ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 133 กลยุทธ์เหนือกว่า

ตอนที่133 กลยุทธ์เหนือกว่า

ปัง!

ซีลู่เฉิงไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไปแล้ว เขาคว้าแปรงลบกระดานทุบโต๊ะอย่างแรงหนึ่งที ก่อนจะส่งเสียงตวาดลั่นห้องด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงหม่นหมองอย่างมาก

“นี่มันเกินไปแล้ว! เกินไปแล้วนะพวกเธอ!! หัดส่องกระจกดูตัวเองซะบ้าง! ยังมีความเป็นนักศึกษากันอยู่บ้างไหม!? ยังอยากจะเรียนที่นี่ต่อกันอยู่รึเปล่า!!? กว่าที่พ่อแม่ของพวกเธอจะส่งเสียจนมานั่งสบายอยู่ตรงนี้ได้ คิดว่ามันง่ายนักเหรอ!? อยากให้ฉันเชิญผู้ปกครองของพวกเธอมาอบรมนักใช่ไหม! หรืออยากจะให้ฉันไล่พวกเธอออกให้หมดกันล่ะ!?”

ตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์ค่อนข้างมีเกียรติและมีสถานะที่สูง นักศึกษาภายในห้องต่างหันไปสบตากันไปมา แม้จะรู้สึกไม่พอใจขนาดไหน แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากโต้แย้งเลยสักคน

แต่นั่นไม่ใช่เหอจื่อ…เธอนับเป็นข้อยกเว้น

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร หรือไม่ว่าอีกฝ่ายจะหัวเสียมากขนาดไหน เธอก็ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด เธอเป่าหมากฝรั่งออกมาพร้อมเสียงแตกดัง‘ป๊อป!’ จากนั้นเหอจื่อก็พูดขึ้นอย่างไม่แยแสว่า

“หัวหน้าอาจารย์ซี ในฐานะที่หนูเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง พวกเราแค่ต้องการอาจารย์เก่งๆมาสอนเท่านั้น นี่ถือว่าเป็นคำขอที่มากไปเหรอค่ะ? หนูคิดว่า ในบรรดาอาจารย์ทั้งหมดที่มีอยู่ในสาขาแพทย์แผนจีน ไม่มีคนไหนเก่งไปกว่าอาจารย์ฉีแล้วล่ะค่ะ”

ใบหน้าของซีลู่เฉิงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับม่วง เขาจ้องมองเหอจื่อเขม็งด้วยความโกรธจัด พยายามสงบสติอารมณ์อยู่สักพักจึงค่อยพูดต่อว่า

“จนกว่าฉันจะสามารถหาอาจารย์วิชาการวินิจฉัยที่เหมาะสมมาสอนทุกคนได้ เพราะฉะนั้นระหว่างนี้พวกเธอก็จะต้องเรียนกับฉันไปก่อน ฉันจะพยายามทำหน้าที่ในฐานะอาจารย์ของพวกเธอให้ดีที่สุด ฉันสัญญา!”

‘ป๊อป!’เหอจื่อเป่าหมากฝรั่งจนแตกอีกครั้ง กลอกตาไปมาพร้อมกับทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า

“คนที่จะมาเป็นอาจารย์สอนวิชาการวินิจฉัยได้ จำเป็นจะต้องมีความสามารถเชิงปฏิบัติและมีประสบการณ์อย่างมากมาก่อน ถ้าอาจารย์จะมาสอนวิชานี้แทน ก็ต้องตอบคำถามสามข้อของหนูก่อน ถ้าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีตอบได้ พวกเรารับปากว่านับจากนี้จะไม่พูดถึงชื่ออาจารย์ฉีอีก และจะตั้งใจเรียนกับทุกรายวิชา”

ซีลู่เฉิงพยักหน้า

“ได้! แต่ต้องเป็นคำถามที่อยู่ในตำราเรียนมาตรฐานของทางมหาวิทยาลัยเรานะ”

เหอจื่อยิ้มตอบโดยทันที

“แน่นอนค่ะ”

“เข้าใจแล้ว งั้นพวกเธอก็ถามมาได้เลย”

ซีลู่เฉิงไม่ค่อยกังวลกับการที่จะต้องถูกนักศึกษาลองภูมิสักเท่าไหร่นัก ถึงแม้เขาจะห่างหายจากการสอนมานานหลายปีแล้ว แต่ถึงอย่างไรประสบการณ์การสอนที่ผ่านมามันก็มากเพียงพอ จนเรียกได้ว่าฝังอยู่ในกระดูกดำแล้ว มิหนำซ้ำเมื่อก่อนนี้เขาก็เคยสอนวิชานี้มาเช่นกัน แค่คำถามของระดับนักศึกษามันคงไม่ยากพอที่จะทำให้เขาแพ้ได้แน่

ประการแรก การจะเป็นอาจารย์วิชาการนิจวินิจฉัยได้ก็คือ คนๆนั้นจะต้องเป็นแพทย์ที่เก่ง และซีลู่เฉิงเองก็มีทักษะทางการแพทย์จีนที่ถือได้ว่าเป็นอันดับต้นๆเช่นกัน

เหอจื่อครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะถามคำถามแรกขึ้นว่า

“หัวหน้าอาจารย์ซี ท่อง‘บทสมุนไพรจีน’ได้ไหมค่ะ?”

ซีลู่เฉิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับประหลาดใจเล็กน้อย

“บทสมุนไพรจีนอย่างงั้นเหรอ?”

ใช่ แต่ก่อนเขาเคยท่องจำบทสมุนไพรจีนได้ แต่นั่นมันเป็นเรื่องเมื่อนานมากแล้ว และเขาเองก็ลืมไปแล้วเช่นกัน

แต่จุดที่น่าสนใจจนทำให้เขารู้สึกเอะใจก็คือ บทสมุนไพร เป็นราวกับคาถาศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวแพทย์แผนจีนมือฉกาจ แต่เด็กนักศึกษาปีหนึ่งพวกนี้จะรู้จักได้ยังไง? อีกอย่างเด็กนักศึกษาเหลานี้ก็เพิ่งจะเริ่มเรียนกันมาได้ไม่กี่อาทิตย์เอง?

“หรือหัวหน้าคณะอาจารย์ซีจำไม่ได้แล้วคะ?”

ซีลู่เฉิงยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยท่าทีเก้อเขินเล็กน้อย พอรู้ตัวว่าตนเองตกอยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ หนังหน้าของเขาพลันกระตุกขึ้นทันที

“พวกเธอทุกคน นี่เป็นเนื้อหาสำหรับพวกปีสองเขาท่องจำกันนะ พวกเธอควรให้ความสำคัญกับความรู้พื้นฐานของชั้นปีที่หนึ่งก่อนดีกว่า อีกอย่างสำหรับอาจารย์ บทสมุนไพรอะไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว ถ้าจำได้คงเก่งมากแล้วล่ะ…”

เหอจื่อได้แต่ทำสีหน้าเมินเฉยใส่อีกฝ่าย หลังเป่าหมากฝรั่งแตกเป็นรอบที่สาม เธอก็ดีดนิ้วให้สัญญาณกับทุกคน แล้วร้องบอกทันที

“เอาล่ะทุกคน เตรียมตัวกันให้พร้อม เราจะเริ่มท่องบทสมุนไพรตั้งแต่ต้นจนจบ คนละบรรทัดเริ่มจากคนแถวหลังสุดก่อน”

“ถ้าพร้อมแล้วก็ลุกขึ้นแล้วเริ่มได้เลย”

“โสมรสหวาน บำรุงพละกำลัง กระเจี๊ยบชายแดงสรรพคุณดับกระหาย ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ควบคุมโภชนาการสุขภาพ…”

“ต้นหวงฉีมีประโยชน์ เจริญเติบโตในแถบอุ่น ดูดซับเหงื่อร้อน รักษาอาการไข้หวัด สมานแผลกระตุ้นกล้ามเนื้อเติบโต พลังฉีนิ่งเสถียร บำรุงการทำงานของม้ามและท้องน้อย”

“สมุนไพรไป่ซูมีรสหวาน ช่วยให้คนเรากระปรี้กระเปร่า บรรเทาอาการท้องร่วง ขจัดความชื้นและเสมหะ”

“ฝูหลิงมีรสอ่อน ซึมซับไข้พิษ ระบบระบายของเสียติดขัด สามารถช่วยชำระล้าง”

“…..”

นักศึกษาทั้งหมดเกือบร้อยคนต่างทยอยลุกขึ้น และท่องบทสมุนไพรให้ซีลู่เฉิงฟังทีละท่อนอย่างฉะฉานชัดเจน และไม่มีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่ประโยคเดียว….

ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ การแบ่งกันท่องคนละท่อนแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าการท่องรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบเสียอีก เพราะการทำแบบนี้คือการจำและท่องออกมาให้ผ่านๆไป แต่การที่ทุกคนติดตามฟังท่อนของคนก่อนหน้า และรู้ว่าตัวเองต้องท่องจุดไหนออกมา นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้จำแต่‘เข้าใจ’ เพิ่งเข้ามาเรียนได้ไม่นานแต่ก็สามารถเข้าอกเข้าใจองค์ความรู้ได้ถึงระดับนี้…แม้แต่นักศึกษาแพทย์แผนปัจจุบันยังต้องอาย! นักเรียนแพทย์แผนจีนรุ่นที่6นี่นับได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของสาขาแพทย์แผนจีนอย่างแท้จริง!

หลังจากที่ฉีเล่ยถูกไล่ออก ก่อนลาจากกันเป็นครั้งสุดท้าย เขาขอให้นักศึกษาทุกคนท่องจำบทสมุนไพรบทนี้ให้ขึ้นใจ เมื่อต่าคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน พวกเขาก็กลับไปทำตามอย่างเชื่อฟัง และท่องจำอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าชนิดที่ว่าแทบลืมกินลืมนอนเลยทีเดียว

พวกเขาหวังแค่ว่า ถ้าสามารถท่องบทสมุนไพรนี้จนคล่องแคล่วได้แล้ว สักวันหนึ่งอาจารย์ฉีของพวกเขาจะกลับมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากท่องประโยคสุดท้ายจบลง บรรยากาศทั่วทั้งชั้นเรียนก็เงียบสงัดไปชั่วขณะ

เสียงเก้าอี้เลื่อนออกดังขึ้น เหอจื่อร้องตะโกนขึ้นต่อทันทีว่า

“พวกเราลุกขึ้น!”

ตึง!

นักศึกษาทุกคนต่างยืนตัวตรง ทุกสายตาจับจ้องไปที่ซีลู่เฉิงบนเวทีอย่างพร้อมเพรียง

ซีลู่เฉิงถึงขั้นต้องก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ทราบเลยว่า เด็กๆพวกนี้ต้องการอะไรกันแน่?

เหอจื่อตะโกนขึ้นอีกคราว

“โค้งคำนับ!”

ตึง!

นักศึกษาทั่วทั้งห้องโค้งคำนับ90องศาให้แก่ซีลู่เฉิง ส่วนเขาเองก็ถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก

เหอจื่อยืดตัวตรงขึ้นมาพร้อมกับพูดเสียงดังฉะฉาน

“หัวหน้าคณะซี ที่คุณไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกเราก็ไม่แปลก ดังนั้นหนูจะบอกให้ฟังตรงนี้ค่ะว่า อาจารย์ฉีเป็นทั้งพี่ชายที่แสนดี เป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ แล้วก็ยังเป็นอาจารย์ที่มีความสามารถสูงมากคนหนึ่ง พวกเราเชื่ออย่างยิ่งว่า ตราบใดที่มีอาจารย์ฉีคอยสอนสั่ง วันข้างหน้าพวกเราจะสามารถกลายมาเป็นแพทย์แผนจีนที่เก่งที่สุดของประเทศได้ หากจุดประสงค์ของทางมหาวิทยาลัยคือการสั่งสอนนักศึกษาให้กลายเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคต เพื่อช่วยเหลือสังคมให้น่าอยู่ต่อไปแล้วล่ะก็ ได้โปรดรับฟังเสียงของนักศึกษาอย่างพวกเราบ้าง แต่ถ้าจุดประสงค์ของมหาวิทยาลัยคือการหากำไรจากการเก็บค่าเล่าเรียน พวกเราเองก็ยินดีที่จะลาออกค่ะ คุณเคยบอกว่าอาจารย์ฉีไม่มีวุฒิการศึกษาหรือใบรับรองอะไรเลยใช่ไหมคะ? นี่ไงคะ สิ่งที่เราท่องไปเมื่อกี้คือใบรับรองความเป็นอาจารย์ของเขาที่ดีที่สุดแล้ว”

“ได้โปรดเถอะค่ะ! ช่วยพาอาจารย์ฉีของพวกเรากลับมาด้วย!”

เหอจื่อกล่าวทั้งน้ำตา

“ได้โปรดเถอะครับ/ค่ะ!!”

นักศึกษาทุกคนต่างโค้งคำนับให้อีกครั้งโดยพร้อมเพรียงกัน

ซีลู่เฉิงจับจ้องไปที่ใบหน้าอันแสนจริงจังของทุกคน ด้วยมือไม้ที่สั่นเทา

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากคลาสไปอย่างเงียบๆ

ปรากฏว่า ฉีเล่ยสามารถทำให้เด็กนักศึกษาเชื่อมั่นในตัวเขาได้มากถึงขนาดนี้ และมันก็มากซะจนไม่มีอาจารย์คนไหนสามารถที่จะมาแทนที่เขาได้อีกแล้ว

..…..….

ฉีเล่ยย่อมไม่ทราบว่าเกิดอะไนขึ้นในมหาวิทยาลัย เขากำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับหลี่ฮั่วเฉิน

ทันทีที่ชายชราคนนี้มีเวลาว่าง เขาก็มักจะชวนฉีเล่ยมาเล่นหมากล้อมด้วยกันอยู่เสมอ ในตอนแรกฉีเล่ยไม่สามาถอ่านเกมตามความคิดของชายชราคนนี้ได้ทันเลย แต่หลังจากผ่านไปนานเข้า ฉีเล่ยก็เริ่มจับทางอ่านความคิดของอีกฝ่ายออกทีละเล็กทีละน้อย จนตอนนี้เรียกได้ว่ากลายมาเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของหลี่ฮั่วเฉินแล้ว

วันนี้หลี่ฮั่วเฉินไม่มีเวรไปโรงพยาบาลพอดี แลเมื่อรู้ว่าฉีเล่ยยังอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหน เขาก็เริ่มรู้สึกคันไม้คันมืออยากดวลฝีมือด้วยสักยกสองยก

ฉีเล่ยเคลื่อนหมากสีดำออกไป ยังไม่ทันจะวางเสร็จสิ้นดี จู่ๆมือถือบนโต๊ะของเขาก็พลันดังขึ้น

เมื่อหันไปดูกลับไม่ใช่สายเรียกเข้า แต่เป็นข้อความที่ถูกส่งจากเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย

[อิอิ เดาสิว่าฉันเป็นใคร^0^]

ดูจากลักษณะการพิมพ์ของอีกฝ่าย ฉีเล่ยเดาว่าน่าจะเป็นผู้หญิง

ฉีเล่ยพิมพ์ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจว่า

[ป้าข้างบ้านเหรอครับ?]

ในเมื่อเริ่มมาก็แกล้งกันแบบนี้ แกล้งกลับไปก็คงไม่ผิดอะไรใช่ไหม?

อีกฝ่ายตอบกลับอย่างรวดเร็ว

[ตาบ้า! นี่ฉันเอง! เซียวเซียว]

ฉีเล่ยประหลาดใจเล็กน้อย

[โอ้? เซียวเซียวเองเหรอ มีอะไร?]

เซียวเซียวพิมพ์ตอบกลับมา

[ถ้าไม่มีอะไรแล้วทักไม่ได้เหรอ? ฉันแค่อยากจะขอบคุณอีกครั้งสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่างตอนอยู่ปักกิ่ง ตอนนี้ฉันอยู่ต้หวันแล้ว ถ้าว่างก็บินมาหาฉันได้นะ]

“เร็ว ตาเธอแล้ว”

หลี่ฮั่วเฉินรีบร้องกระตุ้นทันทีเมื่อเห็นว่าฉีเล่ยไม่เดินต่อสักที

“ครับ”

ฉีเล่ยวางโทรศัพท์มือถือลงบนตักและเดินหมากดำซึ่งเป็นไพ่ตายเข้าล้อมในทันที และเปลี่ยนหมากขาวของหลี่ฮั่วเฉินกลายมาเป็นสีดำได้สำเร็จ

“โอ้โห? เธอเก่งขึ้นเยอะเลยนะนี่!”

“ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วใช่ไม่เหรอครับ? ว่ากันว่า หากจะดูว่าคุณมีฝีมือมากแค่ไหน ก็ให้ดูจากคู่ต่อสู้ เล่นกับคนเก่งยิ่งเล่นก็ยิ่งเก่ง เล่นกับคนที่ด้อยกว่ายิ่งเล่นก็ยิ่งฝีมือตก เป็นเพราะผมมีคู่ต่อสู้ที่เก่งมากต่างหากล่ะครับ”

ฉีเล่ยกล่าวเยินยอหลี่ฮั่วเฉินทำให้อีกฝ่ายดูมีความสุขอย่างมาก เขาลูบเคราตัวเองเล็กน้อยและกล่าวว่า

“ฮ่าฮ่า…ตั้งแต่มาอยู่ปักกิ่ง คำพูดคำจาของเธอดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นมากเหมือนกันนะ”

จากนั้นทั้งสองก็ล้างกระดานเล่นกันใหม่อีกครั้ง แต่ไม่นานมือถือบนตักของฉีเล่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นสายเรียกเข้า บนหน้าจอแสดงชื่อสายเรียกเข้าเป็น หลินชูวโม่

ทันทีที่กดรับสาย สุ้มเสียงหวานของหลินชูวโม่ก็ตะโกนดังลั่นขึ้นทันทีว่า

“สุดหล่อ! รีบมาเร็วเข้า! มีลูกค้ารายใหญ่มาถึงที่นี่แล้ว รีบมาคลินิกเร็วเข้า!”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset