ตอนที่144 ให้ราคา
สมแล้วที่เป่ยจ้าวหยวนได้ชื่อว่าเป็น‘เข็มเทวะ’ เขาเป็นแพทย์คนหนึ่งที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและสายตาที่เฉียบคม เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ด้วยความเร็วในการลงเข็มและลักษณะการทิ้งน้ำหนักสกัดจุดแบบนั้น ล้วนไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดาทั่วไป
แม้ทักษะการฝังเข็มแบบนี้จะดูเรียบง่าย แต่อันที่จริงแล้วมันคือ‘วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์’ เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่หายสาบสูญไปจากวงการแพทย์แผนจีนมาอย่างช้านานแล้ว
วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ คือการทะลวงจุดเส้นลมปราณที่สำคัญทั้งสามโดยใช้เทคนิคที่แตกต่างกันไป มีชื่อเรียกเฉพาะว่า เข็มหยกปาฏิหาริย์, เข็มเหนือฟ้าปาฏิหาริย์ และเข็มไพศาลปาฏิหาริย์
วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ มีสรรพคุณในการมอบความอ่อนวัยให้แก่อายุกระดูกและชำระล้างความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ โดยทั่วไปเหล่าปรมาจารย์แพทย์จีนจะเลือกใช้วิชานี้กับผู้ป่วยที่มีการการบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นหลัก ซึ่งผลการรักษาค่อนข้างมหัศจรรย์เลยทีเดียว
ในบันทึกโบราณมีระบุไว้ว่า วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ยังมีอานุภาพในการขจัดคาบตะกอน รักษาไอเย็นแทรกซ้อนภายในร่างกาย ช่วยปรับสมดุลหยินหยางให้เสถียร
ถือเป็นหนึ่งในวิชาแพทย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ยังมีบันทึกอีกหลายฉบับที่เพิ่งกู้คืนข้อมูลด้วยกระบวนการทางโบราณคดีมาได้ ในบันทึกเหล่านั้นกล่าวไว้ว่า วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์เหมาะที่จะใช้กับผู้บำเพ็ญเพียรได้รับบาดเจ็บภายใน เนื่องด้วย อาการเจ็บป่วยจากธาตุทั้งห้าในร่างกายไร้เสถียรก็ดี จากเส้นลมปราณได้รับความเสียหายก็ดี
ตลอดประวัติศาสตร์จีนกว่าห้าพันปี แพทย์รุ่นบรรพบุรุษมากมายต่างคิดค้นเคล็ดวิชาทางการแพทย์ออกมาหลากหลาย เพื่อใช้รับมือกับโรคภัยที่พิศวงมากขึ้นทุกวัน ระดมใช้สติปัญญาทั้งหมดที่ตนมีจนตกผลึกกลายมาเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาดีๆสักวิชา
แต่น่าเสียดาย บนหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน ได้มีการเปลี่ยนถ่ายราชวงศ์ขึ้นครองบัลลังก์อยู่บ่อยครั้ง ควบคู่กับศาสตร์แพทย์แผนจีนที่ค่อยๆตกต่ำลง ส่งผลให้ศาสตร์แห่งการรักษาที่อยู่คู่บุญกับแผ่นดินจีน เหลือกลายมาเป็นเพียงแค่‘วัฒนธรรม’เท่านั้น
นอกจากวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์แล้วก็ยังมี วิชาเข็มเทพจักรพรรดิ วิชาเก้าเข็มแห่งฝูซี วิชาสิบสามคมเข็มแห่งนิกายภูติจุติ และอื่นๆอีกมากมาย คนรุ่นหลังโดยส่วนใหญ่ได้ยินเพียงแค่ชื่อเสียงเรียงนาม แต่ไม่ทราบเลยว่าของจริงเป็นอย่างไร
และทักษะที่ฉีเล่ยแสดงให้ดูในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็น‘วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์’ ผนวกกับ‘วิชาเข็มปราณสวรรค์’อีกเล็กน้อย
จะว่าไปแล้ว เป่ยจ้าวหยวนไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่า วิชาอันน่าเหลือเชื่อแบบนี้จะมีอยู่จริงบนโลก ถ้าไม่เห็นด้วยตาในวันนี้เขาคงจะไม่มีวันเชื่อไปชั่วชีวิต แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังพอมีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดตระกูลปรมาจารย์แพทย์แผนจีนอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายเลือดของบรรพบุรุษตระกูลเป่ยยังไหลเวียนอยู่หรืออย่างไร เขาถึงมองออกได้ทันทีที่เห็นฉีเล่ยสำแดงใช้เคล็ดวิชาเหล่านั้น
แทบไม่ต้องพูดถึงการประลองในครั้งนี้เลยด้วยซ้ำ ใครแพ้หรือชนะกลับไม่มีความหมายต่อเขาอีกแล้ว
ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ เป่ยจ้าวหยวนกล่าวน้ำเสียงหม่น สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“นายชนะแล้ว”
ทั้งความรู้สึกสงสัย สำนึกผิด เหลือเชื่อ หลากหลายความรู้สึกมากมายได้ถาโถมเข้าใส่เขาในเวลาเดียวกัน จนเป่ยจ้าวหยวนไม่สามารถอธิบายความรู้สึกทั้งหมดออกมาเป็นคำพูดได้
เป่ยจ้าวหยวนเคยดูถูกดูแคลนฉีเล่ยก่อนหน้านี้ว่า เป็นคนหลอกลวงและสิ่งที่เขาแสดงออกมาล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ คนเช่นนี้น่ะเหรอ…ที่เป็นยอดฝีมือขนานแท้?
ยิ่งรู้ว่าฉีเล่ยถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง เป่ยจ้าวหยวนก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองนั้นคาดเดาได้ถูกต้อง
แน่นอน การที่เขาแสดงท่าทีหยิ่งผยองแบบนั้นออกไป ส่วนหนึ่งล้วนมาจากการเชื่อในความคิดของตน และอีกส่วนคือ เขาเป็นคนที่มีความเย่อหยิ่งจองหองฝังลึกอยู่ในขั้วกระดูกดำเป็นทุนเดิม
ดั่งที่เป่ยจ้าวหยวนสันนิษฐานกับตัวเองว่า ไม่ว่าจริงหรือปลอม มันสามารถพิสูจน์เห็นได้แล้ว หากฉีเล่ยมีพรสวรรค์และฝีมือจริงๆ จะถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออกได้ยังไง? ถ้าจะอ้างว่าคุณไม่มีใบวุฒิการศึกษาเนื่องจากไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัย นี่มันก็ยิ่งเป็นข้อแก้ตัวที่แย่เข้าไปใหญ่?
อันที่จริง ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเป่ยจ้าวหยวนกับฉีเล่ยมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะแก้ไขเลย
คงเป็นเพราะเรื่องของหลี่ถงซีที่เข้ามาแทรก เลยทำให้เรื่องราวดูไปกันใหญ่เท่านั้นเอง
คนที่มีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองนั้นจะมีอยู่สองประเภท
ประเภทแรกนั้นเย่อหยิ่งจองหองเพราะว่าเก่งและมีความสามารถอย่างแท้จริง แต่จู่ๆก็มีใครไม่รู้โผล่ออกมาอวดอ้างต่างๆนานา คุยโม้ว่าเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ เช่นนี้แล้วใครบ้างจะไม่หัวร้อนเล่า?
ประเภทที่สองคือ พวกที่เย่อหยิ่งทั้งๆที่ไร้น้ำยา คนพวกนี้มีดีแต่ปากเก่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ทีแรกเป่ยจ้าวหยวนคิดว่าฉีเล่ยเป็นคนประเภทที่สอง จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะหงุดหงิดขนาดนั้น
ครั้งแรกที่พวกเขาทั้งคู่พบกันที่บ้านของหลี่ฮั่วเฉิน เป็นประสบการณ์แรกพบที่เลวร้ายมาก ต่อมา เนื่องด้วยหลี่ถงซีเป็นเหตุ จึงทำให้เกิดการประลองในวันนี้ขึ้น
เป่ยจ้าวหยวนเข้าใจไปว่า ทั้งหมดที่ฉีเล่ยพูดในตอนนั้นเพราะต้องการจะอวดเก่งต่อหน้าหลี่ถงซีเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นฉีเล่ยบุกมาถึงหน้าบ้านของตนในวันนี้ ปฏิกิริยาแรกที่แสดงออกมาคือประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ยิ่งได้เห็นฉีเล่ยสำแดงใช้‘วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์’ มันก็ยิ่งสร้างความตกตะลึงภายในใจให้กับเขามากขึ้น
มากซะจนทำให้ความมั่นใจของตัวเขาเองพังพลายลงมาเลยทีเดียว
สิ่งหนึ่งที่เป่ยจ้าวหยวนมั่นใจอย่างมากในตอนนี้ก็คือ เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!
อีกฝ่ายสามารถใช้‘วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์’ได้จริงๆ!
และนั่นยังเป็น‘วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์’ฉบับดั้งเดิม ไม่ใช่ฉบับดัดแปลงหรือไม่สมบูรณ์
วิธีลงเข็มด้วยความเร็วสูงจนก่อเกิดเป็นภาพซ้อนชั่วขณะหนึ่ง ปลายเข็มที่ห่อหุ้มไปด้วยพลังงานประหลาด ทั้งหมดนี้ล้วนตอกย้ำเป่ยจ้าวหยวนเข้าไปอีกว่า สิ่งที่เขาเคยไม่เชื่อในอดีต มันกลับกลายเป็นความจริง!
ชายคนนี้สำเร็จวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ฉบับสมบูรณ์แบบ!
มีคำกล่าวที่ว่า หากคุณไม่รู้จักศิลปะการต่อสู้ ต่อให้มียอดฝีมือร่ายเพลงหมัดสิบแปดมังกรอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางเข้าใจ
หากเล่นเปียโนไม่เป็น เสียงโน้ตสอดผสานจังหวะอันสมบูรณ์แบบเพียงใด ฟังสักร้อยรอบก็เป็นเพียงแค่บทเพลงธรรมดาทั่วไป
ในทำนองเดียวกัน หากคุณไม่เคยศึกษาแพทย์แผนจีนเชิงลึกมาก่อน จะไม่มีวันเข้าใจเลยว่าสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าสำแดงใช้ไปคือ เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์อย่างวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์
ปรมาจารย์ด้านการฝังเข็มหลายต่อหลายท่าน ที่คลั่งไคล้และหลงใหลกับศาสตร์การฝังเข็ม จะรู้จักเคล็ดวิชานี้ดีว่าเป็น‘เคล็ดวิชาฝังเข็มอันดับหนึ่งของโลก’
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในแต่ละยุคสมัยมีคนบรรลุวิชานี้เพียงแค่หยิบมือ เนื่องจากกระบวนการลงเข็มที่ค่อนข้างแปลกประหลาดและซับซ้อน จึงทำให้กระบวนการสืบทอดเกิดการขาดช่วงและหายสาบสูญไปในที่สุด
เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่ไม่มีข่าวการปรากฏของวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์อีกเลย
แต่ตอนนี้ ในที่สุดวิชานี้ก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้บรรลุวิชาดังกล่าวกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาแล้ว!
“นี่ฉันมองคนพลาดไปขนาดนี้ได้ยังไง…”
เป่ยจ้าวหยวนเอ่ยพึมพำกับตนเองพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปทางฉีเล่ย
“อาจารย์! อาจารย์จะแพ้ได้ยังไง! นี่เป็นไปไม่ได้!”
“ถูกต้องแล้ว! วิชาฝังเข็มของหมอนี่มันดูเรียบง่ายเกินไป ดูยังไงก็แค่ทักษะระดับพื้นฐาน!”
“มันโชคดีมากกว่าที่ได้คนไข้ที่ป่วยเป็นโรคไม่ซับซ้อน!”
เมื่อเห็นอาจารย์ของตัวเองปริปากยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี บรรดาลูกศิษย์ผู้หยิ่งผยองเหล่านี้ก็ไม่สามารถยอมรับความจริงได้เลยสักนิด พวกเขารีบแสดงตัวออกมาเพื่อทวงความยุติธรรมให้แก่เป่ยจ้าวหยวนทันที
อย่างไรก็ตามแต่ เป่ยจ้าวหยวนในตอนนี้กลับไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะดุคนพวกนี้อีกแล้ว
สำหรับการฝังเข็ม จะดูว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง ต้องเปรียบจากระดับความยากของทักษะที่ใช้เสมอไปรึไง?
ไม่ใช่ว่า ต้องดูจากการเลือกใช้ทักษะวิชาให้เหมาะสมกับโรคภัยที่รักษาหรอกเหรอ?
ไอ้พวกโง่! เป่ยจ้าวหยวนโบกมือไล่พวกลูกศิษย์ออกไปทันที
“พวกแก ออกไปให้หมด”
แม้จะมีบางคนดูจะไม่เต็มใจเท่านั้น แต่เมื่อกำลังจะอ้าปากพูดเท่านั้น ก็ถูกสายตาอันเฉียบคมของเป่ยจ้าวหยวนมองสวนขึ้นจนถึงกับต้องหุบปากไปเอง
ในชั่วพริบตาต่อมา ทั้งลูกศิษย์และกลุ่มผู้ป่วยทั้งหมดก็ออกไป เหลือพียงฉีเล่ยกับเป่ยจ้าวหยวนเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้อยู่ในห้องตรวจตามลำพัง
“นั่นคือ…วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์สินะ?”
เป่ยจ้าวหยวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นคล่อน
ฉีเล่ยยิ้มและพยักหน้าตอบไปตามตรง
“ในเมื่อคุณยังสามารถสัมผัสถึงมันได้ แสดงว่าคุณยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง”
เป่ยจ้าวหยวนคลี่ยิ้มอ่อนดูขื่นขมใจอย่างยิ่ง
“มีฝีมืออยู่บ้างแล้วไง? ฉันแพ้ก็คือแพ้ แต่ไม่คิดเลยว่า นั่นจะเป็นวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จริงๆ”
“อันที่จริงวิชาเข็มห้าตะวันของคุณเองก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน ขาดแค่ว่าอารมณ์ที่ยังไม่นิ่งพอ”
นี่เป็นอีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่สำคัญ คนที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กขี้เล่นจนประมาท ดังนั้นแล้ว สิ่งที่เขาบกพร่องจริงๆไม่ใช่เรื่องฝีมือหรือความกล้า แต่เป็นเรื่องอารมณ์เพียงอย่างเดียว
“ตลอดมาคุณปู่มักจะบอกฉันเสมอว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เดิมทีคำพูดเหล่านั้นมันไม่เคยเข้าหูฉันเลยจนกระทั่งวันนี้…”
เป่ยจ้าวหยวนเอ่ยต่อว่า
“อยากได้เท่าไหร่บอกราคามาเลยจะดีกว่า”
ฉีเล่ยทวนคำถามเจือสีหน้างุนงงหน้าสงสัย
“บอกราคา? หมายถึงอะไร?”
เป่ยจ้าวหยวนกล่าวต่อว่า
“ป้ายประจำตระกูลเป่ยเป็นมรดกตกทอดของพวกเรามาอย่างช้านานแล้ว ฉันคงให้นายไม่ได้จริงๆ ขอเปลี่ยนเป็นเงินได้ไหม? ต้องการเท่าไหร่เสนอมาได้เลย”
ฉีเล่ยค่อยๆหรี่ตามองเป่ยจ้าวหยวนพร้อมรอยยิ้ม
ดูท่าอีกฝ่ายยังมีข้อบกพร่องมากกว่าแค่เรื่องอารมณ์สินะ
เป่ยจ้าวหยวนที่กำลังถูกสายตาอันเย็นชาของฉีเล่ยจับจ้องไม่คลายอ่อนแบบนี้ ทำเอาเขารู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง จนท้ายที่สุดทนรับแรงกดดันไม่ไหวจึงเอ่ยเสนอขึ้นเองว่า
“หนึ่งล้านหยวน? สนใจไหม?”
ฉีเล่ายส่ายหัว
“สองล้าน?”
ฉีเล่ยยังคงส่ายหัว
“ห้าล้านหยวน(26ล้านบาท) นี่เป็นราคาสูงสุดแล้วที่ฉันสามารถให้ได้ ถ้ามากกว่านี้ฉันคงต้องจำนองบ้านหลังนี้แล้วล่ะ…”
บนหน้าผากของเป่ยจ้าวหยวนเริ่มมีเม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นนับไม่ถ้วน
ต้องควักเงินส่วนตัวที่มีออกมาจนหมดตัวเพื่อแลกกับป้ายประจำตระกูลของตน ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน
แม้จะต้องรู้สึกขมขื่นใจแค่ไหนก็ช่าง แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะต้องถูกถอดป้ายทองคำที่เปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่คู่ตระกูลเป่ยมายาวนานนับหลายร้อยปีทิ้งไป…