ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 44 วิญญาณชั่วร้าย

ตอนที่ 44 วิญญาณชั่วร้าย

เวลานี้ รถแท็กซี่ได้แล่นเข้ามาภายในหมู่บ้านแล้ว แม้จะยังอยู่ห่างจากบ้านสกุลหวู่มาก แต่ฉีเล่ยก็สามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น

เวลานี้ มีคนกลุ่มใหญ่ราวยี่สิบกว่าคน กำลังยืนออกันอยู่ที่หน้าประตูบ้านสกุลหวู่ พวกเขาดูเหมือนจะเป็นคนรับใช้ หรือไม่ก็คนทำงานที่ทำงานอยู่กับสกุลหวู่ และรถสองสามคันที่จอดอยู่หน้าบ้าน ก็ยิ่งเป็นการยืนยันการคาดเดาของฉีเล่ย

คนเหล่านี้สวมเสื้อผ้าแตกต่างกัน แต่สีหน้าท่าทางของพวกเขากลับเหมือนกัน คือมีอาการตื่นตระหนก และหวาดกลัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้หญิงสองสามคน ที่มีอาการหนักกว่าใครๆ พวกเธอถึงกับนั่งยองๆอยู่กับพื้น เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด

รถแท็กซี่เคลื่อนมาจอดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า เมื่อก้าวลงจากรถ ฉีเล่ยก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที เขาร้องตะโกนขอทาง และแหวกผู้คนที่ออกันอยู่เต็มหน้าบ้านเข้าไปด้านใน

“หลีกทางด้วยครับ ขอทางให้ผมเข้าไปข้างในด้วย!”

พนักงานธุรการคนหนึ่งหันไปถามทันที “คุณ.. คุณคงจะเป็นคุณหมอฉีที่อาวุโสหวู่เชิญมาสินะครับ? ถ้าใช่ ก็รีบเข้าไปในบ้านเลยครับ! รีบเข้าไปดูท่านประธานหวู่ ตอนนี้ท่านประธานอยู่ข้างบน คือเขา..”

ฉีเล่ยรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองตามที่พนักงานคนนั้นบอกทันที แต่เมื่อวิ่งขึ้นบันไดไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง เขาก็สังเกตเห็นว่า ประตูชั้นสองนั้นถูกปิดไว้สนิท และมีเสียงดังโหวกเหวกโวยวายมาจากด้านใน บ่งบอกว่ากำลังมีเหตุการณ์โกลาหลอยู่ ระหว่างนั้น ก็มีเสียงร้องตะโกนออกมาว่า ‘ระวังๆ’ พร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น

เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ ได้สร้างความประหลาดใจ และความสงสัยให้กับฉีเล่ยเป็อย่างมาก!

ก่อนที่จะมาถึงนั้น ฉีเล่ยเองยังคาดเดาว่า หวู่เฉินเทียนน่าจะป่วยกะทันหัน จนทำให้อาวุโสหวู่ตกอกตกใจมากกว่า และคิดว่าคงจะเป็นอยู่ไม่เกินสองสามโรค

เท่าที่ฉีเล่ยเคยพบเห็นหวู่เฉินเทียนมา เขาสังเกตเห็นว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ค่อนข้างแข็งแรงมาก อย่าว่าแต่โรคร้ายแรงเลย กระทั่งอาการป่วยเล็กๆน้อยๆเขาก็ยังแทบไม่เคยเป็นด้วยซ้ำไป

เป็นไปได้หรือที่คนมีร่างกายแข็งแรงขนาดนี้ จะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างกะทันหัน ที่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างเช่นหัวใจวาย หรือเลือดออกในสมอง แต่สิ่งที่พอจะเป็นไปได้ก็คืออุบัติเหตุรุนแรงมากกว่า

แต่ถ้าเป็นอุบัติเหตุรุนแรง ทำไมถึงไม่รีบส่งตัวหวู่เฉินเทียนไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด? ทำไมต้องรอเขานั่งรถแท็กซี่มาจากบ้าน และเมื่อมาถึงก็ปิดประตูแน่น..

ฉีเล่ยได้แต่ครุ่นคิดด้วยความงุนงงสงสัย..

แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของผู้คนที่อยู่ชั้นล่าง ฉีเล่ยก็ยิ่งรู้สึกว่า มีบางอย่างที่ผิดปกติมาก และเวลานี้ ใจของเขาก็เต้นแรงไม่น้อยทีเดียว เขาไม่รู้ว่าภายในห้องเวลานี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เพื่อเป็นการเตรียมตัวเตรียมไว้เบื้องต้น ฉีเล่ยจึงไม่รีบร้อนเปิดประตูเข้าไปนัก เขาใช้พลังเหนือธรรมชาติที่ตนเองมีในเวลานี้ ส่องดูเหตุการณ์ที่อยู่ด้านใน..

และภาพที่ชายหนุ่มเห็นในเวลานี้ ก็ทำให้เขาถึงกับเหงื่อตกเลยทีเดียว!

นั่นเพราะสภาพของหวู่เฉินเทียนเวลานี้ แทบดูไม่เหมือนมนุษย์!

ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเขียว ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ สีหน้าดุดันดูน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ฝ่ามือทั้งสองข้างเกาไปทั่วทั้งร่างอย่างเมามัน

เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องถูกทุบ และขวางปาจนแตกกระจายเสียหาย ภายในห้องมีคนแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ราวสามสี่คม และพวกเขาก็พยายามออกแรงกันอย่างสุดกำลัง เพื่อควบคุมหวู่เฉินเทียนไว้

แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์…

นั่นเพราะเวลานี้ หวู่เฉินเทียนมีสภาพไม่ต่างจากสัตว์ประหลาด ที่มีร่างกายแข็งแรง และแข็งแกร่งมาก กระทั่งชายฉกรรจ์กว่าสี่คนเข้าไปช่วยกันจับตัวไว้ ยังไม่สามารถสู้แรงหวู่เฉินเทียนคนเดียวได้

และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขานั้น กำลังจิกไปตามเนื้อตัว และฉีกร่างของตนเองอยู่ไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา หน้าอก ลำคอ หรือว่าลำตัว ทุกส่วนแล้วแต่มีร่องรอยของผิวหนังของการถูกแรงกระชากฉีกขาดให้เห็นอย่างชัดเจน..

ส่วนหวู่เฉิงเฟิงนั้นกำลังยืนหลบอยู่ที่มุมห้อง ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทาราวกับลูกนก สายตาทั้งคู่ที่จ้องมองลูกชายในนั้น เต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง..

หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องทั้งหมดแล้ว ฉีเล่ยก็ได้แต่คิดว่า หวู่เฉินเทียนคงจะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงแน่!

เขาถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อรวบรวมความกล้า พร้อมกับให้กำลังใจตัวเอง..

“ได้!”

“ฉันต้องทำได้!”

หากเป็นก่อนหน้านี้ ฉีเล่ยอาจจะไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถช่วยหวู่เฉินเทียนได้หรือไม่? แต่เวลานี้ หลังจากที่ได้ดูดซับเอาแก่นวิญญาณภายในลูกทองแดงนั่นเข้าไป ก็ดูเหมือนว่าเขาจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการขับไล่วิญญาณชั่วร้ายเพิ่มขึ้นมาด้วย และความรู้เหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่ถูกส่งผ่านมาจากบรรพชนสกุลเฉินทั้งสิ้น!

ฉีเล่ยก้าวเดินขึ้นไปชั้นสอง และเมื่อไปถึงหน้าห้อง เขาก็ได้รวมรวมพลังปราณในร่างไว้ที่ฝ่าเท้า ก่อนจะยกขึ้นถีบประตูให้เปิดออก

ปัง!

ทันทีที่ประตูห้องเปิดผางออก ฉีเล่ยก็กระโจนเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ทุกคนในห้องที่กำลังจ้องมองหวู่เฉินเทียนอยู่ ถึงกับต้องหันหลังไปมองด้วยความตกใจ กระทั่งหวู่เฉินเทียนเองที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงยังตกใจเช่นกัน!

ฉีเล่ยไม่รอช้า เขาอาศัยจังหวะที่หวู่เฉินเทียนกำลงตกอกตกใจนี้ พุ่งไปยืนอยู่ตรงหน้าของชายวัยกลางคนทันที พร้อมกับเหวี่ยงนิ้วโป้งทั้งสองของตนเอง เข้าไปที่ขมับทั้งสองข้างของหวู่เฉินเทียนอย่างรวดเร็ว!

ฉึก!

พลังจากนิ้วโป้งทั้งสองของฉีเล่ยนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก หัวแม่มือทั้งสองเกือบจะเจาะเข้าไปในผิวเนื้อขมับของหวู่เฉินเทียน

หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็ได้อาศัยโอกาสนี้ สยายนิ้วมือที่เหลือกดลงบนหนังศรีษะของชายวัยกลางคนผู้นี้พร้อมกัน ในขณะเดียวกันก็จ้องลึกลงไปในดวงตาของเขาแน่นิ่ง

จนกระทั่งผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ฉีเล่ยจึงได้ถ่ายเทพลังปราณในร่างของตน ลงไปตามจุดฝังเข็มทั่วศรีษะของหวู่เฉินเทียน..

ตลอดระยะเวลานี้ หวู่เฉินเทียนก็ได้ดิ้นรนอย่างสุดกำลัง และพยายามที่จะทำร้ายฉีเล่ยหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถูกเข่าของชายหนุ่มสกัดห้ามไว้ และดันให้ถอยห่างออกไปได้ทุกครั้ง

หลังจากที่ตั้งสติได้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสี่คนที่อยู่ในห้อง ก็รีบวิ่งไปด้านหลังของหวู่เฉินเทียน และช่วยกันจับตัวของเขาไว้แน่น คนหนึ่งจับแขนซ้าย อีกคนจับแขนขวา ในขณะที่อีกสองคนก้มลงไปจับขาทั้งสองข้างของเขาไว้แน่น

หลังจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสี่คนช่วยกันจับตัวหวู่เฉินเทียนไว้ได้แล้ว ฉีเล่ยก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง

จากนั้น ริมฝีปากที่กำลังขมุบขมิบของชายหนุ่ม ก็ค่อยๆขยับเข้าใกล้ศรีษะของหวู่เฉินเทียน พร้อมกับร้องคำรามออกไปด้วยน้ำเสียงที่กึกก้อง และทรงพลัง

แม้จะไม่มีใครฟังออกว่าฉีเล่ยพูดอะไรออกมา แต่น้ำเสียงอันทรงพลังของเขานั้น ก็ได้ดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง และเสียดแทงเข้าไปในแก้วหูของพวกเขาทุกคน จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนที่อยู่ใกล้ๆ ถึงกับหูอื้อ และหัวหมุนจนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น

แต่แน่นอนว่า เสียงร้องคำรามของฉีเล่ยนั้น มีผลกระทบกับหวู่เฉินเทียนมากที่สุด!

สีหน้าท่าทางที่ดุร้ายเมื่อครู่ พลันเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งไปในทันที แขนขาทั้งสองที่ดิ้นรนอย่างสุดกำลังก่อนหน้า ค่อยๆผ่อนคลายคง จนกระทั่งในที่สุด ก็ได้แต่ยืนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนั้น..

เมื่อมาถึงจุดนี้ ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างรุนแรง ก่อนจะปล่อยมือออกจากศรีษะของหวู่เฉินเทียน พร้อมกับปรายตามองไปทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสี่คน เป็นการส่งสัญญาณว่า ให้พวกเขาทั้งหมดปล่อยมือจากร่างของหวู่เฉินเทียนได้แล้ว

หลังจากที่เห็นลูกชายมีอาการสงบลงแล้ว หวู่เฉิงเฟิงจึงค่อยๆ เดินแข้งขาสั่นออกมาจากมุมห้อง พร้อมกับร้องถามฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน

“เอ่อ.. ท่านหมอฉี ลูกชายผมเป็นอะไรเหรอครับ? กะ.. เกิดอะไรขึ้นกับเขากัน..”

แต่ยังไม่ทันที่หวู่เฉิงเฟิงจะพูดจบประโยค ฉีเล่ยก็รีบยกมือขึ้นห้าม ส่งสัญญาณว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องเหล่านี้..

หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็ได้นั่งลงทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่งเพื่อฟื้นฟูพลังปราณในร่าง และเมื่อพร้อมแล้ว เขาก็ได้หยิบเข็มทองหางหงส์ออกมาจากกล่องทั้งหมดเก้าเล่ม และเริ่มทำการฝังเข็มเหล่านั้นลงไปที่จุดซานเจียว หลิงเฉวียน และจุดฝังเข็มหลักอื่นๆ แล้วร่างของหวู่เฉินเทียนก็ค่อยๆทรุดลงกับพื้น

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสี่คน ช่วยกันพยุงร่างของหวู่เฉินเทียนไปที่เตียง ก่อนจะจัดให้นอนราบลงไปบนที่นอน

หลังจากเห็นว่า ใบหน้าที่เคยเป็นสีเขียวของหวู่เฉินเทียนนั้น ได้กลับคืนสู่สภาพปกติดังเดิมแล้ว ฉีเล่ยก็ได้แต่นั่งหายใจหอบอยู่กับพื้นครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปทางหวู่เฉิงเฟิง พร้อมกับถามออกไปว่า

“อาวุโสหวู่ เร็วๆนี้พวกคุณสองคนพ่อลูก เคยมีเรื่องบาดหมางรุนแรงกับใครบ้างมั๊ยครับ?”

หลังจากที่ได้ยินคำถามของฉีเล่ย หวู่เฉิงเฟิงจึได้สติ และหันไปตอบฉีเล่ยตามความจริงว่า “ถ้าเป็นการบาดหมางด้วยเรื่องทั่วไปคงจะไม่มี แต่สำหรับวงการธุรกิจ ความขัดแย้งเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ คู่แข่งทางธุรกิจจึงไม่ต่างจากศัตรู อีกอย่าง เมืองหนานหยางของเราก็ไม่ใช่เล็กๆ เป็นเรื่องง่ายมากที่เฉินเทียนกรุ๊ปจะไปสร้างความไม่พอใจให้กับใครเข้า..”

ฉีเล่ยฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา เขาหันมองไปทางร่างของหวู่เฉินเทียน ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“มีคนใช้วิธีการชั่วช้ากับลูกชายของคุณ แต่นับว่าโชคดีที่ผมมาทันเวลา ไม่อย่างนั้น หากช้าไปกว่านี้เพียงแค่นิดเดียว ลูกชายของคุณก็จะต้องหมดสติไป และเมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็จะมีสภาพไม่ต่างจากคนบ้า..”

“เวลานี้ ผมได้จัดการขับออกไปให้แล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีก ส่วนบาดแผลตามร่างกายก็เพียงแค่ชั้นผิวหนังเท่านั้น ไม่ได้มีอันตรายอะไรมาก เพียงแค่ทายา แล้วนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทุกอย่างก็จะกลับเป็นปกติเอง”

หวู่เฉิงเฟิงเดินเข้าไปจับแขนของฉีเล่ยไว้ พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองของชายชรา ดูช่างน่าเวทนายิ่งนัก

“ขอบคุณผู้มีพระคุณ! ขอบคุณมากจริงๆ! ผู้มีพระคุณได้เมตตาช่วยสกุลหวู่ของเราไว้ถึงสองครั้ง ผู้มีพระคุณช่างมีเมตตาใหญ่หลวง และมีบุญคุณต่อสกุลหวู่ของเรามากจริงๆ!”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset