ตอนที่132 เฒ่าซี
เฉินเจียซินเฝ้ามองภาพกิริยาที่แสนจะพบเห็นได้ยากของประธานสาวคนสวย และได้แต่แอบสงสัยว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องหัวเราะหนักขนาดนี้
“แล้วเธอคิดว่าคนอย่างฉีเล่ยจะกำลังรู้สึกยังไงล่ะ? เธอคิดว่าเขาจะทุกข์ทรมานใจอยู่รึเปล่า?”
ชูซินซูหยุดหัวเราะเหลือบมองไปที่เลขาสาว พร้อมกับเอ่ยถามอย่างมีเลศนัย
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ”
เฉินเจียซินกล่าวตอบไปตามความจริง
แต่พอคิดดูแล้ว มันจะน่าหดหู่แค่ไหนกันนะ? ถ้าหากชายคนหนึ่งที่เพิ่งปฏิเสธสาวสวยระดับมหาเศรษฐีไป โดยคิดว่าอยากจะใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ แต่ทว่าตอนนี้กลับโดนไล่ออกจากการเป็นอาจารย์อีก?
“ประธานชู จะให้ดิฉันโทรติดต่อไปหากระทรวงการศึกษาไหมค่ะ?”
ชูซินซูโบกมือปฏิเสธ
“ไม่จำเป็น ถ้าคิดว่าเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาแค่นี้ได้ ก็หมายความว่าทีมข่าวกรองของเธอประสบความล้มเหลวถึง98%นะ เขาแข็งแกร่งกว่าที่เธอคิดเยอะ”
“รับทราบค่ะ”
เฉินเจียซินพยักหน้าตอบ
“แต่…ครั้งล่าสุดเขายังต้องพึ่งพาประธานชูอยู่เลยนี่คะ? ฉันคิดว่าครั้งนี้เอง…เขาก็น่าจะต้องการความช่วยเหลือจากประธานชูเหมือนกัน?”
ชูซินซูส่ายหัว
“สถานการณ์ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้ว ตอนนั้นเขาเลือกที่จะพึ่งพาหลี่ฮั่วเฉิน ไม่ใช่ฉัน แต่ถ้าครั้งนี้เขาตั้งใจโทรหาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือจริงๆ ฉันเองก็ยินดีที่จะช่วย แต่หลังจากนั้น…กลับจะเป็นตัวเขาเองนั้นแหละที่จะเป็นฝ่ายสูญเสียมากยิ่งขึ้น”
หลังจากที่เฉินเจียซินที่ได้ฟังคำพูดของประธานสาว เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่า ประธานสาวคนนี้กำลังหมายถึงอะไรอยู่ และความสูญเสียที่ว่านั้นมันหมายถึงอะไร โดยเธอหวังเพียงแค่ว่า ฉีเล่ยจะใช้ความสามารถที่มีก้าวข้ามผ่านปัญหานี้ไปได้ด้วยตัวเอง
ชูซินซูลุกขึ้นจากเก้าอี้ผู้บริหารตัวใหญ่ และยืนจ้องมองทัศนียภาพของเมืองหลวงในยามรัตติกาลที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟผ่านหน้าต่าง
มุมปากของเธอค่อยๆยกสูงขึ้น
“อยู่ๆก็อยากจิบไวน์แหะ”
ฉีเล่ย
นายเป็นคนแบบไหนกันแน่?
ทั้งๆที่โอกาสจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตปรากฏรออยู่ตรงหน้าแล้ว แต่กลับเลือกที่จะหันหลังให้?
มีหญิงสาวผู้แสนมั่งคั่งร่ำรวย เธอเพียบพร้อมไปซะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความสวยและอำนาจบารมี มาประเคนถึงที่ แต่นายกลับปฏิเสธพวกเธอเหล่านั้นไปจนหมด?
นายต้องการแค่ของธรรมดาๆอย่างงั้นเหรอ?
เส้นทางที่นายเลือกมีผู้คนมากมายเข้าขัดขวาง แต่นายก็ยังตัดสินใจที่จะเดินต่อไปจริงๆน่ะเหรอ?
นายช่างเป็นผู้ชายที่ลึกลับมากเหลือเกินนะ
…….
การที่ตาแก่ซงได้ขับไล่นักศึกษาออกจากห้องยกแผงจนไม่มีใครมาเรียน เรื่องนี้ทำให้หัวหน้าคณะอาจารย์ซีรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
ตัวเขาเองย่อมทราบขีดจำกัดของตัวเองที่พอจะรับไหวได้ดี ถ้าไม่รับสมัครอาจารย์ใหม่เข้ามาแทน ก็จำเป็นต้องหาหนทางเพื่อเชิญฉีเล่ยกลับมา ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาจะไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ให้ทางมหาวิทยาลัยฟังได้
เขาเพิ่งจะไล่ฉีเล่ยออกจนทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาจารย์ผู้สอน หลินหมิงจางอาจจะใช้ข้ออ้างนี้เพื่อปลดเขาออกจากตำแหน่งก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ทราบมาว่า ตลอดสองวันมานี้หลินหมิงจางก็ได้พยายามวิ่งเต้นเพื่อช่วยฉีเล่ยอย่างมาก ได้ยินมาว่า เขาถึงขั้นเดินทางไปหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาหม่าด้วยตัวเอง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เห็นแก่หน้าหลินหมิงจางเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะเชื้อเชิญเขาเข้าบ้านด้วยซ้ำ ส่วนเหตุผลที่เขาทำแบบนั้นก็ไม่มีอะไรมาก เพราะฉีเล่ยไปทำร้ายหลานชายของเขานั่นเอง
การจะสรรหาอาจารย์วิชา‘การวินิจฉัย’ที่มีคุณภาพมาสอนเด็กพวกนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยกับงบประมาณที่ทางมหาวิทยาลัยให้มา แต่หากจะเชิญฉีเล่ยให้กลับมาสอนก็ไม่ต่างอะไรกับการถล่มน้ำลายขึ้นฟ้า ดังนั้นแล้ว หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจึงจำเป็นต้องออกโรงสอนด้วยตัวเอง ส่วนตัวเขานั้นก็ไม่ได้สอนเด็กนักศึกษามาเป็นเวลานานมากแล้ว เรียกได้ว่าฝีมือและลีลาการสอนของเขานั้น ได้ถูกทิ้งร้างจนฝุ่นจับหมดแล้วก็ว่าได้
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีนั่งตัดสินใจอยู่นาน จนท้ายที่สุดก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า เขาจะออกไปสอนด้วยตัวเอง และจะใช้โอกาสนี้กำราบความหยิ่งผยองของเด็กนักศึกษากลุ่มนี้ด้วย
ถึงจะมีความมั่นใจอยู่พอตัว แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ บนบ่าทั้งสองข้างยังถือได้ว่า ต้องแบกรับความกดดันอันหนักอึ้งไว้อย่างมาก
เมื่อหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเดินเข้าไปในชั้นเรียน เขาก็ถึงกับตกตะลึงอย่างมาก เพราะภายในห้องมีนักศึกษาเป็นร้อยนั่งอยู่เต็มไปหมด เรียกได้ว่าเกือบจะทั้งหมดของจำนวนนักศึกษาแพทย์แผนจีนรุ่นที่6ของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว ในหนึ่งคลาสนักศึกษาจะถูกแบ่งเฉลี่ยเป็นเซคละ40คน แต่เด็กภายในห้องเวลานี้ ราวกับว่ารวบรวมเอานักศึกษาจากทุกเซคไว้ จำนวนนักศึกษาในตอนนี้ดูเหมือนจะมีจำนวนมากกว่ารายชื่อในมือเขาเสียอีก
เดิมที วันนี้ที่หัวหน้าคณะอาจารย์ซีมาก็เพื่อเช็คบิลกับพวกนักศึกษาที่ไม่ยอมเข้าเรียน เพราะครั้งก่อนตาแก่ซงเพิ่งขับไล่นักศึกษาพวกนี้ออกไป จึงคิดว่าคาบเรียนในวันนี้ไม่น่าจะมีใครมา เขาจะได้เช็คขาดและลงโทษให้หายซ่ากัน แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างที่เขาจินตนาการไว้เลยสักนิด แผนการนี้จึงถูกพับเก็บไป
เนื่องจากจำนวนนักศึกษาในห้องเยอะมากถึงขั้นแน่นขนัด หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจึงไม่พูดพล่ามทำเพลงใดๆอีก เขาเดินขึ้นไปบนเวทีสอน กวาดสายตามองทุกคนและพูดเสียงดังว่า
“ยินดีที่ได้รู้จักนะนักศึกษาทุกคน ฉันชื่อซีลู่เฉิง”
หลังจากพูดจบ เขาก็แอบสังเกตสีหน้าท่าทางของนักศึกษาที่อยู่ภายในห้อง แต่ก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้
ไม่เห็นเป็นเหมือนที่ตาแก่ซงบ่นกับเขาเลยสักนิด ตาแก่นั่นบอกว่า เด็กๆพวกนี้ทั้งหัวสูงทั้งเย่อหยิ่ง แถมยังดื้อรั้นเกินจะควบคุม แล้วนี่มันอะไร? ทุกคนต่างก็นั่งสงบเรียบร้อยกันดีนี่?
เหอจื่อที่นั่งอยู่แถวหน้าจัดการถอดหูฟังตัวเก่งออก ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เป็นถึงหัวหน้าอาจารย์ไม่ใช่เหรอค่ะ? นี่ถึงกับลงมาสอนด้วยตัวเองเลยเหรอ?”
เหตุผลที่ทุกคนยังคงมานั่งเรียนกันอย่างพร้อมหน้าในวันนี้ ก็เพราะว่าพวกเขากำลังรอให้ฉีเล่ยกลับมา เดิมทีเธอวางแผนไว้ว่าจะชักชวนทุกคนให้โดดเรียน แต่กลับถูกฉีเล่ยห้ามไว้เสียก่อน ก็เลยต้องชะลอแผนการดังกล่าวไป แต่ไม่คิดเลยว่า วันถัดไประดับหัวหน้าอาจารย์จะลงมาทำการสอนพวกเธอด้วยตัวเอง
ดูเหมือนกว่าศึกนี้จะเริ่มรับมือยากขึ้นเรื่อยๆแล้วสินะ
แต่เพื่อฉีเล่ย ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนเธอก็ยังยืนหยัดสู้ต่อไป ไม่ต้องพูดถึงระดับหัวหน้าอาจารย์หรอก ต่อให้เป็นอธิการบดีเธอก็ไม่กลัว
ซีลู่เฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“หนูจ๊ะเธอเข้าใจผิดแล้ว ตั้งแต่ที่ฉันก้าวเท้าเข้ามาในคลาสเรียนนี้ ก็ไม่ใช่หัวหน้าอาจารย์อะไรทั้งนั้น แต่เป็นอาจารย์คนหนึ่งของนักศึกษาทุกๆคน หน้าที่ของฉันคือการสอนให้พวกเธอได้ดิบได้ดี ส่วนคำว่าหัวหน้าอาจารย์ก็แค่ชื่อตำแหน่ง อย่าไปสนใจมันเลย ต่อไปนี้เรียกฉันว่าอาจารย์ซีเถอะนะ หรือถ้าไม่สะดวกใจก็เรียกว่า ตาเฒ่าซีก็ได้ไม่ว่ากัน ฮ่าฮ่า…”
ซีลู่เฉิงยังคงเดินเกมได้ดีมากที่เน้นสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่มาถึงก็อวดภูมิความรู้ของตัวเองก่อน แต่เน้นการกระชับความสัมพันธ์กับลูกศิษย์ให้แน่นแฟ้นขึ้น
นอกจากนี้ เขายังใช้กลยุทธ์ในการพูดติดตลกเข้ามาสอดแทรกเพื่อลดช่องว่างระหว่างเขากับเด็กนักศึกษาพวกนี้ การเสนอให้นักศึกษาเรียกเขาว่า‘เฒ่าซี’ ก็เพื่อที่จะพยามยามแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องสถานะความอาวุโสสักเท่าไหร่
นี่หาเป็นนักศึกษากลุ่มอื่น ซีลู่เฉิงคงจะสามารถเอาชนะใจไปได้นานแล้ว แต่น่าเสียดายเพราะนักศึกษากลุ่มที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้น นับเป็นกลุ่มเด็กทรชนคนทรามแห่งรุ่นที่ 6เลยทีเดียว
เหอจื่อยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปทันที
“โอเคเลย เฒ่าซี คุณนี่พูดโน้มน้าวจูงใจเก่งเหมือนกันนะ แต่ช่วยไปพาอาจารย์ฉีกลับมาทีเถอะ พวกเราจะยอมเรียนกับเขาคนเดียวเท่านั้น”
เวลานี้ ใบหน้ายิ้มแย้มของชีลู่เฉิงถึงกับแข็งค้างอยู่แบบนั้น
ที่เขาพูดติดตลกบอกให้เด็กนักศึกเรียกเขาว่า ‘เฒ่าซี’ นั้น ทั้งหมดเป็นเพียงวิธีปรับบรรยายกาศก่อนจะเข้าเรียนเท่านั้นเอง ใครจะบ้าจี้อยากให้เด็กพวกนั้นเสียมารยาทกับตัวเองแบบนั้น? นอกจากเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันจริงๆ หรือไม่ก็คนที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่กว่า ยังมีใครหน้าไหนกล้าเรียกเขาว่า เฒ่าซี ต่อหน้าต่อคนอื่นแบบนี้อีก?
เหตุการณ์นี้ทำเอาซีลู่เฉิงโมโหจนแทบกระอักเลือด นั่นเพราะคนที่อนุญาตให้เรียกเขาว่า เฒ่าซี ก็คือตัวเขาเอง แต่เขาก็คิดไม่ถึงจริงๆว่า เด็กเวรพวกนี้จะกล้าเรียกออกมาจริงๆ!
เฉพาะเวลานี้ ซีลู่เฉิงเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของตาแก่ซงที่วิ่งเข้ามาบ่นกับตัวเองในห้องทำงานเมื่อวาน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความโกรธภายในใจ ก่อนจะฝืนยิ้มและตอบกลับไปว่า
“อืม…ฉันคิดว่าพวกเธอยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดีนะ อาจารย์ฉีถูกเบื้องบนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะเขาไม่มีวุฒิการศึกษา แม้แต่ใบประกอบแพทย์ยังไม่มี ขนาดตัวฉันเองยังถูกเรียกไปตักเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน น่าเศร้านะ…ฉันเองก็ยอมรับจากใจว่า น้องฉีเป็นอาจารย์ที่เก่งมากคนหนึ่ง ตลอดที่ผ่านมาฉันก็ชื่นชมเขาอยู่ไม่น้อย จู่ๆเขามาถูกไล่ออกเพราะเรื่องแบบนี้ ฉันเองก็อดเสียดายไม่ได้เหมือนกัน ฉันเข้าใจความรู้สึกของพวกเธอทุกคนนะ”
“แต่…”
ซีลู่เฉิงกวาดสายตาสำรวจดูปฏิกิริยาของทุกคนแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มว่า
“อาจารย์ฉียังเด็กและยังมีโอกาสพัฒนาศักยภาพทางด้านการแพทย์ของตัวเอง หลังจากที่เขาออกไปแล้ว ฉันก็ได้มีโอกาสคุยกับเขาอยู่บ้างเหมือนกัน และได้แนะนำมหาวิทยาลัยชื่อดังให้เขาไปเรียนต่อ หลังจากได้รับวุฒิการศึกษาและใบปริญญามาแล้ว ถึงตอนนั้นทางมหาวิทยาลัยเองย่อมต้องยินดีต้อนรับเขากลับมาอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มของซีลู่เฉิงก็ค่อยๆจางหายไป น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังขึ้นมาถนัดตา
“ดังนั้น ระหว่างนี้ขอให้นักศึกษาทุกคนช่วยให้ความร่วมมือ ขอแค่พวกเธอตั้งใจเรียนต่อไป เพียงแค่นี้ก็ทำให้อาจารย์ฉีชื่นใจได้แล้ว”
หลังจากร่ายออกมายาวเหยียด ซีลู่เฉิงก็คิดว่า แผนการนี้น่าจะได้ผลไม่น้อยทีเดียว
แต่ทว่า…
“เฒ่าซีครับ! แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ ความสามารถของอาจารย์ฉีในตอนนี้ก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับสูงมากแล้ว บอกให้เขาไปเรียนแบบนี้ แสดงว่าต้องหาสถาบันระดับสูงที่มีองค์ความรู้สูงกว่าเขาอีกสินะครับ? แล้วคนที่จะมาสอนอาจารย์ฉีได้นี่จะต้องเก่งขนาดไหนกัน?”
“นั้นสิครับ บอกว่าให้ไปเรียนต่อ แต่ถ้าอาจารย์ฉีเก่งกว่าคนที่สอนเขา มันไม่น่าอายแย่เหรอครับ?”
“เฒ่าซี ผมคิดว่าคุณควรพาอาจารย์ฉีกลับมานะ ถ้าคุณยอมตกลง ผมจะเอาค่าขนมครึ่งปีมาเลี้ยงไวน์หรูให้เลยครับ”
“ฮ่าฮ่า…จินเซิง ค่าขนมครึ่งปีของแกมันสักเท่าไหร่เชียว? เฒ่าซีเป็นถึงหัวหน้าอาจารย์เลยนะ แค่อาหารมื้อเดียวก็เท่ากับค่าขนมแกทั้งปีแล้วมั๊ง!”
“แล้วทำไม? ก็ฉันเลี้ยงด้วยใจ! เฒ่าซีก็อย่าไปภัตตาคารหรูขนาดนั้น แค่ห้องคาราโอเกะเล็กๆ สาวแจ่มๆสักคนมาหนุนตักก็พอแล้วจริงไหมครับ?”
“….”