อย่างที่คิด มาด้วยพลัง ‘ท่องเที่ยว’ … หรูหราอะไรเช่นนี้… อัลเจอร์หัวใจเต้นแรงสักพักก่อนจะผ่อนคลาย แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ประมาท
หลังจากเพ่งมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างตั้งใจ มันพบว่ารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายมิได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ทุกท่วงท่าของชายคนนี้กลับเปี่ยมด้วยความน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่ง มอบความรู้สึกสั่นสะท้านให้แก่ผู้พบเห็น
สมแล้วที่เป็นนักผจญภัยเสียสติ ผู้สามารถชักนำให้ครึ่งเทพปะทะกันและหลบหนีออกมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน… อัลเจอร์ที่เคยภาคภูมิใจในลำดับ 5 ของตน รีบสลัดความโอหังออกจากแววตา
มันเดินถือตะเกียงเข้าไปหาช้าๆ มองหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์และกล่าว
“ร่องรอยที่คุณทิ้งไว้ที่นี่ อาจไม่เลือนหายแม้จะผ่านไปนานนับพันปี”
มันต้องการยืนยันว่า การพังถล่มของยอดเขาเกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย
ไคลน์ชำเลืองภูมิประเทศที่เปลี่ยนไป ปล่อยมือขวาจากหมวกเหนือศีรษะ หัวเราะด้วยเสียงนุ่มนวล
“ความเสียหายส่วนใหญ่เกิดจากฝีมือเจ้าสมุทร”
นั่นไง… ชายคนนี้สามารถชักนำให้ครึ่งเทพมาสู้กันจนบายัมเกือบถูกทำลาย ถึงขั้นทำให้เจ้าสมุทรต้องลงมือ… แถมยังรอดชีวิตกลับมาพร้อมกับเด็ดหัวพลเรือเอกโลหิต… น่าเหลือเชื่อมาก… อัลเจอร์เริ่มสงสัยว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจพกพาสมบัติปิดผนึกระดับ 1 – สิ่งที่มีพลังเทียบเท่าครึ่งเทพไว้กับตัว!
มันมิได้เผยความประหลาดใจหรือตกตะลึง และไม่กล้าถามหยั่งเชิงอะไรอีก
“จะไปสำรวจเกาะร้างโบราณตอนนี้เลยหรือ?”
“ถูกต้อง” ไคลน์ตอบเยือกเย็น
ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก ตรงกับเวลาเข้านอนของดอน·ดันเตส แปลว่าจะไม่มีใครเข้ามารบกวน ขอเพียงกลับไปให้ทันตอนกลางวันของวันพรุ่งนี้
และด้วยความไม่ประมาท ไคลน์ยังอัญเชิญ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสมาสถิตบนภาพลวงตาของกระจกเงา คอยตอบสนองในสิ่งที่จำเป็น
ต้องขอบคุณที่ทางโบสถ์รัตติกาล ‘รักษา’ เศรษฐีหน้าใหม่รายนี้เสร็จแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องเลื่อนภารกิจออกไป… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ
อัลเจอร์ตรวจสอบความพร้อมของตัวเอง พบว่ายังไม่ได้สวมใส่สมบัติวิเศษ จึงนำแหวนเหล็กดำที่มีหนามแหลมออกมาสวม
กัดฟันทนอาการวิงเวียนศีรษะสักพัก มันพยักหน้าและตอบ
“ขอให้เป็นการเดินทางที่ดี”
ทันใดนั้น มันเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เหยียดแขนตรงมาทางหัวไหล่ของตนโดยปราศจากอารมณ์
ท่าทีตอบสนองแรกของอัลเจอร์คือ คิดว่าอีกฝ่ายกำลังโจมตีใส่ สัญชาตญาณจึงร้องบอกให้ฉากหลบไปด้านข้าง แต่ทันใดนั้น มันฉุกคิดถึงข้อสันนิษฐานครั้งก่อนของตน จึงฝืนระงับจิตใต้สำนึกและปล่อยให้ฝ่ามือของนักผจญภัยเสียสติวางลงบนบ่าอย่างนุ่มนวล
วินาทีถัดมา มันเห็นมือซ้ายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เริ่มโปร่งใสประหนึ่งภาพสะท้อนของโลกวิญญาณ ทันใดนั้น อัลเจอร์พบว่าสีดำทวีความเข้มข้นกะทันหัน แสงจันทร์สีแดงเริ่มฉูดฉาด สีสันมากมายซ้อนทับกันอย่างชัดเจน
ร่างมายาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังพุ่งผ่านไปทาง ‘ด้านหลัง’ ด้วยความช่วยเหลือของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ อัลเจอร์เคลื่อนที่ผ่านโลกวิญญาณอย่างรวดเร็ว
ยุบพองหิวโหย… ท่องเที่ยว… แบบนี้นี่เอง… ขณะผุดสมมติฐาน มันเห็นร่างกายตัวเองเริ่มดิ่งลงด้านล่าง สีสันฉูดฉาดรอบตัวจางลง ทุกสิ่งกลับเป็นปรกติ
หาดทราย… ปะการัง… ต้นไม้… เกาะทะเลทราย… อัลเจอร์มองไปรอบตัวพลางเตรียมกล่าวบางสิ่ง แต่ทันใดนั้น สีสันรอบตัวเข้มข้นขึ้นและซ้อนทับกันอีกครั้ง
ในคราวนี้ เมื่อออกจากโลกวิญญาณ คนทั้งสองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ด้านล่างเป็นทะเลสีน้ำเงินเข้มและเกลียวคลื่น
แม้ว่าอัลเจอร์จะไม่เคยประสานงานกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์มาก่อน แต่ก็มีประสบการณ์ในทำนองเดียวกันโชกโชน รีบสร้างสายลมกระโชกโดยไม่ต้องรอใครสั่ง พยุงร่างคนทั้งสองเอาไว้
จากนั้น ‘การท่องเที่ยว’ ยังคงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ร่างกายอัลเจอร์และเกอร์มัน·สแปร์โรว์โปร่งใสก่อนจะหายตัวไป
เมื่อฉากรอบตัวกลับเป็นปรกติอีกครั้ง คนทั้งสองมาโผล่ริมเกาะยักษ์ที่กลางอากาศเต็มไปด้วยหมอกหนาจนแสงจันทร์ลอดผ่านได้เพียงเล็กน้อย ไม่เพียงจะทำให้บรรยากาศมืดครึ้ม แต่ยังมอบมนต์ขลังที่ยากอธิบาย
“ถึงแล้ว” อัลเจอร์มองไปรอบตัว
ภายนอกไคลน์แสดงสีหน้าผ่อนคลาย แต่ภายในรีบสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง พบว่าเป็นเกาะที่เงียบมาก ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง เสียงหมาป่าหอน และเสียงแมลง บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดโดยสมบูรณ์
คล้ายกับเดาความคิดอีกฝ่ายออก อัลเจอร์ยกตะเกียงขึ้นมาส่องวัชพืชที่รกเต็มพื้น เผยให้เห็นเส้นทางธรรมชาติซึ่งเต็มไปด้วยรอยเท้าสัตว์
“ถ้ามาตอนกลางวัน ที่นี่จะมีชีวิตชีวามาก สามารถพบเห็นนกบางชนิดซึ่งถูกระบุว่าสูญพันธุ์และหลงเหลือแค่ในตำนาน… ดูเหมือนว่าในตอนกลางคืน ‘อำนาจ’ ที่ครอบงำเกาะนี้จะเปลี่ยนแปลงไป สัตว์วิเศษจำนวนมากตัดสินใจซ่อนตัว รอจนกระทั่งรุ่งสาง”
มิสเตอร์แฮงแมนเคยมาที่นี่มากกว่าหนึ่งครั้ง อย่างน้อยหนึ่งครั้งในกลางวัน และอีกหนึ่งครั้งตอนกลางคืน… ไคลน์พยักหน้าเงียบงัน ไม่กล่าวสิ่งใด
อัลเจอร์ขบคิดสักพัก ก่อนจะชี้ไปข้างหน้า
“ถ้าเดินไปตามเส้นทางนี้และเข้าเขตป่าสีดำ จากนั้นก็เดินต่อไปจนสุดทาง ที่นั่นจะมีซากปรักหักพังโบราณซึ่งยังไม่ทราบอายุแน่ชัด… ระหว่างทาง เราจะล่าสัตว์วิเศษไปเรื่อยๆ หากใครฆ่าได้ตามลำพัง ผู้นั้นจะได้รับสิ่งของทั้งหมดจากเหยื่อ แต่ถ้าเป็นการร่วมมือกันฆ่า ผมให้คุณเก็บสิ่งของเหล่านั้นไว้ก่อน กลับไปค่อยแบ่งกันด้วยวิธีสลับเลือก พิจารณาจากผลงานเป็นหลัก ปรับเปลี่ยนลำดับและจำนวนการเลือกอย่างเหมาะสม”
มันไม่รีบร้อนออกเดินทาง เลือกที่จะชี้แจงแนวทางการแบ่งสมบัติล่วงหน้า จะได้ไม่ผิดใจกันภายหลังจนเกิดเป็นความขัดแย้ง
ให้เราเป็นคนเก็บสิ่งของที่ได้จากการร่วมมือฆ่า… มิสเตอร์แฮงแมนจริงใจมาก… ไคลน์ยกมือขวา กดลงบนหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง เผยรอยยิ้มลุ่มลึก
“ตกลง”
อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ ก่อนจะกล่าวต่อ
“จุดประสงค์หลักของเราคือการสำรวจซากปรักหักพังโบราณ กำไรระหว่างทางเป็นประเด็นรอง รีบสำรวจให้เสร็จและรีบกลับ ไม่ควรแวะไปเขตอื่นหรืออ้อมไปยังเส้นทางอื่น… หากมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นในอนาคต ผมยกหน้าที่การตัดสินใจทั้งหมดให้คุณ”
อัลเจอร์เน้นย้ำเรื่องนี้เพราะกลัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะโลภเกินไป หลงลืมเรื่องที่ผู้วิเศษไม่ใช่เครื่องจักร เป็นคนธรรมดาที่เหนื่อยเป็น การไล่ฆ่าไปเรื่อยๆ สักวันต้องถึงขีดจำกัด ถ้าไม่รู้จักหยุดพักในจังหวะที่เหมาะสม เกรงว่าสถานะของผู้ล่ากับผู้ถูกล่าจะสลับกัน ถึงนักผจญภัยเสียสติรายนี้จะแข็งแกร่ง ไม่หวาดหวั่นอันตรายใดๆ แต่ถ้าพลังวิญญาณเหือดแห้งเป็นเวลานาน สัญญาณของภาวะคลุ้มคลั่งจะเริ่มก่อตัว
หมอนี่คิดว่าเราเป็นพวกโลภ? เราต่างหากที่กังวลว่าเขาจะโลภเกินไป คิดกอบโกยผลประโยชน์จนบุ่มบ่ามเข้าไปสำรวจลึกๆ … ไคลน์ยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ผมเป็นคนสุภาพ”
“สุภาพ?” อัลเจอร์ไม่เข้าใจความหมายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
มุมปากไคลน์ยกขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าเจือความอึมครึมท่ามกลางความมืด
“การแวะมาเยี่ยมบ้านคนอื่นครั้งแรก… ถ้าอยู่นานเกินไปจะถือว่าเสียมารยาท”
ตรรกะของชายคนนี้ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว… สมกับที่ได้รับฉายานักผจญภัยเสียสติ… อัลเจอร์ผงะเล็กน้อยก่อนจะได้สติ ถือตะเกียงเดินนำท่ามกลางความมืด
“ไปกันเถอะ”
ไคลน์ลดมือลงอย่างเป็นธรรมชาติ เดินข้างอัลเจอร์คล้ายกับกำลังไปปิกนิก
คนทั้งสองเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในป่าสีดำซึ่งแทบไม่มีแสงจันทร์ลอดผ่าน พบต้นไม้ทั้งหนาและสูง ใบไม้หนาแน่น แม้แต่ใบเล็กที่สุดก็ยังยาวกว่าแขนของมนุษย์
หนึ่งสิ่งที่ทุกต้นมีเหมือนกันก็คือ เปลือกไม้จะเป็นเกล็ดหนา ประกบเรียงตัวอย่างประณีต ราวกับพร้อมจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาทุกเมื่อ จะพองตัวตอนไหนก็ไม่มีใครทราบ
คงเป็นสายพันธุ์ย่อยของต้นมังกร… ต้นไม้เกล็ดงู? ไคลน์ถอนสายตากลับ ก้มมองวัชพืชตรงฝ่าเท้าที่ดูไม่มีพิษมีภัย
ทั้งมันและอัลเจอร์ ไม่มีใครพูดเป็นเวลานาน พยายามรักษาความเงียบสงบเอาไว้ ไม่คิดส่งเสียงโหวกเหวกเพียงเพราะบรรยากาศชวนให้อึดอัด
ขณะเดินไปเรื่อยๆ อาศัยแสงสว่างจากตะเกียง คนทั้งสองพบว่าต้นไม้ด้านหน้าเริ่มบางตา
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงทุบทื่อๆ ดังขึ้นจากจุดดังกล่าว ยิ่งอัลเจอร์และเกอร์มันเข้าใกล้ เสียงก็ยิ่งดังชัดเจน
เมื่อพวกมันมาถึงพื้นที่กึ่งเปิดโล่ง แสงจากโคมไฟที่ส่องเข้าไป ช่วยมองให้เห็นร่างของสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่ง บ้างหลังงุ้มงอ บ้างยืนสี่ขา
ในกลุ่มดังกล่าวประกอบด้วยมนุษย์ ลิงบาบูน แพะ หรือแม้กระทั่งเสือโคร่ง ทุกตัวกำลังใช้กรงเล็บและฟัน พังต้นไม้หรือก้อนหินใหญ่ในละแวกใกล้เคียง คล้ายกับพยายามจะสร้างวัง
เมื่อปราศจากใบไม้ปกคลุมหนาแน่น แสงจันทร์สีแดงที่ลอดผ่านชั้นหมอกหนาลงมา ฉาบลงบนร่างของสิ่งมีชีวิตจนดูเหมือนม่านโลหิตแผ่นบาง
มีแม้กระทั่งมนุษย์? ดวงตาไคลน์พลันหดเกร็ง นิ้วทั้งห้ากางออก ส่วนอัลเจอร์ลดความเร็วลงพร้อมกับวอร์มเส้นเสียง
ทันใดนั้น สิ่งมีชีวิตกลุ่มดังกล่าวหยุดพฤติกรรมอย่างกะทันหัน หมุนตัวโดยพร้อมเพรียง หันมามองคนแปลกหน้าทั้งสอง
บางตัวผิวซีด บางตัวขนหลุดร่วง บางตัวมีบาดแผลตามร่างกาย ยากจะให้เชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิต
ศพ…? สัตว์วิเศษบางตนกำลังควบคุมศพให้สร้างวังของตัวเอง? ไคลน์มองผ่านพวกมันไป จนกระทั่งเห็นถ้ำมืดที่พาลงไปข้างล่าง ธรรมชาติโดยรอบเต็มไปด้วยวัชพืชเหี่ยวเฉา มีขนนกสีขาวเปื้อนน้ำมันวางกระจัดกระจาย
ขนนก… ศพ… ไคลน์นึกถึงโครงการมรณาเทียมของนิกายวิญญาณทันที รวมไปถึงออร่าอันน่าขนลุกที่เคยทำให้ขนนกงอกตามร่างกายตน
‘ผู้ปกครอง’ ในละแวกนี้ไม่ธรรมดา… ชายหนุ่มวิเคราะห์อย่างใจเย็น
หลังจากตรวจสอบอย่างรอบคอบสักพัก อัลเจอร์ลังเลสองสามวินาทีก่อนจะเสนอความเห็น
“ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ยากจะคาดเดาระดับพลังของพวกมัน คงเป็นการดีกว่าถ้าจะปล่อยผ่าน เลือกจู่โจมเป้าหมายที่มีโอกาสสำเร็จมากกว่านี้”
ลางสังหรณ์บอกกับมันว่า ภายในถ้ำมืดด้านล่าง มีบางสิ่งที่อันตรายมากซ่อนอยู่!
กำลังรอคำนี้อยู่พอดี! ไคลน์ซึ่งอยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แอบถอนหายใจโล่งอก แต่ภายนอกกระซิบอย่างเยือกเย็น
“นั่นไม่ถือเป็นการเสียมารยาทหรือ?”
ขณะกล่าว ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือนกะทันหัน คล้ายกับใต้ดินมีการพลิกผันของบางสิ่ง!
…………………………………………..