถานี!” ผู้กํากับตั้งหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ตํารวจสองนายที่เพิ่งตามมาถึง
ในขณะที่นี่เลยนั้น ก็ยอมที่จะตามเจ้าหน้าที่ตํารวจทั้งสองคนไปแต่โดยดีแต่ในระหว่างที่เดินผ่านหมู่ฉีเว่ย เขาก็ได้ยิ้มออกมาอย่างนึกขันพร้อมกับหันไปบอกเลยว่า
“ขอบอกคุณตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะภรรยาของท่านผู้ว่าไต่คุนรบเร้าให้ผมมาเป็นแพทย์พิเศษที่นี่แล้วล่ะก็ ผมไม่มีทางที่จะสนใจหรืออยากจะมาเป็นแพทย์พิเศษเลยแม้แต่น้อย!”
หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็เดินยืดอกเชิดหน้าออกไปจากห้องอย่างสง่าผ่าเผย โดยมีเจ้าหน้าที่ตํารวจสองคนเดินตามหลังไปติดๆ แต่กลับดูไม่เหมือนการจับกุม มันดูคล้ายกับตํารวจทั้งสองเดินตามไปเป็นบอดี้การ์ดให้ฉีเล่ยเสียมากกว่า
“เชอะ! ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ ถึงกับกล้าอ้างไปถึงภรรยาท่านผู้ว่าเชียวเหรอ? คิดว่าฉันจะกลัว..”
หลู่ฉีเว่ยร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห และเวลานี้ร่างทั้งร่างของเขาก็ถึงกับสั่นเทาด้วยความโกรธ หลู่ฉีเว่ยตอบโต้ไปตามอารมณ์ที่พุ่งพล่านในใจ จึงไม่ทันได้ไตร่ตรองคําพูดเสียก่อน แต่เมื่อหลุดปากออกไปเช่นนั้น เขาก็รีบยกมือขึ้นปิดปากไว้ และกลืนคําพูดที่จะหลุดตามออกมากลับเข้าไปทันที พร้อมกับหันมองไปรอบตัวอ ย่างระแวง
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้ หลู่ฉีเว่ยก็ได้ยกมือขึ้นชี้ไปทางฉีเล่ยที่เพิ่งเดินออกไป ปากก็กร่นด่าด้วยความโมโหต่อ
“ไอ้คนจองหองอวดดี! แกมันอวดดีจนเกินไป! ขนาดถูกจับได้คาหนังคาเขา ยังจะดื้อดึงไม่ยอมรับ มิหนําซ้ํายังเล่นละครพ่นคําพูดไร้สาระออกมาไม่หยุด!”
“ใจเย็นๆครับผู้อํานวยการหลู่! อย่าไปลดตัวทะเลาะเบาะแว้งกับคนแบบนั้นเลยครับ เสียเวลาเปล่า”
ผู้กํากับตั้งรีบร้องบอก ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจว่า“ผู้อํานวยการหลู่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะจัดการกับหมอนั่นเองอ่อ.. เศษกระดาษพวกนั้นเป็นหลักฐานอย่างดี ผมจะเก็บกลับไป ด้วย!”
เมื่อได้ยินผู้กํากับตั้งพูดถึงเศษกระดาษ หลู่ฉีเว่ยจึงเพิ่งนึกถึงจุดหมายฉบับนั้นได้ เขาก้มลงมองกองเศษกระดาษอยู่ครูใหญ่ในที่สุดก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางเศษกระดาษพวกนั้นและบอกกับผู้กํากับตั้งว่า
“หึ! ดูสิ ขนาดหลักฐานมันยังฉีกทําลายจนหมด เห็นชัดๆว่ามันจงใจทําลายหลักฐานเพื่อหนีความผิด!”
ผู้กํากับดังก้มลงหยิบเศษกระดาษพวกนั้นใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวังก่อนจะหันไปบอกกับหลู่ฉีเว่ยว่า
“เอาล่ะครับ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ผมคงต้องขอตัวกลับสถานีตําตรวจก่อนจะได้ไปจัดการสอบปากคําหมอนั่นให้เรียบร้อย แล้วผมจะรายงานผลการสอบสวนให้ผู้อํานวยการหล่ทราบต่อไป”
หลังจากส่งตั้งออกจากห้องไปแล้ว หลู่ฉีเว่ยก็หันกลับมาบ่นต่อหน้าทุกคนในห้องไม่หยุด
“ไอ้บ้า! กล้าดียังไงถึงได้อ้างชื่อหัวหน้าหลิวมาข่มขู่ฉัน! หมอนี่คงจะเป็นพวกสิบแปดมงกุฎระดับมืออาชีพสินะ? ถึงได้มีการตรวจสอบก่อนว่าหัวหน้าหลิวนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแต่นับเป็นความโชคร้ายของแกที่มาเจอคนฉลาดอย่างฉันเข้า! ไอ้ โจรถอย!”
สถานีตํารวจหลงซินอยู่ห่างจากกรมอนามัยไปเพียงแค่ห้าร้อยเมตรเท่านั้น จึงใช้เวลาในการเดินทางด้วยรถยนต์เพียงแค่ห้านาที
หลังจากรถตํารวจเลี้ยวเข้าประตูไป ฉีเล่ยก็ถูกนําตัวเข้าไปไว้ในห้องสอบสวน ส่วนผู้กํากับทั้งนั้นเดินไปที่โต๊ะทํางานของตนเองและเมื่อไปถึงเขาก็ล้วงเอาเศษกระดาษในกระเป๋ามากองไว้บนโต๊ะก่อนจะหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ตํารวจนายหนึ่งทันที
“คุณจัดการเอาเศษกระดาษพวกนี้ไปต่อใหม่ให้เรียบร้อย หลังจากต่อเสร็จแล้ว รีบเอาไปให้รองผู้กํากับเจียงตรวจสอบก่อนล่ะ…”
หลังจากนั้น เขาก็ได้หันไปสั่งเจ้าหน้าที่ตํารวจอีกคนว่า “ส่วน คุณเดี่ยวเตรียมตัวเข้าไปในห้องสอบสวนกับผม จะได้ช่วยผมจดรายงานคําให้การของผู้ต้องหาในระหว่างที่ทําการสอบสวน…”
ภายในห้องสอบสวน..
ผู้กํากับตังที่นั่งตรงข้ามฉีเลย เอาแต่นั่งหน้าเคร่งขรึม และข้องมองชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่นานกว่าสิบนาที โดยไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คําเดียว
นั่นเพราะเวลานี้ ผู้กํากับตั้งกําลังนึกถึงคําพูดของรองผู้กํากับเจียงอยู่นั่นเอง
รองผู้กํากับเจียงเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจมานานมากกว่ายี่สิบปี เขารู้จักหน่วยงานราชการภายในเมืองดียิ่งกว่าลายมือของตนเองเสีย อีกหลังจากได้เห็นเศษกระดาษที่นํามาปะติดปะต่อจนเรียบร้อยเขาก็ถึงกับร้องอุทานออกมาทันที
“ครั้งนี้พวกเราซวยแน่ๆ! ดูเหมือนจะรับเผือกร้อนมาเต็มๆครับผู้กํากับ!”
แต่ในความหมายของรองผู้อํานวยการเจียง ไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะเป็นแพทย์พิเศษจริง หรือว่าแอบอ้าง เจ้าหน้าที่ตํารวจก็ไม่ควรจับกุมตัวมาโดยที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดแบบนี้
อย่าลืมว่าแพทย์พิเศษมีฐานะอย่างไร? พวกเขานับเป็นคนที่ข้าราชการระดับสูงของมฑลล้วนแล้วแต่ให้ความเชื่อถือ เพราะเป็นผู้ดูแลเรื่องสุขภาพของพวกเขา
อีกทั้ง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของข้าราชการระดับสูงควรปล่อยให้เป็นเรื่องของสํานักงานรักษาความมั่นคงมากกว่าเพราะการที่สถานีตํารวจย่อยส่งคนไปจับกุมโดยพละการแบบนี้ หากเกิดความผิดพลาดขึ้นแม้เพียงแค่เล็กน้อยย่อมจะนํามาซึ่งหาย นะของสถานีเลยทีเดียว
หลังจากได้ฟังคําพูดของรองผู้กํากับเจียง ผู้กํากับตั้งถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก นั่นเพราะเขาเป็นคนจับกุมตัวชายหนุ่มคนนี้กลับมาที่สถานีตํารวจด้วยตัวเอง
เมื่อได้ฟังคําแนะนําจากรองผู้กํากับเจียง ผู้กํากับดังก็เริ่มได้สติและไม่คิดที่จะสอบสวนฉีเลยอีก
ตรงกันข้าม.. ผู้กํากับตั้งกําลังคิดหาคําพูดที่เหมาะสม เพื่อเชิญฉีเลยออกไปจากสถานีตํารวจของเขาโดยเร็ว และทันทีที่ชายหนุ่มก้าวออกไปจากประตูห้อง เขาก็จะรีบโทรแจ้งสํานักงานรักษาความ มั่นคงให้มาจับตัวไปแทน
ผู้กํากับยังเห็นว่าแผนการนี้ค่อนข้างเข้าท่าที่สุด เพียงแต่.. เขายังนึกหาคําพูดดีๆ และเหตุผลที่เหมาะสม เพื่อไล่ชายหนุ่มออกไปไม่ได้เท่านั้นเอง
“อะแฮ่ม.. อะแฮ่ม..”
ผู้กํากับตั้งกระแอมเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน และพูดกับฉีเลยว่า “ว่ายังไงล่ะพ่อหนุ่มอย่ามัวแต่นั่งนิ่งถ่วงเวลาอยู่เลย ถ้าเธอยอมรับ ความจริงออกมาตรงๆฉันรับปากจะปล่อยเธอกลับไปทันที…”
“นี่พ่อหนุ่ม เธอเองก็ยังหนุ่มยังแน่นนะ ยังมีอนาคตอีกยาวไกล ลองไตร่ตรองดูให้ดีๆ!”
ฉีเลยคุ้นเคยกับเหตุการณ์ และคําพูดเช่นนี้มาก เพราะเขาเคยดูละครในทีวีซึ่งมักจะมีฉากตํารวจเกลี้ยกล่อมผู้ร้ายให้เห็นอยู่บ่อยๆเพียงแต่นึกไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะต้องมาเล่นบทผู้ต้องหารับการสอบสวนเสียเอง
ฉีเล่ยตอบกลับไปโดยไม่ลังเล “ผมไม่มีความจําเป็นที่จะต้องไตร่ตรองอะไร?”
ในเมื่อฉีเลยไม่ยอมบอกความจริง ผู้กํากับตั้งจึงยังไม่สามารถหาเหตุผลที่จะปล่อยตัวชายหนุ่มไปได้ จึงได้แต่ถามกลับไปว่า
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตอบคําถามของฉันมา!”
จากนั้น ผู้กํากับตังก็หยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา พร้อมกับถามฉีเล่ยว่า “เธอปลอมแปลงตราทับของทางราชการใช่มั้ย? แล้วทําไมถึงต้องแอบอ้างเป็นแพทย์พิเศษด้วย? ตอบฉันมาตามความจริง
งล่ะ!”
“ผมก็บอกความจริงไปหมดแล้ว.. จดหมายฉบับนี้ เลขานุการของคุณหลิวเป็นคนนํามามอบให้ผม แล้วผมก็ไม่ได้แอบอ้างเป็น แพทย์พิเศษแต่เป็นคุณหลิวที่บอกกับผมด้วยตัวเอง”
ฉีเล่ยยังคงยืนกรานคําพูดเดิม ด้วยสีหน้าท่าทางที่มั่นคงหนักแน่
“จะสอบสวนยังไง คําตอบก็เหมือนเดิมอยู่ดี!”
ในขณะที่นี่เลยนึกบ่นพึมพําอยู่ในใจนั้น ผู้กํากังตั้งก็คิดบางสี่งบางอย่างอยู่ในใจด้วยเช่นกัน
“หึ! นี่แกคิดว่าแกเป็นใครกัน? ขนาดฉันเป็นผู้กํากับ ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ใกล้ชิดกับภรรยาท่านผู้ว่าเลย แล้วแกเป็นใคร? ภรรยาท่านผู้ว่าถึงได้ต้องไปสนิทสนมถึงขั้นให้มาทํางานในฐานะ แพทย์พิเศษได้!”
หลังจากนั้น ผู้กํากับดังก็ได้บอกกับฉีเลยอีกครั้ง “เอาล่ะ! ถ้าเธอยอมสารภาพ ฉันรับปากว่าจะแค่ตักเตือน แต่ถ้าคราวหลังยังทําเรื่องแบบนี้อีก ฉันก็จะทําโทษ! ในเมื่อฉันให้โอกาสเธอถึงขนาดนี้แล้วหวังว่าเธอคงจะไม่โง่ทิ้งโอกาสดีๆแบบนี้ไปหรอกนะ”
ฉีเล่ยยักไหล่พร้อมตอบกลับไปว่า “ขอบคุณผู้กํากับถังสําหรับความหวังดีแต่สิ่งที่ต้องพูด ผมก็พูดไปหมดแล้ว และที่สําคัญ ผมไม่มีเรื่องอะไรต้องสารภาพ!”
สีหน้าของผู้กํากับถังเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาถามฉีเล่ยด้วยใบหน้าทิ้งตึง “ในเมื่อเธออ้างว่าเป็นแพทย์พิเศษ เธอก็ต้องมีความรู้ทางด้านการแพทย์ งั้นไหนลองพิสูจน์ให้ฉันดูจะได้มั้ย?”
ฉีเล่ยยิ้มเย็นพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของผู้กํากับตั้ง และพูดขี้นว่า “คุณเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บเมื่อเร็วๆนี้!”
ผู้กํากับตั้งถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง พร้อมกับตวาดใส่หน้าฉีเลยด้วยความโมโห “นี่! เลิกยียวนกวนประสาทฉันได้แล้ว! คนเป็นตํารวจมีใครบ้างจะไม่เคยได้รับบาดเจ็บ? เลิกพูดจาเล่นลิ้นวกไปวนมาซะ
ที่!”
นี่เลยยืดตัวตรง เขาจ้องมองผู้กํากับตั้งแน่นิ่ง ก่อนจะตอบไปว่า“ถ้าไม่เชื่อ ก็ยื่นมือออกมาให้ผมจับชีพจรดู ผมจะบอกว่าคุณได้รับบาดเจ็บที่ไหน และตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ได้ฉันก็อยากจะรู้นักว่าเธอจะมีลูกเล่นอะไรอีก?”
ผู้กํากับสั่งทําเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดเขาก็ยื่นมือซ้ายออกไปข้างหน้าทันที
พิภพบรรพกาลซวนหยวน ดินแดนแห่งความลึกลับทั่วสารทิศกลิ่นอายสารพันยุคสมัยผันผวน ตํานานพันหมื่นอนันต์เล่าขานจากรุ่นสู่รุ่นกลายมาเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ถักทอมาอย่างเนิน นานคู่ดินแดนสามัญชนคนธรรมดาจอมยุทธ์ผู้ฝึกตน นักพรตเต๋ผู้ ละจากกิเลส เทพเซียนล้ําฟ้าเทพมารปีศาจสะท้านโลกันต์ผืนพิภพเปี่ยมล้นไปด้วยเผ่าพันธุ์มากมายกําลังชิงชัยเฟ้นหายอดจักรพรรดิเทียมสวรรค์!
จ้าวเฉียน อายุ23ปี พนักงานกินเงินเดือนธรรมดา รายได้เดือนละแค่5,000หยวน ทุกคนในบริษัทต่างดูถูกดูแคลนเขา เพราะเจ้านี้ขี้เหนียวเหลือเกิน แม้แต่แฟนเก่ายังทนเขาไม่ไหว และหันมาแอบคบชู้กับผู้จัดการของเขาแทน จนเวลาผ่านไปเขาเพิ่งมารู้ความจริง
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ชวนน่าตกตะลึงกว่าคือ ตัวตนที่ที่แท้จริงของเขาคือทายาทมหาเศรษฐี บุตรชายของจ้าวสู่ บุคคลที่ร่ํารวยที่สุดในโลกแต่เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ฉลองปาร์ตี้ที่สอบเข้าม หาวิทยาลัยได้เขาก็ขับรถกลับทั้งๆที่อยู่ในอาการเมา จนแล้วจนรอดบังเอิญไปเฉียวชนเข้ากับสาวน้อยคนหนึ่ง จนเธอได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขาดสติหนัก เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้น ตะโกนโหวกเหวกโวยวายสร้างปัญหาไปทั่วสถานีตํารวจระหว่างนั้นเองก็มีมือดีแอบถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ทัน พร้อมอัปโหลดลงโซเชียลออนไลน์ ทําให้เกิดเป็นประเด็นข้อถกเถียงกันยกใหญ่ของผู้คนในเวลานั้นซึ่งเรื่องนี้ก็กระทบไปถึงชื่อเสียงของตระกูล จ้าวสู่ไม่ มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้อํานาจเงินตราเพื่อไล่ลบคลิปวีดีโอเหล่านี้จนหมดไม่ให้สืบสาวไปถึงตัวลูกชายของเขาคนเป็นพ่อใช้ไม้แข็งตัดขาดจ้าวเฉียน ขับไล่ออกจากตระกูลจ้าวและให้จ้าวเฉียนหาเงินมาชดใช้ค่ารักษาสาวน้อยคนนั้นเป็นจํานวน 200,000 หยวนเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ถึงจะกลับเข้ามาในตระกูลได้อีกครั้ง
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จ้าวเฉียนจําต้องทนกับความอัปยศนานาชนิด ทั้งยังต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด จนในที่สุดเขาก็จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนครบตามที่กําหนดไว้ เขาได้ทุกอย่างคืนกลับมาอีกครั้งและสิ่งแรกที่เขาต้องการคือ การแก้แค้นพวกที่เคยดูถูกเขา!
เขาคือนักฆ่าอันดับหนึ่งในโลกของวงการทหารรับจ้าง ฉายาของเขาคือ นักฆ่าอาซูร่า”
ศัตรูได้ยินเพียงแค่ชื่อของเขา ก็ถึงกับหวาดกลัวจนหัวหด!!
เขามีทักษะทางด้านการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชา “เก้าเข็มเปิดนภา” ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศอย่างไร้ที่ ติของเขานี้ได้ช่วยชีวิตของผู้คนในสนามต่อสู้ไว้ได้มากมายอย่างนักไม่ถ้วน
และด้วยความบังเอิญ เขาได้กลายมาเป็นลูกเขยของตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่ง
หลายคนอาจคิดว่าการเป็นลูกเขยในตระกูลที่ร่ํารวยมั่งคั่งเช่นนี้คงจะต้องทนอยู่อย่างอัปยศอดสู และถูกเหยียดหยามสินะ?
แต่มิใช่หลินหนาน!! เขาคือลูกเขยที่พ่อตารักยิ่ง และกลายเป็นลูกเขยผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองนี้!
ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด
จากนั้น หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้นทีละขั้น และไต่ลําดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..