ตอนที่143 รักษาในชั่วอึดใจ!
การฝังเข็มก็เปรียบเสมือนศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่ง หรือก็คือแก่นสารแห่งวัฒนธรรมจีน ชาวจีนทุกคนล้วนมีความใฝ่ฝันและกระตือรือร้นที่จะศึกษาศาสตร์ทั้งสองแขนงนี้กันทั้งนั้น
สายเลือดของพวกเขาตั้งแต่ยุคบรรพกาลยังคงไหลเวียนไม่จางหาย จึงติดนิสัยชอบสำรวจเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ หรือจะในศัพท์ปัจจุบันจะเรียกว่า การใช้จิตวิทยาเข้ามาเป็นองค์ประกอบเพื่อกำกับร่างกายและจิตใจ ยกตัวอย่างเช่น คงจะเคยได้ยินเรื่องที่คนถูกกาน้ำร้อนลวกจนเป็นแผลพุพอง ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น กาน้ำร้อนกลับไม่ได้ร้อนแต่อย่างใด บาดแผลทั้งหมดล้วนเกิดจากความคิดและจิตใจทั้งสิ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อร่างกายจนเกิดอาการบาดเจ็บจริงๆ
การฝังเข็มเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง เป็นการรักษาโรคร้ายโดยไม่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยา ใช้เพียงแค่แท่งด้วยเข็มเล่มบางแทงเข้าไปยังจุดสำคัญที่เป็นต้นสายปลายเหตุของโรคเท่านั้น เชื่อหรือไม่ว่า กระบวนการรักษาเพียงแค่นี้ ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคภัยได้เลย แล้วมีใครบ้างที่จะไม่รู้สึกตื่นเต้นและสนใจกับเรื่องพวกนี้?
ผ่านไปหนึ่งราวชั่วโมง ในที่สุดกระบวนการรักษาก็ได้เสร็จสิ้นลง เป่ยจ้าวหยวนยกมือทั้งสองข้างขึ้น และค่อยๆถอนคมเข็มทั้งห้าออกมาอย่างระมัดระวัง
เป่ยจ้าวหยวนปาดเหงื่อบนหน้าผากเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า
“ใส่เสื้อกลับได้แล้วครับ”
ในช่วงเวลานี้ คนไข้ที่เพิ่งเข้ารับการฝังเข็มไป จุดด่านประตูทั้งห้าทั่วแผ่นหลังยังไม่ปิดสนิทดี จึงกล่าวได้ว่าช่วงระยะเวลานี้ คนไข้มีโอกาสเสี่ยงที่จะรับลมธาตุหยินเข้าไปได้ง่าย
เป่ยจ้าวหยวนจึงเตรียมชาร้อนมาให้เขาจิบ เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย พร้อมกับเอ่ยถามคนไข้ของเขาว่า
“ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ?”
ชายร่างเตี้ยลุกขึ้นยืนพลางบิดเอวเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ไม่รู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อครู่แล้วครับ”
“เอาล่ะ คราวนี้ก็ลองลุกขึ้นยืนดูครับ ไม่ต้องกลัวนะ ขอแค่ระยะนี้ไม่ออกกำลังกายหนัก ก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติแล้วครับ”
ชายร่างเตี้ยลุกขึ้นยืนแล้วลองเดินไปมารอบห้องอยู่สักพัก เขาถึงกับร้องอุทานออกมาเสียงดัง
“สุดยอดเลยครับหมอ! เอวของผมหายปวดแล้ว เข่าก็ด้วย! นี่มันน่าทึ่งจริงๆ! แล้วไม่ใช่แค่ไม่รู้สึกเจ็บเท่านั้นนะครับ แต่ผมยังรู้สึกกระปี้ประเปร่าขึ้นเยอะเลย! หมอเป่ยครับ คุณนี่มันยังกับเซียนมาจุติเลยนะครับเนี่ย!”
สำหรับโรคแบบนี้ โดยปกติเป่ยจ้าวหยวนจะมีแผนรักษาแบบระยะยาว พูดง่ายๆก็คือเลี้ยงไข้นั่นเอง เพื่อจะได้ยืดเวลาการรักษาและหาผลประโยชน์เพิ่มนั่นเอง ในขณะเดียวกัน คนไข้ก็จะรู้สึกว่าตนเป็นโรคที่รักษาให้ขาดได้ยาก ดังนั้นไม่เพียงจะได้เงินเพิ่ม แต่เขายังได้ชื่อเสียงมากขึ้นอีกด้วยหลังจากที่ทำการรักษาคนไข้พวกนี้จนหายขาด
แต่วันนี้แตกต่างกันออกไป เขาจำเป็นต้องแสดงใช้ทักษะการแพทย์ที่ล้ำเลิศที่สุดออกมาต่อหน้าฉีเล่ย โชคดีที่คนไข้ของเขาเป็นชายร่างเตี้ยคนนี้พอดี เขาเคยวินิจฉัยโรคให้ก่อนหน้านี้จึงได้รู้รายละเอียดของอาการเป็นอย่างดีแล้ว
“ในช่วงสามวันนี้ พยายามลดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนนะครับ ไม่แนะนำให้ออกกำลังกายหนักอย่างเช่นการไปฟิตเนส หลังจากนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะครับ”
ชายร่างเตี้ยคนนั้นรีบกล่าวขอบคุณหมอเป่ยทันที
“ขอบคุณมากครับหมอเป่ย ขอบคุณมากจริงๆครับ”
ในฐานะผู้ชายด้วยกัน เป่ยจ้าวหยวนกล้ามากพอที่จะพูดเรื่องบนเตียงออกไปตรงๆแบบนั้น และทันทีที่การรักษาเสร็จสิ้น ทุกคนต่างปรบมือให้ด้วยความชื่นชม
เป่ยจ้าวหยวนดูพึงพอใจอย่างมากกับผลลัพธ์ที่ได้ เขาหันหลังกลับไปมองฉีเล่ยพร้อมกับพูดจาเสียดสีเหน็บแนม
“หมอฉี ตอนนี้พวกเราจะเป็นฝ่ายขอรับชมทักษะการแพทย์ที่ล้ำเลิศของคุณบ้างแล้วล่ะครับ? ผมจะให้คุณยืมใช้เข็มเงินแรกอรุณที่ผมใช้เป็นประจำก็แล้วกัน”
ฉีเล่ยไม่ได้เอ่ยตอบกลับไปในทันที เขาจัดการพับแขนเสื้อของตัวเองขึ้น พร้อมกับหันไปบอกลูกศิษย์ของเป่ยจ้าวหยวนว่า
“ขอเข็มกล่องใหม่ ผมไม่อยากใช้ของร่วมกับคนอื่น”
อันที่จริงแล้ว ฉีเล่ยเองก็มีเข็มทองหางหงส์พกติดตัวอยู่เสมอ แต่เข็มนั่นมีค่าเกินกว่าที่จะหยิบออกมาอวดพวกปลายแถวแบบนี้
คำพูดของฉีเล่ยทำให้เป่ยจ้าวหยวนและบรรดาลูกศิษย์ถึงกับใบหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที
‘ผมไม่ใช้ของร่วมกับคนอื่น’
เจตนาชัดเจนว่า อีกฝ่ายกำลังดูถูกเป่ยจ้าวหยวน
แต่เพื่อให้อีกฝ่ายได้แสดงฝีมือการฝังเข็มออกมาให้เห็นโดยเร็ว เป่ยจ้าวหยวนจึงได้ขยิบตาให้ลูกศิษย์คนหนึ่งวิ่งไปหยิบเข็มกล่องใหม่มาให้ ลูกศิษย์คนนั้นวิ่งออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะกลับมาพร้อมยื่นกล่องเข็มให้กับฉีเล่ย
ฉีเล่ยยื่นมืออกไปรับ จากนั้นจึงได้เปิดกล่องหยิบเอาเข็มขนาดเจ็ดนิ้วขึ้นมาทันที
หลังจากทำการฆ่าเชื้อเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปหาชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว พร้อมกับร้องบอกไปตามตรงว่า
“ผิวพรรณค่อนข้างซีดเซียว คงจะท้องผูกติดต่อกันอย่างน้อยเจ็ดวันแล้วใช่ไหมครับ? เอาล่ะ ถอดเสื้อออกแล้วนอนลงได้เลย”
ไม่มีการพูดคุยหรือสอบถามอาการความเป็นมาของคนไข้แต่อย่างใด แต่ฉีเล่ยก็สามารถบอกอาการของคนไข้ และวินิจฉัยโรคของเขาได้โดยเพียงแค่สังเกตสีหน้าและร่างกาย หากมีปรมาจารย์แพทย์แผนจีนอยู่ตรงนี้ พวกเขาเหล่านั้นคงให้คำตอบได้ทันทีว่า ทักษะทางการแพทย์ของฉีเล่ยเหนือกว่าเป่ยจ้าวหยวนมาก
“แล้วรักษาได้ไหมครับ? อันที่จริงผมมาหาหมอเป่ย…”
ชายหนุ่มคนนั้นเห็นว่า ชุดเสื้อผ้าที่ฉีเล่ยสวมใส่อยู่ดูเป็นนักธุรกิจมากกว่าจะเป็นหมอรักษาคนไข้ มิหนำซ้ำยังไม่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตามาก่อนด้วย จึงรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะใช่หมอของคลินิกตระกูลเป่ยแน่ และที่สำคัญ อีกฝ่ายดูเหมือนจะอายุอานามไล่เลี่ยกับตนเอง และยังดูเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นอยู่เลย
ฉีเล่ยได้แต่ยิ้มและตอบกลับไปว่า
“เขาไม่เก่งเท่าผมหรอกน่า”
บางทีชายหนุ่มคนนี้อาจจะติดเชื้อบ้ามาจากรอยยิ้มของฉีเล่ย ประกอบกับการที่ฉีเล่ยสามารถวินิจฉัยอาการของเขาได้เพียงแค่มองด้วยตา จึงได้แต่พยักหน้าและตอบกลับไปว่า
“เอาล่ะ ผมจะยอมเป็นหนูทดลองให้คุณหมอก็ได้ แต่อย่าให้เจ็บมากล่ะครับ”
ฉีเล่ยตบไหล่คนไข้ไปหนึ่งที เขาพยายามทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็สบายใจมากขึ้น
“ไม่ต้องห่วง”
หลังที่ชายหนุ่มถอดเสื้อเชิ้ตออกและนอนคว่ำหน้าบนเตียงแล้ว ฉีเล่ยก็เริ่มใช้คมเข็มเล่มยาวแทงเข้าไปยังจุดซานยิน ฉีไห่ และกวนหยวนโดยใช้สามเข็มทิ่มทะลวงติดต่อกัน!
จุดที่สี่ จุดที่ห้า จุดที่หก….
หลังจากฝังเข็มตามจุดบนทรวงไปกว่าสิบเข็มติดต่อกันด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าเสร็จแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ครบกำหนด ฉีเล่ยจึงได้จัดการหมุนเข็มเบาๆ พร้อมถอนออกอย่างชำนิชำนาญ
เมื่อถอนเข็มออกจนหมดและเก็บเข้ากล่องดังเดิมแล้ว ฉีเล่ยจึงได้บอกกับคนไข้อย่างใจเย็นว่า
“เอาล่ะ ใส่เสื้อกลับได้แล้ว”
ชายหนุ่มคนนั้นได้แต่เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า
“เสร็จแล้วเหรอครับหมอ? ผมยังไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย?”
แต่ฉีเล่ยกลับไม่ปริปากตอบแต่อย่างใด ในเวลานี้เองจู่ๆเขาก็หยิบผ้าปิดปากขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงแจกจ่ายให้กับคนไข้คนอื่นๆที่อยู่ภายในห้องด้วย ปากก็พึมพำออกมาว่า
“3..2..1…”
ปู๊ดดดด!
ก่อนที่ฉีเล่ยจะนับถอยหลังเสร็จสิ้นดี จู่ๆก็มีเสียงตดดังลั่นไปทั่วห้อง ชั่วขณะนั้นเองใบหน้าของชายหนุ่มพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม รีบกระโดดลงจากเตียง สับฝีเท้าวิ่งเข้าห้องน้ำไปในสภาพที่ยังไม่ใส่เสื้อทันที
ในเวลานี้ ภายในห้องตรวจราวกับว่ามีคนทิ้งระเบิดชีวภาพชุดใหญ่ลงกลางฝูงชน ทุกคนรีบใส่ผ้าปิดปากที่ฉีเล่ยแจกให้ทันที เพราะเกรงว่า หากต้องทนสูดดมกลิ่นเหม็นเน่าไปนานกว่านี้ พวกเขาอาจจะเป็นลมหมดสติก่อนจะได้รักษากันพอดี กลิ่นตดของชายหนุ่มคนเมื่อครู่มีอานุภาพรุนแรงราวกับไข่เน่าพันปีเลยทีเดียว
โชคยังดีที่ในหมู่ลูกศิษย์ของเป่ยจ้าวหยวนยังพอมีคนฉลาดอยู่บ้าง พวกเขารีบวิ่งออกไปเปิดหน้าต่างทุกบานภายในห้อง เพื่อระบายกลิ่นเหม็นเน่านั้นออกไป
หลังจากเปิดให้ลมโกรกอยู่ประมาณ2-3นาที สภาพภายในห้องตรวจจึงดีขึ้นมาก ฉีเล่ยเดินไปหาชายอีกคนที่นั่งรออยู่บนโซฟา พลางหยิบเข็มอีกเล่มขึ้นมาจากกล่อง ขณะที่กำลังฆ่าเชื้อเข็มดังกล่าว เขาก็กล่าวขึ้นว่า
“องศาการวางคอเอียงไปทางซ้ายประมาณสามถึงสี่องศา น่าจะเกิดจากอาการคอเคล็ด”
พูดจบ ฉีเล่ยนก็แทงเข็มในมือลงไปบนจุดต้าจุยและเจียนเจียงทั้งสองจุดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ถอนเข็มหนึ่งออกมา พลางหยิบเข็มใหม่อีกเล่มทะลวงเข้าจุดเฟิงจี้ ใช้หัวแม่มือคลึงบริเวณต้นคอเล็กน้อยเพื่อคลายกล้ามเนื้อ ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า
“เรียบร้อย”
ฉีเล่ยยังคงรักษาอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เริ่มกระบวนการรักษาจนเสร็จสิ้น ล้วนกินเวลาเพียงแค่อึดใจเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีท่าทีลังเลปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ในชั่วพริบตาเดียว คนไข้ทั้งแปดคนที่กำลังนั่งรอการรักษาจากเป่ยจ้าวหยวนอยู่นั้น ก็ล้วนได้รับการรักษาจากฉีเล่ยจนหายขาด!
หรือพูดง่ายๆก็คือว่า ฉีเล่ยใช้เวลารักษาคนไข้แปดคนจนหายดี ยังไม่นานเท่ากับเป่ยจ้าวหยวนที่ทำการฝังเข็มคนไข้เพียงหนึ่งคน!
“มีวิธีรักษาแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“นี่ได้ฝังเข็มจริงๆรึเปล่าเถอะ?”
“เผลอๆปลายเข็มยังไม่แทงเข้าผิวหนังเลยมั้ง? คนไข้พวกนี้จะไม่เป็นอะไรจริงๆน่ะเหรอ?”
ฉีเล่ยบรรจงฆ่าเชื้อทำความสะอาดแต่ละคมเข็มก่อนจะเก็บเข็มเหล่านั้นกลับลงกล่องไป เขายักไหล่เอ่ยตอบอย่างไม่แยแสว่า
“จะได้ผลหรือเปล่า ก็ลองถามคนไข้เองสิ”
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มที่ก่อนหน้าเพิ่งสับฝีเท้าวิ่งตรงไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วนั้น ตอนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่หน้าประตูห้องตรวจ เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขใจ
“สุดยอดไปเลย! สุดยอดจริงๆครับหมอ! ผมไม่เคยมีความสุขเท่าวันนี้มาก่อนเลย…”
ดูท่าของเสียที่ค้างคาอยู่ในลำไส้กว่าหนึ่งอาทิตย์ คงจะถูกปลดปล่อยจนหมดไส้หมดพุงแล้ว
“โอ้? เหลือเชื่อ! คอ…คอของฉันหายเคล็ดแล้ว ไม่เจ็บเลยแฮะ”
ฉีเล่ยเหลือบมองเป่ยจ้าวหยวนเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า
“ว่าไง? เห็นกับตารึยัง….ทักษะการแพทย์ที่ล้ำเลิศของผม?”
เป่ยจ้าวหยวนบ่นพึมพำกับตัวเองเสียงอ่อน
“นี่…นี่เท่ากับเสมอกัน…”
“อาจารย์ หมอนี่ควรด้อยกว่าอาจารย์ไม่ใช่เหรอ? อาจารย์ใช้เวลาฝังเข็มเกือบชั่วโมงต่อคน แต่เขากลับใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีต่อคนไข้แปดคน…”
“ใช่แล้ว! นี่มันเรื่องอะไรกัน…”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของบรรดาลูกศิษย์เข้า ใบหน้าของเป่ยจ้าวหยวนพลันเปลี่ยนเป็นถมึงทึงทันที พร้อมกับตะคอกลั่นด้วยความหงุดหงิดรำคาญ
“หุบปาก!”
ลูกศิษย์ทั้งหมดของเป่ยจ้าวหยวนได้แต่หุบปากเงียบอย่างว่าง่าย และไม่มีใครกล้าพูดจาเพ้อเจ้ออีกเลย
ฉีเล่ยเขย่ากล่องเข็มในมือพลางหรี่ตามองเป่ยจ้าวหยวน
“คิดว่าเราเสมอกันจริงๆงั้นเหรอ?”