การประจันหน้าระหว่างชายกำยำสองคนกลางผับปลาบินและไวน์ยังคงดำเนินต่อไป
ฝ่ายหนึ่งเป็นชายร่างกายบึกบึน สวมเครื่องแบบสีกรมท่าสลับแถบขาวอันเป็นเอกลักษณ์ของทหารเรือ มันปล่อยให้ท่อนแขนทั้งสองข้างเปลือยเปล่าโดยไม่สนว่าสภาพอากาศจะหนาวเย็นจบเกือบศูนย์องศาหรือไม่
ในมือถือกริช กำลังจ่อคอฝ่ายตรงข้าม แต่หว่างคิ้วของมันก็ถูกนาบด้วยปากกระบอกปืนคาบศิลาทรงโบราณอันควรถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์
เจ้าของปืนคาบศิลามีส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 1.8 เมตร กล้ามเนื้อเป็นมัดแน่น ใบหน้ามันเลื่อม ศีรษะถูกโกนจนล้าน สักลายนกอินทรีทะเล
มันสบถ :
“ไอ้ทหารเรือขี้หมา! ไม่มีใครในเมืองท่าดาเมียร์กล้ากล่าวหาว่าฉันเป็นสายข่าวให้กับโจรสลัด!”
ทหารเรือคนดังกล่าวมิได้ผ่อนคลายบรรยากาศคุกคาม สีหน้าแววตาทั้งคู่บ่งบอกชัดเจนว่ามีประสบการณ์ในทะเลโชกโชน
ไคลน์ยืนจ้องสักพัก ก่อนจะเดินไปทางเคาน์เตอร์ซึ่งมีกัปตันไอร์แลนด์ ผู้เหน็บดาบยาวไว้ตรงเอวและซ่อนปืนคาบศิลาไว้ในเสื้อ กำลังนั่งจิบเครื่องดื่ม
ชายหนุ่มซักถามเป็นกันเอง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ก็แค่ขี้เมาสองคนทะเลาะกัน ทั่วทั้งเมืองท่าดาเมียร์และละแวกใกล้เคียงกำลังมีข่าวลือหนาหูว่า ‘อินทรีย์ทะเล’ โลแกน ทำงานเป็นสายข่าวให้กัปตันทิวลิปดำ ขณะทหารเรือคนนั้นกำลังพูดเรื่องดังกล่าวกับเพื่อน อินทรีย์ทะเลได้ยินจึงไม่พอใจ”
กัปตันทิวลิปดำ?
พลเรือเอกนรก ลูเธอร์ไวล์?
ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้กลมติดหน้าเคาน์เตอร์ด้านข้างไอร์แลนด์ พลางใช้นิ้วเคาะแผ่นไม้
“เบียร์นันวีลล์หนึ่งแก้ว”
“หกเพนนี” บาร์เทนเดอร์ผิวแทนฟันขาวกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะใช้ผ้าเช็ดแก้ว
คิดไว้ไม่มีผิด…สินค้าพื้นเมืองจะมีราคาสูงเมื่ออยู่นอกถิ่นกำเนิด…ไคลน์ล้วงเศษเหรียญจากกระเป๋าเสื้อและนับจนครบหกเพนนี
พร้อมกันนั้น โลแกนกับทหารเรือได้ถูกคนคุมผับแยกตัวไปคนละมุมร้าน ทั้งคู่ส่งเสียงสบถด่ากันเป็นระยะอย่างฉุนเฉียว
อาจเป็นเพราะรู้สึกเสียหน้า ทหารเรือจึงเดินออกจากร้านไปในอีกไม่กี่อึดใจถัดมา ส่งผลให้ผับเริ่มกลับมาครื้นเครงอีกครั้ง
“เล่นไพ่ไหม?” กัปตันไอร์แลนด์ชี้ไปทางบันไดสู่ชั้นสองของผับ
“ไม่ดีกว่า” ไคลน์ยังคงไม่สูญเสียจุดยืน มันมาผับเพราะต้องการรวบรวมข้อมูล
ใจจริง ไอร์แลนด์อยากเลื่อนมือขึ้นมาตบบ่าไคลน์อย่างอ่อนโยน แต่บรรยากาศเย็นชารอบตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำให้มันต้องชะงักความคิด เพียงดึงมือกลับและแสร้งทำเป็นปัดชายเสื้อโค้ทสีแดงเข้ม พลางกล่าวตักเตือนด้วยความหวังดี
“อย่าจีบสาวแถวนี้เด็ดขาด”
ไคลน์พยักหน้ารับ มือขวายกแก้วเบียร์นันวีลล์กระดกอึกใหญ่
“แล้วก็… ไม่ควรเชื่อคำพูดใครง่าย ๆ พวกมันพูดความจริงแค่ส่วนน้อย” ไอร์แลนด์เดินถือขวดแลงติร้อนแรงขึ้นบันไดชั้นสอง
ไคลน์มองตามและซักถามหน้านิ่ง
“รวมถึงคุณด้วยไหม”
“…ก็คงใช่” ไอร์แลนด์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “ฮะฮะ! แต่คำเตือนเมื่อครู่เป็นความจริง แล้วก็ ผมเป็นผู้ชายจริง ๆ”
ไม่แน่เสมอไป…ถ้าคุณดื่มโอสถแม่มด…
ไคลน์เบือนหน้ากลับมายังเคาน์เตอร์ มันบรรจงจิบเบียร์อย่างไม่รีบร้อนพลางนั่งฟังกลุ่มขี้เมารอบผับคุยโม้โอ้อวด
สองสามนาทีถัดมา ชายร่างเล็กเดินมานั่งข้างไคลน์พร้อมกับถือเครื่องดื่มในมือ
“สหายเป็นนักผจญภัยใช่ไหม” ชายแปลกหน้าเอียงคอยิ้มถาม
อีกฝ่ายมีผมสีดำ ดวงตาสีฟ้า ใบหน้าค่อนข้างชราและหมองคล้ำไร้ราศี
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้” ไคลน์ตอบเย็นชืด
“เพียงแค่มอง ฉันก็บอกได้ทันทีว่านายเป็นนักล่าสมบัติมือฉมัง นักล่าผู้แสวงหาโอกาสและความมั่งคั่ง!” ชายร่างเล็กมองไปรอบตัวพลางหรี่เสียงลง “เคยได้ยินตำนานเรือ ‘จักรวรรดิผีสิง’ บ้างไหม”
นี่เป็นบทสนทนาชวนทำแอมเวย์ของโลกทางนี้หรือไง… จริงสิ… ฉันยังเคยฟังเรื่องราวของพระเจ้าผู้ปลดปล่อยด้วยเหมือนกัน…
ไคลน์หันไปตอบพร้อมกับใช้พลังผู้ไร้หน้าสร้างบรรยากาศไม่เป็นมิตร
“เคย… เรือผีสิงลำใหญ่ขนสมบัติมากมาย”
“นั่นแหละ! พวกเรามีเบาะแสของมัน!” ชายร่างเล็กอุทานด้วยเสียงลุ่มหลง “เรามีเบาะแสว่ามันจะปรากฏตัวอีกครั้งตรงไหน! พวกเราไม่ต้องการให้สมบัติตกอยู่ในมือของทหารเรือหรือโจรสลัด และไม่ต้องการถูกดักปล้นกลางทาง จึงวางแผนเช่าเรือติดอาวุธของพ่อค้าไปดักรอยังพิกัดดังกล่าว แต่ค่าเช่าเรือต้องใช้เงินหนึ่งพันปอนด์ ตอนนี้พวกเรารวบรวมสมาชิกได้ทั้งหมดสิบห้าคนและมีเงินทุนทั้งหมดเจ็ดร้อยยี่สิบปอนด์แล้ว ขาดอีกไม่มากเท่านั้น! นายสนใจจะเข้าร่วมด้วยไหม”
โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบ อีกฝ่ายควักปึกกระดาษสีเหลือออกมาวาง
“ฉันรู้ว่านายคงไม่เชื่อง่าย ๆ เพราะในทางสามัญสำนึก ทุกคนมีความระแวงอยู่เสมอ แต่หลังจากทั้งสิบห้าคนได้อ่านเอกสารเหล่านี้ พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมแผนการทันที!”
…หน้าตาเราดูหลอกง่ายขนาดนั้นเชียว?
หรือเจ้าพวกนี้เลือกเหยื่อส่งเดชโดยไม่สนใจหน้าตาตั้งแต่แรก?
ขณะไคลน์กำลังคิดว่า ตนจะเสียเวลาอ่านเอกสารดีไหม มุมสายตาบังเอิญเหลือบเห็นอินทรีย์ทะเล โลแกน ผู้เพิ่งมีปากเสียงกับทหารเรือ เดินดุ่มเข้ามาใกล้อย่างองอาจ
“วูดดี้…! แกคิดจะหลอกเอาเงินคนอีกแล้วใช่ไหม! ไอ้หนูท่อสกปรก!”
เมื่อสิ้นเสียง โลแกนหิ้วชายร่างเล็กโยนลงไปยังพื้นโล่งใจกลางผับ ก้นอีกฝ่ายกระแทกพื้นอย่างจังจนเผยสีหน้าเจ็บปวด
จากนั้น ชายร่างกายกำยำผู้มีรอยสักสีเขียวอมฟ้ากึ่งกลางศีรษะ นั่งลงแทนตำแหน่งวูดดี้พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“ฮะฮะ! ต้องขอโทษด้วย เจ้านั่นคือหนูสกปรกประจำเมืองท่าดาเมียร์แห่งนี้ ชอบสร้างชื่อเสียให้พวกเราอยู่เรื่อย แต่ในความเป็นจริง ชาวดาเมียร์เป็นมิตรและมีน้ำใจอย่างมาก หากติดปัญหาในเรื่องใด อย่าได้ลังเลจะมาปรึกษาฉัน ฮะฮะ! แล้วก็… อย่าไปเชื่อคำพูดคนพวกนั้นมากนัก ฉันเป็นคนเถรตรง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับพลเรือเอกนรกทั้งสิ้น!”
ยิ่งพยายามเน้นย้ำ นายก็ยิ่งน่าสงสัย…
ไคลน์กล่าวอย่างใจเย็นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“อยากฟังข่าวลือในช่วงหลัง”
“ไม่มีปัญหา” อินทรีย์ทะเลโลแกนทุบเคาน์เตอร์เสียงดังพลางตะโกนใส่บาร์เทนเดอร์
“เอาเนื้อหมักเกลือสูตรพิเศษของเมืองท่าดาเมียร์มาหนึ่งชุดใหญ่! ฉันจะเลี้ยงสหายหน้าใหม่ด้วยอาหารสุดพิเศษของเมืองเรา”
บาร์เทนเดอร์เปิดประตูห้องครัวและเดินเข้าไปด้วยสีหน้าปรกติ
ผ่านไปสักพัก มันกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับจานเนื้อหมักเกลือสีขาวสลับแดงหน้าตาชวนให้น้ำลายสอ
“ห้าปอนด์” บาร์เทนเดอร์มิได้มองไปทางอินทรีย์ทะเลโลแกน แต่จ้องมายังไคลน์
“ห้าปอนด์” อินทรีย์ทะเลโลแกนหันหน้ามาหาไคลน์พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ทุกคนในร้านคงได้ยินเหมือนกันใช่ไหม? เพื่อเป็นการขอบคุณฉัน สหายหน้าใหม่คนนี้จังสั่งเนื้อหมักเกลือชุดใหญ่มาเลี้ยง!”
ไคลน์ตามเหตุการณ์ไม่ทันในตอนแรก แต่หลังจากได้ยินบาร์เทนเดอร์ทวงเงินรอบสอง ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่าตนถูกกำลังรีดไถ
เล่นละครได้แนบเนียนมาก…
ก่อนอื่น มันส่งคนมาหลอกเหยื่อเกี่ยวกับสมบัติของเรือผีสิง ตามด้วยการให้โลแกนเล่นบท ‘คนดี’ เพื่อให้เหยื่อตายใจ จากนั้นก็สั่งเนื้อหมักเกลือชุดใหญ่ราคาแพงของร้านโดยอ้างว่าจะเลี้ยง แต่เมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟ มันกลับพลิกลิ้นและไถเงินจากเราแทน…
เข้าใจแล้วว่าทำไม ขณะหนูสกปรกวูดดี้ถูกโยนลงพื้นเสียงดังโครมคราม พวกขี้เมาโดยรอบกลับไม่แสดงท่าทีใดออกมา… ทุกคนคงกลัวอิทธิพลจากสายข่าวของพลเรือเอกนรก…
แล้วเราควรทำอย่างไร?
ตัวตนปัจจุบันของเราคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยและนักล่าค่าหัวผู้ป่าเถื่อน…
ไคลน์กระดกแก้วพลางดื่มด่ำไปกับรสอันเข้มข้นของเบียร์มอลต์ จึงค่อยกล่าวด้วยเสียงเย็นชาอันเป็นปรกติ
“ทำถึงขนาดนี้แล้ว… ไม่ปล้นกันเลยล่ะ”
“ปล้น…?” โลแกนพลันประหลาดใจกับท่าทีตอบสนองของเหยื่อ
ในเสี้ยววินาทีถัดมา มันมองเห็นกำปั้นกำลังลอยเข้าหาใบหน้าตน
เปรี้ยง!
หมัดซ้ายไคลน์กระแทกใส่ปลายคางโลแกนพร้อมกับส่งร่างอันบึกบึนลอยกระแทกเคาน์เตอร์บาร์ด้วยแผ่นหลัง
ชายหนุ่มดันตัวเองลุกยืนด้วยมือขวาอย่างคล่องแคล่ว ตามด้วยการปรี่เข้าใส่ร่างโลแกนซึ่งกำลังร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วง
เข่าซ้ายพุ่งกระแทกท้องน้อยของอินทรีย์ทะเลโลแกนอย่างจัง
ปึก!
โลแกนพลันตัวงอ ดวงตาเหลือกถลนในลักษณะอ้าปากกว้าง
ไคลน์ชักลูกโม่ยัดใส่ปากพร้อมกับง้างนก
กริ๊ก!
“ฉ…ฉันเป็น…” โลแกนตะกุกตะกัก
ชายหนุ่มจ้องมองเข้าไปในดวงตา ก่อนจะชักลูกโม่กลับและตบด้วยด้ามปืนหนึ่งฉาด
ผัวะ!
ฟันซี่หน้าของโลแกนร่วงกราวทันที ช่องปากชุ่มโชกไปด้วยเลือดแดงฉาน
ความเจ็บปวดเกินขีดจำกัดร่างกายส่งผลให้ดวงตาของมันเหลือกขึ้นจนเหลือเพียงตาขาว
โลแกนหมดสติในท่ายืนคอพับกลางอากาศ
ไคลน์ใช้มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อไว้ไม่ให้อีกฝ่ายร่วงลงไป ขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างล้วงหยิบธนบัตรและเศษเหรียญออกมาจำนวนหนึ่ง
ชำเลืองด้วยหาตา เมื่อมั่นใจว่าไม่เกินห้าปอนด์ ชายหนุ่มโยนเงินไปทางบาร์เทนเดอร์และกล่าวเยือกเย็น
“ไม่ต้องทอน”
ผิวสีแทนของบาร์เทนเดอร์เริ่มขาวซีด มันตะโกนตะกุกตะกักราวกับติดอ่าง
“ห…หัวหน้าของของฉันคือฉลามขาว!”
ไคลน์ปล่อยมือจากโลแกนโดยไม่หันไปมอง ตามด้วยการกลับมานั่งบนเก้าอี้กลมเพื่อลิ้มรสเนื้อหมักเกลืออันเลื่องชื่อของทาเมียร์
มันพบว่ารสชาติและเครื่องปรุงค่อนข้างกลมกล่อมและหอมละมุนลิ้น
หลังจากกินไปสองคำ ไคลน์เงยหน้าถาม
“แล้วหัวหน้าของแกรู้ไหม… ว่าแกสมคบคิดกับอินทรีย์ทะเลเพื่อทำเรื่องชั่วช้า”
“ม…ไม่” บาร์เทนเดอร์กระอักกระอ่วน
เมื่อเห็นไคลน์หยุดพฤติกรรมรุนแรงและจ่ายเงินเรียบร้อย คนคุมร้านเริ่มเดินถอยหลังกลับไปอย่างเงียบงัน
ชายหนุ่มจิบเบียร์หนึ่งอึก ชำเลืองอินทรีย์ทะเลโลแกนบนพื้นพลางซักถามบาร์เทนเดอร์
“เจ้านี่เป็นสายข่าวให้ลูเธอร์ไวล์ใช่ไหม? ค่าหัวเท่าไร?”
“…เขาไม่ได้เป็น” บาร์เทนเดอร์ส่ายหน้า “เขากุเรื่องสายข่าวขึ้นมาเอง แม้แต่ทหารเรือเมื่อครู่ก็ถูกจ้างมาอีกทีหนึ่ง ทั้งหมดก็เพื่อให้ทุกคนหวาดกลัว…”
ได้ยินเช่นนั้น เหล่าขี้เมารอบร้านต่างวางแก้วลงด้วยสีหน้าตกตะลึง บางคนถึงกับเดินเข้ามาใกล้โลแกนและถ่มน้ำลายรดหน้า
ถุด! ถุด! ถุด! หลายคนทำตาม
ไคลน์ก้มหน้ากินเนื้อหมักเกลืออีกครั้ง
“เล่าข่าวลือในช่วงหลังมา”
บาร์เทนเดอร์ถอนหายใจโล่งอก ตามด้วยการเล่าข่าวลือในช่วงสองสามเดือนหลังพลางเช็ดทำความสะอาดแก้วใส
บางเรื่องไคลน์ทราบอยู่แล้ว แต่บางเรื่องก็เป็นข้อมูลใหม่
เรือหลวงแห่งกองทัพเรือโลเอ็น เรือรบหุ้มเกราะรุ่นล่าสุด พริสต์ ได้ทำลายเรือโจรสลัดไปมากมายระหว่างการซ้อมรบ… ข่าวลือความน่าสะพรึงกลัวของปืนใหญ่ประจัญบานได้แพร่ไปยังหมู่โจรสลัดอย่างรวดเร็ว บางกลุ่มแอบฉวยโอกาสขณะพริสต์ยังไม่พร้อมทำสงครามเต็มรูปแบบ รีบลงมือก่อเรื่องชั่วช้ามากมายเพื่อโกยเงินและหนีออกจากน่านน้ำโดยไม่คิดกลับมาอีก… ท้องทะเลคงไม่สงบสุขไปอีกอย่างน้อยครึ่งปี…
พลเรือเอกโลหิต เซนอล และพลเรือโทสนธยา อีวาน·บูลาทอฟ ได้ปะทะกันอย่างรุนแรงในแถบตอนใต้ของทะเลโซเนีย หลังจากสงครามย่อยจบลง แต่ละฝ่ายสูญเสียเรือไปคนละสองลำ…
ไคลน์นั่งฟังโดยไม่ซักถาม เพียงขยับมือเติมเต็มความอิ่มท้อง
หลังจากจัดการกับอาหารและเบียร์จนหมด ชายหนุ่มค่อย ๆ ยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า
“จงจำบทเรียนวันนี้ให้ขึ้นใจ” ไคลน์กล่าวพลางวางจานอาหารไว้ตรงหน้าบาร์เทนเดอร์
ขณะบาร์เทนเดอร์กำลังก้มหน้าหยิบจาน เส้นผมสีดำของมันถูกใครบางคนคว้าไว้
เพล้ง!
ไคลน์จับศีรษะบาร์เทนเดอร์กดลงกระแทกจานกระเบื้องจนแตกละเอียด เศษจานกระจัดกระจายพร้อมกับเลือดสีแดงเปรอะเปื้อนเต็มเคาน์เตอร์
ลูกค้าคนอื่นต่างลุกฮือและขยับถอยหลังเพราะกลัวจะโดนลูกหลง บรรดาคนคุมผับรีบวิ่งตรงมาทางเคาน์เตอร์อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาและพยายามเทของเหลวไม่กี่หยดสุดท้ายลงบนศีรษะบาร์เทนเดอร์ผู้กำลังนอนฟุบ
หนึ่งหยด สองหยด สามหยด…
เมื่อไม่มีหยดเบียร์มากกว่านี้ ไคลน์ตัดใจและโน้มตัวลงไปคว้าคอเสื้อโลแกน ก่อนจะขว้างใส่กลุ่มคนคุมร้านซึ่งกำลังปรี่เข้าหา
ฉวยโอกาสขณะศัตรูเสียจังหวะเบี่ยงตัวหลบไปคนละทิศทาง ประกอบกับความโกลาหลวุ่นวายภายในร้าน ชายหนุ่มวิ่งอ้อมฝูงชนอย่างคล่องแคล่วออกจากร้านปลาบินและไวน์อย่างง่ายดาย
ไคลน์กดหมวกลงพลางเร่งฝีเท้าเดินไปยังถนนข้างเคียง
หลังจากเปลี่ยนเส้นทางอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มลดความเร็วลง พร้อมกับหยิบเหรียญทองขึ้นมาถือบนมือ
เหรียญถูกควงรอบนิ้วอย่างชำนาญประหนึ่งพยายามตรวจจับบางสิ่ง
……………………