ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 124 ตบละพันหยวน

ตอนที่124 ตบละพันหยวน

หลังจากที่ได้ฟังพวกสาวๆพูดคุยกัน ฉีเล่ยก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เซียวเซียวจะต้องบินกลับในวันนี้แล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ ในเมื่อเธอเองก็รักษาขาจนหายแล้ว ก็จำเป็นต้องบินกลับไปทำงานตามปกติ ก๊วนสาวๆเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนดังที่มีตารางงานแน่นตลอดทั้งเดือน ทุกวินาทีล้วนเป็นเงินเป็นทอง

ฉีเล่ยนึกถึงผู้ชายที่เดินมาหาถงเซียวเซียวพร้อมกับยื่นข้อเสนอให้เธอไปนั่งดื่มไวน์ด้วย โดยจะให้ค่าตอบแทนสูงถึงแก้วละหมื่นหยวน อันที่จริงเขาก็อดที่จะรู้สึกอิจฉาไม่ได้

โลกใบนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ทำไมถึงไม่มีผู้หญิงรวยๆมาจ้างเขาไปดื่มบ้างนะ? ขอแค่แก้วละพันหยวนเขาก็ยอมไปแล้ว

ถงเซียวเซียวที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้าพร้อมกับกลุ่มสาวๆ เธอจงใจชะลอฝีเท้าลงเพื่อรอให้ฉีเล่ยเดินเข้ามาหา ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว เธอคล้ายกับมีอะไรบางอย่างต้องการจะพูดกับฉีเล่ย

แต่ในขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากพูดนั้น จู่ๆก็มีรถตู้สีดำแล่นเข้ามาขวางหน้าไว้

ทันทีที่ประตูรถเปิดออก ก็ปรากฏผู้หญิงคนหนึ่งแต่งหน้าจัดจ้านกระโดดลงมา พร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นว่า

“ถงเซียวเซียว! นังตัวดี! กล้ายุ่งกับผู้ชายของฉันกลางเมืองหลวงเลยงั้นเหรอ! นังผู้หญิงหน้าด้าน! ไร้ยางอายสิ้นดี! ทำตัวระริกระรี้อยากได้ผู้ชายจนตัวสั่นสิท่า! ทำไมแกไม่ตายๆไปซะ!”

ทันทีที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้น เธอก็กระหน่ำด่าถงเซียวเซียวไม่หยุด

ส่วนสาวๆคนอื่นที่เดินนำหน้าไปก่อนนั้น เป็นเพราะพวกเธอมัวแต่คุยเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลินชูวโม่เป็นแกนนำ จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรและค่อยๆเดินห่างออกไปเรื่อยๆ

มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ถงเซียวเซียวเองก็จงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อรอฉีเล่ยที่อยู่รั้งท้าย นั่นก็เท่ากับว่าเวลานี้เธอกับฉีเล่ยจึงอยู่ห่างจากกลุ่มสาวๆข้างหน้าพอสมควร

เธอเดินคุยกับฉีเล่ยสองต่อสองไปเรื่อยๆ

และในเวลาเดียวกันนั้น รถตู้สีดำคันก็พุ่งปราดเข้ามาขวางหน้าทั้งคู่อย่างกะทันหัน แล้วผู้หญิงแต่งหน้าจัดจ้านก็กระโจนเข้าจู่โจมชนิดที่ไม่ปล่อยให้ถงเซียวเซียวได้ทันตั้งตัว

ถงเซียวเซียวได้แต่ยืนอ้าปากค้าง เธอจ้องมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ

“นังโสเภณี! กล้าดียังไงมาแย่งผู้ชายของคนอื่น! ฉันจะตบแกให้เสียโฉมเลยคอยดู!!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ผู้หญิงคนนั้นก็สาวเท้าตรงเข้าไปถึงตัวถงเซียวเซียว พร้อมกับง้างมือขึ้นหมายตบเข้าที่ใบหน้าของถงเซียวเซียวที่ยังคงยืนอยู่ในอาการงุนงง

“เซียวเซียว! ระวัง!!”

หลินชูวโม่ที่ตั้งใจจะหันหลังไปชวนถงเซียวเซียวคุย แต่กลับเห็นว่า มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เธอจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปหมายที่จะช่วยโดยเร็วที่สุด

แต่ดูเหมือนว่า…มันกลับสายเกินไปแล้ว

ฝ่ามือของผู้หญิงคนนั้นอยู่ใกล้แทบจะประชิดใบหน้าของถงเซียวเซียวเต็มทน ในชั่วอึดใจที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังยิ้มเยาะด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ คนบนรถตู้ก็ยกกล้องในมือขึ้นมาเพื่อเตรียมถ่ายภาพช็อตเด็ดนี้ไว้ทันที

สิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับดาราหรือนางแบบคืออะไรงั้นหรือ?

แน่นอน…มันคือเรื่องอื้อฉาว

เรื่องอื้อฉาวของเหล่าดาราย่อมไม่ต่างเรื่องด่างพร้อยที่จะถูกบันทึกลงไปในประวัติการทำงานของคนเหล่านั้นไปชั่วชีวิต และไม่สามารถที่จะลบออกไปได้ มิหนำซ้ำยังจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง และสถานะบนเส้นทางอาชีพโดยของพวกเขาโดยตรงด้วย ส่วนใหญ่แล้วเรื่องอื้อฉาวมักจะถูกใช้เพียงเพื่อทำลายชื่อเสียงของบุคคลนั้นๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องอื้อฉาวประเภทรักๆใคร่ๆ แค่จั่วหัวขึ้นมาก็เป็นเรื่องในทางลบแล้ว

เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับทางศีลธรรม เรื่องนั้นมักจะเป็นเรื่องที่ผู้คนให้อภัยได้ยาก

และด้วยเหตุนี้เอง เรื่องอื้อฉาวประเภทนี้จึงเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวที่สุดสำหรับเหล่าคนดัง เมื่อใดที่เรื่องแดงจนกลายเป็นข่าว ดาราหรือนางแบบเหล่านั้นจะตกกระป๋องทันที

เลนส์กล้องกระบอกยาวยื่นออกมาจากกระจกรถตู้ราวกับพร้อมถ่ายอย่างเต็มที่ สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่า คนกลุ่มนี้พยายามที่จะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อทำให้ถงเซียวเซียวเสื่อมเสียชื่อเสียง

ทันทีที่พวกเขาบันทึกภาพเหตุการณ์เหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะนำไปเปิดเผยต่อสื่อหรือลบทิ้งก็ทำได้ตามใจอยาก และยังสามารถใช้ภาพพวกนี้ขมขู่หรือรีดไถถงเซียวเซียวก็ยังได้ แล้วแต่ผู้บงการจะสั่งการ

ถึงจะเป็นเพียงภาพถ่ายหรือคลิปสั้นๆ แต่ก็ถือว่ามากเพียงพอที่จะใช้มันทำลายอนาคตของนางแบบคนหนึ่งหลังจากนี้

ทว่าขณะที่ฝ่ามือของผู้หญิงคนนั้นกำลังจะฟาดเข้ากับใบหน้าถงเซียวเซียว ฉีเล่ยกลับเอื้อมมือออกไปหยุดไว้ได้อย่างทันท่วงที

“มีเรื่องอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันสิครับ”

ฉีเล่ยจ้องลึกลงไปในดวงตาของผู้หญิงคนนั้นเขม็ง และย้อนถามกลับไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

“คุณเข้าใจผิดรึเปล่า?”

ในเวลานี้ ฉีเล่ยยังไม่ได้คิดว่า จะเป็นคนในภัตตาคารที่ต้องการแก้แค้นถงเซียวเซียว

เหตุผลที่เขายังใจเย็นอยู่ได้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเขากับถงเซียวเซียวนั้นเพิ่งเจอหน้ากันแค่สองครั้งเท่านั้น แต่ถ้าคนที่ยืนอยู่ข้างเขาเวลานี้คือหลี่ถงซีแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าเขาคงจะไม่ลังเลที่จะปรี่เข้าไปชกหน้าอีกฝ่ายเพื่อสวนกลับเช่นกัน

เพราะเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ผู้หญิงอย่างหลี่ถงซีจะไปเป็นเมียน้อยคนอื่นได้

แต่ถ้าจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับถงเซียวเซียว ฉีเล่ยเองก็ไม่กล้าการันตีเช่นกันว่า สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเป็นความจริง หรือเป็นการใส่ความกันแน่

ทางด้านผู้หญิงแต่งหน้าจัดจ้างคนนั้น เธอคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้ชายข้างๆจะออกโรงปกป้องถงเซียวเซียวแบบนี้ ในใจก็ได้แต่นึกโมโหฉีเล่ยอย่างมาก เดิมทีเธอคนนี้ประกอบอาชีพหญิงขายบริการเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง แม้ว่างานที่มาทำในวันนี้จะดูค่อนข้างแปลกไปบ้าง แต่ในเมื่อได้ค่าตอบแทนสูง มีเหรอที่เธอจะปฏิเสธ?

มีผู้จ้างวานเธอด้วยและเสนอราคาให้ 1,000หยวนต่อการตบหนึ่งครั้ง เมื่อครู่นี้เธอเองกำลังคิดว่าตัวเองจะได้เงินหนึ่งพันหยวนแรกไปแล้ว และเตรียมว่าจะกระหน่ำตบหน้าถงเซียวเซียวไม่ยั้งเพื่อเงินอีกจำนวนมากที่จะตามมา แต่ใครจะไปคิดว่า เงินจำนวนหนึ่งพันหยวนแรกกลับพลันหายวับในพริบตา เพียงเพราะชายหนุ่มคนนี้เข้ามาขัดขวางไว้

กล้าทำลายเส้นทางความมั่งคั่งกันซึ่งหน้าแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน

“ปล่อยฉัน! นี่คุณเป็นใคร! ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจัดการกับนังโสเภณีที่คบชู้กับสามีฉัน! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ? นี่คุณไม่เห็นใจเมียหลวงอย่างฉันบ้างเลยรึไง? ถึงได้ออกโรงปกป้องนังตัวดีนี่!!?”

เวลานั้น ในที่สุดถงเซียวเซียวก็ได้สติ และหายจากความงุนงง เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงใจอย่างมากว่า

“คุณนาย คุณจำคนผิดรึเปล่าคะ? ดิฉันไม่รู้จักคุณจริงๆ แล้วตัวดิฉันเองก็ไม่เคยไปเป็นมือที่สามของใครด้วย”

“เธอคือถงเซียวเซียวใช่มั๊ย?”

“ใช่ค่ะ”

“นังตัวดี! เธอนั่นแหละ!”

ผู้หญิงคนนั้นชี้หน้าด่าสวนกลับไปอีกระลอก พร้อมกับง้างมือเตรียมตบหน้าถงเซียวเซียวอีกครั้ง

การเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนี้รวดเร็วเป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นก็ยังช้าไปกว่าฉีเล่ย!

ฝ่ามือของเธอถูกฉีเล่ยหยุดไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง ถงเซียวเซียวถึงกับกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจและรีบวิ่งไปหลบหลังด้านหลังของฉีเล่ยอย่างรวดเร็ว

“นี่คุณ! ใจเย็นก่อนได้ไหม? มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะใช้แต่กำลัง!”

เวลานี้ ฉีเล่ยควบคุมผู้หญิงคนนั้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยใช้กำลังจับมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น ภายในใจก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่ว่าถงเซียวเซียวจะคบชู้กับสามีคนอื่นจริงหรือไม่ แต่ตัวเขาในวันนี้มาในฐานะเพื่อนของถงเซียวเซียว แล้วจะยอมเห็นเธอโดนทำร้ายร่างกายต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?

“ใจเย็นพ่อแกน่ะสิ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนะไอ้บ้า! ปล่อยฉันนะไอ้สารเลว!”

ผู้หญิงคนนั้นเริ่มแหกปากโวยวายอีกครั้ง ชั่วขณะอึดใจเธอก็ยกเท้าขึ้นมา และพยายามจะถีบเข้าที่ท้องน้อยของถงเซียวเซียวอีกครั้ง สภาพของเธอเป็นไปอย่างทุลักทุเล

ตบหน้าครั้งหนึ่งเท่ากับพันหยวน ถ้าถีบน่าจะได้ราคาดีกว่าแน่นอน

ตุบ!

ฉีเล่ยรีบยกขาขึ้นสกัดอย่างไว้ได้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง ด้วยการยื่นเท้าของตนเองเข้าตัดตอนบริเวณแข้งของเธอ พร้อมกับออกแรงตบลงบนพื้นอย่างแรง จนผู้หญิงคนนั้นถึงกับร้องเสียงหลงสุดแสนจะน่าสังเวช ความเจ็บปวดแล่นผ่านไปทั่วทั้งบริเวณแข้งขาราวกับถูกฟาดด้วยท่อเหล็ก ใบหน้าของเธอเริ่มซีดเผือดจนเกือบหมดสติไป

“ครั้งนี้ถือเป็นการเตือนนะครับ”

ฉีเล่ยร้องเตือนผู้หญิงคนนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา

“อ่อ แล้วถ้าจะด่าก็ด่าแค่ผมพอ ไม่ต้องเล่นถึงพ่อ”

หลังจากที่ฉีเล่ยพยายามหยุดผู้หญิงคนนั้นด้วยคำพูดถึงสามครั้ง แต่สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์ ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาก็ต้องใช้กำลังเข้าห้าม ระหว่างนั้นเองเขาก็สั่งให้ถงเซียวเซียวไปอยู่รวมกลุ่มกับพวกหลินชูวโม่และคนอื่นๆ ซึ่งดูเหมือนว่าน่าจะปลอดภัยกว่า

“คุณเป็นใคร? ต้องการอะไรกันแน่?”

หลินชูวโม่ปลอบประโลมถงเซียวเซียวอยู่สักพัก ก่อนจะลุกขึ้นชี้หน้าพร้อมตะโกนใส่ผู้หญิงคนนั้น

“ฉันเป็นใครน่ะเหรอ? ยังกล้าถามอีกเหรอว่าฉันเป็นใคร! ถงเซียวเซียว นังนี่มันเป็นชู้กับสามีของฉัน! ฉันมาที่นี่เพื่อจัดการกับมัน! ปล่อยฉันนะไอ้สารเลว!”

แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะถูกฉีเล่ยตอบโต้จนเจ็บไปทั้งหน้าแข้งแล้ว แต่มือทั้งสองข้างของเธอก็ยังถูกเขากำไว้แน่นโดยไม่มีท่าทีว่าจะปราณีหรือเห็นใจเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำตอนนี้ยังถูกก๊วนเพื่อนๆของถงเซียวเซียวล้อมไว้อีกประมาณสองสามคน

แต่แทนที่เธอจะรู้สึกกลัวหรือตระหนกตกใจ ทว่ากลับมีท่าทีแข็งขืนมากขึ้นเรื่อยๆแทน

“แล้วสามีของคุณเป็นใครล่ะ? คุณไม่มีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาว่าเซียวเซียวเป็นชู้กับสามีของคุณลอยๆแบบนี้! ไหนล่ะหลักฐาน!?”

เสี่ยวเจาตะคอกถามด้วยความโกรธจัด

“แล้วแกเกี่ยวอะไรด้วย? สามีของฉันจะเป็นใครแล้วมันกงการอะไรของแก? พวกแกล่ะเป็นใคร? ดูจากท่าทางแต่ละคนแล้ว คงไม่พ้นพวกผู้หญิงขายบริการใช่ไหมล่ะ? หน้าไม่อาย…กล้าแย่งของชาวบ้าน คงสันดานเสียไม่ต่างกันเท่าไหร่!”

แน่นอนว่าผู้หญิงที่ถูกจ้างมานั้นก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่า สามีของเธอคือใคร ด้วยเหตุนี้เธอจึงเริ่มเบี่ยงประเด็นเปลี่ยนหัวข้อโต้เถียงทันที พร้อมกับพูดจาสบประมาทกลุ่มสาวๆด้วย

ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับการแหย่รังแตนเลย

“นังนี่วอนซะแล้ว! ช่วยแหกตาของแกดูหน่อยนะ ฉันเป็นถึงลูกสาวของหวงหัว!”

“นั่นน่ะสิ นังคนนี้สมควรโดนผัวทิ้งแล้วล่ะ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผัวของแกถึงได้นอกใจไปหาคนอื่น”

“ถ้าฉันเป็นผัวเธอนะ ฉันก็คงไม่เอาเธอมาทำเมียตั้งแต่แรก สงสัยไปล่อลวงเขามาตอนเมาล่ะสิ? ผัวเธอถึงได้เห็นสุนัขเป็นคนไปได้ เลยกล้าเอาได้ลงคอ! ฉันจะบอกอะไรให้ คนสันดานแบบเธอ ต่อให้เอาไปเปรียบเทียบกับหมา ฉันยังอายแทนหมามันเลย!”

หลินชูวโม่รู้สึกได้ว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอจึงโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดด่า จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปจ้องตาผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับถามขึ้นว่า

“รู้จักกับเซียวเซียวจริงๆงั้นเหรอ?”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset