ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 142 ข้อผิดพลาดร้ายแรง

ตอนที่142 ข้อผิดพลาดร้ายแรง

แม้เทคโนโลยีและความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาก้าวไกลอย่างรวดเร็วเหนือขีดสุด แต่ทว่าสุขภาพร่างกายของผู้คนกลับเริ่มแย่ลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีคำพูดว่า เก้าในสิบคือผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย ส่วนอีกหนึ่งนั้นก็ใช่ว่าจะแข็งแรง

และดูเหมือนว่าธุรกิจเกี่ยวกับคลินิกเพื่อสุขภาพในยุคสมัยนี้จะค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก

ภายในชั้นที่หนึ่งของเรือนทรงจีนโบราณแห่งนี้ ไม่เพียงแต่อัดแน่นไปด้วยคนไข้ที่มาเข้าคิวรอรักษา แต่ยังมีแถวต่อยาวออกไปเป็นหางว่าวอีกด้วย

ผู้คนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แต่งตัวภูมิฐานดูดีมีฐานะ ดูแล้วน่าจะเป็นชนชั้นกลางไปจนถึงชนชั้นสูงในสังคม แน่นอนว่าชาวบ้านธรรมดาทั่วไปย่อมไม่มีใครหาญกล้าเดินเข้ามารับการรักษาในคลีนิคตระกูลเป่ยอย่างแน่นอน เพราะแค่ราคาค่าปรึกษาแพทย์ก็เพียงพอที่จะทำให้ชาวบ้านทั่วไปหวาดผวาได้แล้ว

เป่ยจ้าวหยวนเดินนำเข้าไป โดยมีกลุ่มลูกศิษย์เดินตามหลัง ทั้งหมดตรงเข้าไปในห้องที่กว้างขวางและสว่างไสว

ภายในมีอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่ค่อนข้างครบครัน ทั้งยังมีสมุนไพรจีนหลากหลายชนิดประดับประดารายล้อมทั่วห้อง รูปภาพอวัยวะร่างกายและตำแหน่งจุดฝังเข็มสำคัญขนาดใหญ่ถูกแขวนไว้บนผนังห้อง

บนโซฟามีคนไข้นั่งรออยู่ราวสองถึงสามคน เห็นได้ชัดว่า ที่พวกเขามาอยู่ตรงนี้ก็เพื่อรอเข้ารับการรักษากับเป่ยจ้าวหยวนนั่นเอง

เป่ยจ้าวหยวนหันมองไปทางฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า

“นายต้องการประลองกับฉันด้านไหน?”

ฉีเล่ยยิ้มเล็กน้อยพร้อมตอบกลับทันที

“มีคนบอกว่า คุณชำนาญด้านการฝังเข็มที่สุด งั้นเราก็มาประลองทักษะการฝังเข็มกันดีกว่า”

“นายสามารถเลือกประลองด้านอื่นได้นะ รู้ใช่ไหม?”

เป่ยจ้าวหยวนเบะปากเย้ยหยันพลางคิดอยู่ภายในใจว่า ถ้าเลือกที่จะประลองทักษะการฝังเข็มกับเขา อีกฝ่ายย่อมต้องแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มประลองด้วยซ้ำ นี่ถึงกับเลือกวิธีประลองซึ่งคู่แข่งถนัดที่สุดอย่างนั้นเหรอ?

ช่างยโสโอหังซะจริงๆ!

การที่เขาเอ่ยเตือนฉีเล่ยออกไปแบบนั้นก็เพราะว่า ใจหนึ่งยังพอหลงเหลือความเมตตาอยู่บ้าง ส่วนอีกใจก็เพื่อเน้นย้ำถึงจุดแข็งของตนเองให้คู่ต่อสู้เป็นประจักษ์ยิ่งขึ้น

นอกจากเรื่องฝังเข็มแล้ว เป่ยจ้าวหยวนยังมีความชำนาญในด้านการนวดกดจุดสำหรับการกายภาพบำบัด และการวินิจฉัยสั่งยาอีกด้วย เรียกได้ว่าเขาคือแพทย์แผนจีนอัจฉริยะที่เก่งรอบด้านเลยทีเดียว

แต่ฉีเล่ยกลับกล่าวตอบด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูเหนือชั้นกว่าว่า

“ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรอกครับ เพราะการที่จะโค่นคนอย่างคุณให้สิ้นซาก จำเป็นต้องทำลายสิ่งที่ตัวคุณมั่นใจที่สุดทิ้งไป”

“เห้ย! นี่มันจะมากไปแล้วนะ! ปากเก่งสันดานหยาบช้าแบบนี้ แกเอาชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ได้ยังไง? ต้องหน้าด้านขนาดไหนถึงกล้าเอาตัวเองไปเทียบกับอาจารย์ของพวกเรา? อวดดีเกินแล้ว!”

“นั่นน่ะสิ! ยังไม่ทันจะได้เริ่มต้นประลองด้วยซ้ำ รู้ได้ยังไงว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายชนะ? ดูพูดเข้าสิหน้าไม่อาย! ฉันตราหน้าแกไว้เลยก็ได้ว่า ฝีมือของแกไม่ได้ขี้เล็บของอาจารย์ฉันด้วยซ้ำ!”

“ระยะหลังมานี้มีพวกมือใหม่อวดเก่งมีเยอะมากจริงๆ ประลองกับพวกเรายังไม่มีโอกาสจะชนะด้วยซ้ำไป ไม่จำเป็นต้องถึงมืออาจารย์ของเราหรอก!”

ไม่จำเป็นต้องให้เป่ยจ้าวหยวนออกโรงตอบโต้กลับด้วยตัวเอง เพราะมีเหล่าลูกศิษย์แสนเชื่องพวกนี้คอยจัดการโต้แทนเสร็จสรรพ คำพูดของแต่ละคนบ่งบอกถึงความจองหองอวดดีอย่างมาก

สันดานอาจารย์เป็นยังไง สันดานลูกศิษย์ก็ไม่ต่างกันเลย…

เมื่อพบเจอคนปากร้ายแบบนี้เข้า ฉีเล่ยก็ได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ได้โทรเรียกเหอจื่อกับเพื่อนๆให้มาที่นี่ด้วย รับรองได้ว่าคงต้องปะทะฝีปากกันมันแน่ และลูกศิษย์ของเขาคงจะสามารถปิดปากคนพวกนี้ให้เลิกเห่าได้อยู่หมัดแน่

เป่ยจ้าวหยวนรู้สึกเบื่อหน่ายกับความเย่อหยิ่งของฉีเล่ยเต็มทน เขาได้แต่ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ทุกคนพูดต่อ เพราะยิ่งพูดมากเท่าไหร่ คำพูดคำจาของลูกศิษย์เขาก็จะยิ่งหยาบคายมากขึ้นเรื่อยๆ

“เลิกพูดไร้สาระกันได้แล้ว มาเริ่มประลองกันเลยดีกว่า ฉันจะแสดงให้เห็นเองว่า การฝังเข็มที่แท้จริงคืออะไร!”

เป่ยจ้าวหยวนเดินตรงไปหาชายร่างเตี้ย และเอ่ยปากถามอย่างเป็นกันเองด้วยสีหน้าท่าทางสบายๆเป็นกันเอง

“ว่าไงสุดหล่อ เราเป็นอะไรมาล่ะ?”

ชายร่างเตี้ยเอ่ยปากตอบด้วยท่าทีเก้อเขินเล็กน้อยว่า

“ผมปวดตั้งแต่เอวลามไปถึงช่วงเข่าเลยครับหมอเป่ย เมื่อวันก่อนหมอเพิ่งตรวจวินิจฉัยให้ และวันนี้ก็นัดให้ผมมาฝังเข็มครับ!”

เป่ยจ้าวหยวนพยักหน้าตอบ และหันไปเปิดกล่องเข็มกางออกมา ขณะเดียวกันก็ค่อยๆยื่นมือไปหยิบเข็มขนาด2.5นิ้วขึ้นมา เขาทำการฆ่าเชื้อเช็ดล้างด้วยแอลกอฮอล์อย่างคล่องแคล่ว มือซ้ายจับเข็ม ในขณะที่มือขวาค่อยๆคลึงคมเข็มโดยอาศัยนิ้วทั้งสอง

“ถอดเสื้อออกเลยครับ”

เป่ยจ้าวหยวนกล่าวบอกคนไข้

หลังจากที่ชายคนนั้นเห็นเป่ยจ้าวหยวนถือเข็มยาวอยู่ในมือ สีหน้าของเขาพลันซีดขาวลงทันที พร้อมกับเอ่ยถามเสียงเบาว่า

“หมอเป่ยครับ มันจะเจ็บไหมครับนี่?”

เป่ยจ้าวหยวนยิ้มพร้อมปลอบโยนไปว่า

“ในเมื่อมาหาหมอแล้ว หลังจากนี้ก็ขอเพียงแค่ต้องเชื่อใจในความสามารถของผมเท่านั้นครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเป่ยจ้าวหยวน ชายร่างเตี้ยก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงได้ถอดเสื้อเชิ้ตสีเงินราคาแพงออก ชายคนนี้ก็เป็นหนึ่งในบรรดาเศรษฐีมีเงินที่เดินทางมารักษากับเป่ยจ้าวหยวนนั่นเอง

จากนั้น เป่ยจ้าวหยวนจึงได้ร้องสั่งว่า

“นอนคว่ำหน้าลงเลยครับ หลับตาลงทำใจให้สบายผ่อนคลาย”

เป่ยจ้าวหยวนสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับใช้เข็ม2.5นิ้วในมือกดลงบริเวณแผ่นหลังด้านล่าง ก่อนใช้นิ้วดีดเข็มเล่มนั้นให้เกิดการสั่นสะเทือนส่งเป็นคลื่นแผ่ออกไปเบาๆ และเริ่มออกแรงดันตัวเข็มเข้าไปอย่างราบรื่น

ชายร่างเตี้ยยังคงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนหรือสะดุ้งใดๆ ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงสนิทราวกับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดสักนิดแม้จะถูกแทงเข็มลงไปแล้วก็ตาม

เมื่อเห็นเคล็ดวิชาการฝังเข็มของเป่ยจ้าวหยวน ดวงตาของฉีเล่ยพลันเปล่งประกายสุกไสวขึ้นมาทันทีพร้อมเอ่ยขึ้นว่า

“โอ้? เคล็ดวิชาเข็มห้าตะวัน? ผมคิดไม่ถึงเลยนะว่า คุณจะใช้เคล็ดวิชาแบบนี้เป็นด้วย?”

ทันทีที่ยอดฝีมือเคลื่อนไหว ยอดฝีมือด้วยกันย่อมดูออกในทันที

เคล็ดวิชาเข็มห้าตะวันเป็นวรยุทธ์การแพทย์โบราณที่มีกระบวนท่าค่อนข้างลึกล้ำอย่างมาก ซึ่งเคล็ดวิชาดังกล่าวถูกแบ่งออกเป็นสองชุด วิชาเข็มห้าตะวันจะใช้เฉพาะกับเพศชายเท่านั้น ในขณะที่เคล็ดวิชาเข็มห้าจันทราจะใช้เฉพาะกับเพศหญิงเช่นกัน ในประวัติศาสตร์เองมีจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร เคล็ดวิชาดังกล่าวได้รับการสืบทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง และมีทายาทผู้สืบทอดวิชากันต่อๆมาจากรุ่นสู่รุ่นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เคล็ดวิชาดังกล่าวยังไม่หายสาบสูญไป

วิชาเข็มห้าตะวันเป็นทักษะที่ใช้กับเฉพาะส่วน ซึ่งอานุภาพของมันคือช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณเอว หมอนรองกระดูก ไต และโรคอื่นๆที่เกิดตั้งแต่ช่วงเอวลงมา

ที่เคล็ดวิชานี้ได้ชื่อว่าวิชาเข็มห้าตะวันก็เนื่องด้วย องค์ประกอบของวิชานี้มีทั้งหมดห้าจุด หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ห้าด่านประตู

เฟยเมิ่ง, เยวี่ยหยินเมิ่ง, เซิงเมิ่ง, ซานเจียวเมิ่ง และต้าเฉินซูเมิ่ง หากผู้ใช้เคล็ดวิชาดังกล่าวมีความชำนาญอยู่ในระดับสูง การรักษาด้วยวิชานี้เพียงแค่ครั้งเดียว ก็สามารถช่วยให้คนไข้หายขาดจากโรคที่เป็นอยู่ได้ในทันที

ทักษะที่เป่ยจ้าวหยวนกำลังใช้อยู่คือวิชาห้าเข็มตะวัน เหตุผลที่เลือกใช้วิชานี้คงเพราะได้ยินคนไข้บอกว่า ตนเองปวดบริเวณเอวไปจนถึงหัวเข่า แต่ละเข็มถูกกดลงผ่านชั้นผิวหนังเข้าสกัดจุดกล้ามเนื้อได้อย่างแม่นยำและพลิ้วไหว แม้แต่ฉีเล่ยที่เฝ้าสังเกตดูอยู่ตลอดเวลา ยังไม่สามารถค้นหาจุดบกพร่องได้เลยแม้แต่น้อย

ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไปมาก

ฉีเล่ยแอบคิดกับตัวเอง

เมื่อเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่รอบข้างได้ยินฉีเล่ยเอ่ยปากชื่นชมอาจารย์ของพวกตน ทุกคนต่างเผยแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาให้เห็นทันที

“ตอนนี้แกคงรู้แล้วสินะว่า อาจารย์ของพวกเราเก่งแค่ไหน? เมื่อเทียบกับชื่อเสียงอันโด่งดังของเขาแล้ว รู้สึกยังไงบ้างล่ะ? เหมือนตัวเองดูโง่ไปถนัดตาเลยสินะ? ฮ่าฮ่าๆ…”

“คงทุเรศตัวเองใช่ไหมล่ะที่กล้าพูดจาแบบนั้นออกมาก่อนหน้านี้? คนโง่ก็คือคนโง่วันยังค่ำ”

“ทักษะทางการแพทย์มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีปาก หรือการพูดจาข่มคนอื่น ตอนนี้คงรู้แล้วสินะว่า ระหว่างแกกับอาจารย์ของพวกเราแตกต่างกันขนาดไหน? มันคนละชั้น”

ฉีเล่ยปรายหางตามองกลุ่มลูกศิษย์พวกนั้นเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามยิ้มๆ

“อาจารย์ของพวกคุณสอนให้รักษาคนหรือสอนให้เห่าเป็น? ทำไมถึงได้เห่าเก่งกันจังครับ?”

“แก…”

บรรดาลูกศิษย์พวกนั้นต่างก็พากันโมโหเดือดดาลอย่างมาก พวกเขาแทบอยากจะตะคอกใส่หน้าอีกฝ่ายสวนกลับไป แต่เนื่องจากตอนนี้อาจารย์ของพวกเขากำลังรักษาคนไข้อยู่ จึงทำได้เพียงแค่อดทนอดกลั้นเอาไว้เท่านั้น

บังเอิญว่าเป่ยจ้าวหยวนได้ยินคำพูดของฉีเล่ยเข้าพอดี ทำให้เขาโกรธมากจนมือซ้ายของเขาสั่นเทาโดยไม่ตั้งใจ แต่ก็ยังพยายามข่มใจให้สงบลง ถึงอย่างนั้นปลายนิ้วก็ลงน้ำหนักออกแรงดันเข็มเข้าไปด้วยความกังวล

แล้วจู่ๆชายร่างเตี้ยที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างสบายนั้น พลันสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันที พร้อมกับร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดออกมา

“อ๊ะ!”

เป่ยจ้าวหยวนรีบยกมือขวาเข้ามากุมไว้ทันที และบังคับตนเองให้สงบจิตสงบใจลงโดยเร็วที่สุด เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“อย่าขยับ เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้วครับ”

หลังจากปรับทิศทางของเข็มให้เบี่ยงออกไปเล็กน้อยได้แล้ว ความเจ็บปวดเหล่านั้นก็พลันจางคลายผ่านออกจากร่างกายโดยทันที ชายร่างเตี้ยไม่ได้พูดอะไร และหลับตาทั้งสองข้างดังเดิมอย่างสงบเงียบงัน

แม้จะเป็นชั่วเวลาเพียงแค่อึดใจเดียว แต่ฉีเล่ยก็สามารถสังเกตเห็นข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงของอีกฝ่ายได้ทันที

วิชาเข็มห้าตะวันนั้น ผู้ใดที่คิดหยิบใช้เคล็ดวิชาดังกล่าวจำเป็นต้องมีความมั่นใจในทักษะฝีมืออย่างแท้จริง เพราะมันคือการแทงเข็มลงไปเพื่อปรับสภาพและควบคุมพลังฉีในเส้นลมปราณให้เป็นกลาง

เป่ยจ้าวหยวนมีความกล้าและมั่นใจพอที่จะตัดสินใจใช้เคล็ดวิชานี้ แต่เพียงเสี้ยวอารมณ์เดียวที่กวัดแกว่งออกไป ทำให้ด่านประตูที่สามอย่างเซิงเมิ่งเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่แพทย์แผนจีนทุกคนพึงมีก็คือ เสถียรภาพของอารมณ์ หากไม่สามารถปรับจิตใจให้สงบนิ่งได้ ก็ไม่สามารถฝังเข็มตามจุดที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ สิ่งนี้จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์เพื่อลดทอนความประหม่าตื่นเต้น และการฝึกสมาธิเข้าญาณสำหรับการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม จิตใจของเป่ยจ้าวหยวนยังไม่สงบนิ่งพอ

ฉีเล่ยส่ายหัวไปมาอย่างช้าๆ ปัจจัยทั้งสามสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ทักษะ ความกล้า และจิตใจที่แน่วแน่ ในเวลานี้ดูเหมือนว่าเป่ยจ้าวหยวนสามารถบรรลุได้เพียงแค่สองข้อเท่านั้น

พลาดแล้ว! ดูเหมือนว่าวันนี้ฉีเล่ยจะได้แผ่นป้ายประจำตระกูลเป่ยไปครองเสียแล้ว

เป่ยจ้าวหยวนเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่า ตนได้ก่อปัญหาขึ้นเสียแล้วเนื่องจากอารมณ์ที่ไม่สงบนิ่งมากพอ จนอดที่จะหันมองกลับไปทางด้านหลังของตนเองไม่ได้ และเมื่อหันไปจึงได้พบว่า ฉีเล่ยกำลังส่ายหน้าไปมาคล้ายตำหนิติเตียนตนเองอยู่ และนั่นยิ่งทำให้ไฟโทสะในใจของเขาโหมปะทุมากยิ่งขึ้น

กล้าวิพากษ์วิจารณ์ทักษะการฝังเข็มของฉันเชียวเหรอ?!

ปลายเข็มยังฝังลึกอยู่ในชั้นกล้ามเนื้อ พลางคิดในใจว่า

‘รอก่อนเถอะ! หลังจากนี้จะได้เห็นทักษะการฝังเข็มที่เหนือชั้นกว่านี้อีก!’

เป่ยจ้าวหยวนเรียนรู้จากประสบการณ์และบทเรียนความผิดพลาดก่อนหน้าไปแล้ว และตอนนี้เขาจะพยายามทำผิดพลาดให้น้อยที่สุด ขณะลงเข็มก็เฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของผู้ป่วยเป็นระยะ และยังดำเนินการรักษาต่อไปเรื่อยๆ

การฝังเข็มด้วยวิชาเข็มห้าตะวัน โดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาลงเข็มเฉลี่ยนานกว่าเทคนิคการฝังเข็มทั่วไป ซึ่งโดยปกติการฝังเข็มทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ30นาที

เวลาผ่านไป ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เข็มบนมือของเป่ยจ้าวหยวนด้วยความตั้งอกตั้งใจ แม้แต่คนไข้คนอื่นๆเองที่นั่งรออยู่บนโซฟายังอดที่จะแอบมองทักษะการฝังเข็มของเขาด้วยความรู้สึกชื่นชมไม่ได้

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset