บทที่ 213 เพื่อนเก่าสมัยเรียน
ขณะที่สาวใหญ่แซ่ฟู่พาน้องชายของเฉินชางไปโรงเรียนสื่อมวลชนแห่งมณทลตงหยาง เฉินชางก็เรียกรถแท็กซี่ไปที่มหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งมณฑลตงหยาง
มหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งมณฑลตงหยางเปิดภาคเรียนค่อนข้างเร็ว วันนี้เป็นพิธีเปิดภาคเรียนของนักศึกษาปริญญาโท
ความจริงแล้วพิธีเปิดภาคเรียนในวันนี้เรียกว่างานประชุมใหญ่
การได้กลับเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิม ราวกับได้ย้อนวัยกลับไปเป็นวัยหนุ่มสาวเมื่อสมัยเรียนปริญญาตรีอีกครั้ง
เฉินชางทำตามขั้นตอนต่างๆ ในการลงทะเบียนทีละขั้นตอนจนครบถ้วน และได้เอกสารรับรองต่างๆ นานามาเรียบร้อย หลังจากเสร็จจากตรงนี้ ก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี
นักศึกษาแพทย์ปริญญาโทแตกต่างจากคณะอื่น หลายคนบอกว่าเรียนปริญญาโทใช้เงินไม่มาก ถึงขั้นที่ช่วงกำลังเล่าเรียนก็ออมเงินได้ นั่นเป็นเพราะว่าคุณเลือกเรียนคณะอื่นที่เอื้ออำนวยต่อการออมเงิน ถ้าคุณคิดว่าปริญญาโทออมเงินได้…คุณลองมาเรียนแพทย์ดู…
เหนื่อยเหมือนสุนัข ทุกวันทำงานหามรุ่งหามค่ำ หมอในแผนกก็ไม่ได้มองว่าคุณเป็นหมอ เรียกว่าเป็นการฝึกงานฟรีรูปแบบหนึ่ง
เถ้าแก่จ่ายค่าแรง?
ลองคิดดูแล้วกัน
งานประชุมใหญ่เลือกจัดในช่วงบ่ายกับช่วงเย็น ในตอนกลางวันเฉินชางถือบัตรรับประทานอาหารไปที่โรงอาหารซึ่งเป็นสถานที่ที่คุ้นเคย
สมัยเรียนปริญญาตรีเคยเบื่อหน่ายรสชาติอาหารในโรงอาหาร แต่หลังจากที่เรียนจบไปแล้วก็เกิดคิดรสชาตินี้ขึ้นมา ถูก คุ้ม สะอาด
เฉินชางมักจะแวะเวียนมากลับมารับประทานอาหารที่โรงอาหารแห่งนี้เป็นครั้งคราว
อาหารหนึ่งชุดที่โรงอาหารมีกับข้าวที่เป็นเนื้อสัตว์สองอย่าง ผักหนึ่งอย่าง ข้าวหนึ่งถ้วย ราคาแค่เจ็ดแปดหยวน
สมัยที่เพิ่งเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้แรกๆ เฉินชางมักจะชอบไปไหนมาไหนพร้อมกับเพื่อนร่วมหอพักเป็นกลุ่มๆ มาในวันนี้ ตนกลับพบว่า ตนชอบไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่า
ไปทำงานคนเดียว เลิกงานกลับบ้านคนเดียว รับประทานอาหารคนเดียว
ถึงแม้ตัวตนของใครคนหนึ่งอาจไม่เป็นที่น่าพอใจของคนรอบข้าง แต่เมื่อคุณเคยชินกับรูปแบบชีวิตเช่นนี้แล้ว คุณจะรู้สึกว่าคุณสบายใจกับการทำอะไรคนเดียวเช่นนี้
โอเค เฉินชางก็แค่หาเหตุผลอันสูงส่งมาสนับสนุนสถานะโสดของตน
หลังจากที่เลือกซื้อเมนูที่คุ้นเคยแล้ว เขาก็เลือกนั่งตรงที่นั่งที่คุ้นเคย
…
…
“เอ๊ะ? หลัวโจว นายดูนั่น นั่นใช่เฉินชางหรือเปล่า” จู่ๆ ต่งจยาก็กล่าวขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เฉินชางซึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะข้างหน้า
หลัวโจวชะงักงัน และมองตามไป แล้วเขาก็ถึงกับตกตะลึงในทันใด “อุ๊บ! เป็นเขาจริงๆ ด้วย! เฉินชาง! เขามาได้ไง!”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ทั้งสองคนก็ถือถาดอาหารเดินไปยังโต๊ะที่เฉินชางนั่ง
“ชางเอ๋อร์! เป็นนายจริงๆ ด้วย!” หลังจากที่วางถาดอาหารเรียบร้อยแล้ว หลัวโจวส่งเสียงหัวเราะออกมา
เฉินชางจึงเงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นสองคนนั้น เขาก็ถึงกับตกตะลึง
“หลัวโจว? ต่งจยา? ทำไม…ทำไมมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยได้ล่ะ”
ต่งจยาหัวเราะ “พิธีเปิดภาคเรียนของนักศึกษาปริญญาโทปีนี้ อาจารย์กวนให้ฉันมาช่วยงาน เหล่าหลัวปีนี้เรียนจบแล้วอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ฉันก็เลยลากเหล่าหลัวมาด้วย…”
“…อ้อ จริงด้วย นายยังไม่รู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้อาจารย์กวนเป็นหัวหน้าสำนักงานบัณฑิตศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งมณฑลตงหยางแล้ว สุดยอดมั้ยล่ะ…”
“…ว่าแต่เฉินชาง นายมาทำอะไรที่มหาวิทยาลัยล่ะ”
ทั้งสามคนเคยเรียนห้องเดียวกันสมัยปริญญาตรี ความสัมพันธ์จัดว่าดีใช้ได้ เมื่อเจอเฉินชางก็ย่อมรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยเป็นธรรมดา
เฉินชางหัวเราะ “ฉันไม่ได้สะกดรอยตามพวกเธอ ฉันมาเรียนปริญญาโทไงล่ะ อีกหน่อยต้องเรียกพวกเธอว่ารุ่นพี่หลัวกับรุ่นพี่ต่งแล้ว!”
หลัวโจวถลึงตาโต “หมายความว่ายังไง”
เฉินชางยื่นบัตรนักศึกษาที่เพิ่งได้มาในวันนี้ให้หลัวโจวดู “ดูๆ ฉันเป็นนักศึกษาใหม่รุ่นปี 2019 นักศึกษาใหม่ ขาวๆ เอ๊าะๆ”
หลัวโจวกับต่งจยาถึงกับหัวเราะออกมา
ทว่าหลัวโจวกลับอดสงสัยไม่ได้ “ไม่ถูกต้อง ชางเอ๋อร์ อิงจากระดับของนายแล้ว จะสอบเรียนต่อปริญญาโทก็ต้องใช้เวลาสามปี แบบนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องเงื่อนไขใช่มั้ย!”
เฉินชางหัวเราะ “ฉันทำงานมาสองปีแล้ว ตอนนี้ได้รับโอกาสที่ดีพอดี ก็เลยเลยได้มาเรียนต่อปริญญาโท”
ต่งจยาถอนหายใจออกมา “ใครว่าประสบการณ์การทำงานไม่สำคัญล่ะ เดี๋ยวนี้หางานยากจะตายไป โรงพยาบาลในเมืองเอกของมณฑลพวกนั้นไม่รับวุฒิปริญญาโทแล้ว ถึงจะมีบางตำแหน่งที่รับวุฒิปริญญาโท แต่สุดท้ายก็เพื่อที่จะล็อกไว้ให้ลูกศิษย์ของตนเองกันทั้งนั้น…”
“…นักศึกปริญญาโทที่เพิ่งจบในปีนี้ ป่านนี้ยังไม่ได้ข่าวรับสมัครงานจากหน่วยงานของมณฑลเลย ทุกคนต่างก็ยังต้องรอประกาศจากทางมหาวิทยาลัย หลายคนที่เรียนจบแล้วไม่มีทีไป โรงพยาบาลดีๆ ก็ไม่รับเข้าทำงาน โรงพยาบาลไม่มีชื่อก็ไม่อยากไปทำอีก”
เฉินชางมองต่งจยาที่คีบเนื้อชิ้นโตจากจานตนไปใส่ในจานหลัวโจวด้วยท่าทางที่ดูสนิทสนมมาก เขาเลยอดถามไม่ได้ว่า
“หลัวโจว ต่งจยา พวกเธอสองคนคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
หลัวโจวหัวเราะ ส่วนต่งจยากลอกตามองบนพร้อมกล่าวว่า “ปีแรกฉันสอบเข้าโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยซีอันเจียวทงไม่ติด ก็เลยทบทวนดูแล้วว่าจะกลับมาเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเรา หลัวโจวคอยดูแลฉันตลอด เป็นธุระให้ฉันทุกอย่าง ช่วยฉันหาหาอาจารย์ที่ปรึกษา หลังจากที่ฉันสอบเข้าเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเราได้แล้ว ฉันกับหลัวโจวก็เป็นแฟนกันแล้ว”
หลัวโจวก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ต่งจยาเล่าเรื่องนี้ เขาหัวเราะออกมา “เวลาผ่านไปไวมากจริงๆ ระยะเวลาสามปี แค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว ปีนี้ฉันเรียนจบปริญญาโทแล้ว”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ หลัวโจวก็ทำท่าทางลึกลับพร้อมกล่าวขึ้นว่า “ชางเอ๋อร์ งานประชุมใหญ่นักศึกษาใหม่ปีนี้คักคักแน่ โดยเฉพาะเย็นนี้”
เฉินชางชะงัก “หมายความว่าไง”
หลัวโจว “ปีนี้ตรงกับวันฉลองครบรอบหกสิบปีวันสถาปนามหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยเราเชิญศิษย์เก่าดีเด่นหลายคนรวมทั้งศิษย์เก่าที่ช่วงระยะสองปีมานี้มีผลงานยอดเยี่ยมมาร่วมงานประชุมด้วย งานประชุมในช่วงเย็นจะต้องมีคนจำนวนหนึ่งที่ต้องขึ้นเวทีกล่าวสุนทรพจน์แน่”
เฉินชางส่งเสียง ‘อ๋อ’ แสดงการรับรู้ออกมา
สิ่งเหล่านี้ทบจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย
“หลัวโจว นายเรียนปริญญาโทสาขาอะไร” เฉินชางถาม
หลัวโจวหัวเราะ เขาตอบคำถามพร้อมบ่นไปด้วย “เรียนสาขาศัลยแพทย์ทั่วไป แต่ปีนี้มีเปิดรับสมัครงานด้านศัลยแพทย์ทั่วไปน้อยมากเหลือเกิน แล้วคนที่จบสาขาศัลยแพทย์ทั่วไปรุ่นเดียวกับฉันมีเกือบยี่สิบสามสิบคน คนมากตำแหน่งงานน้อยไม่พอแบ่งสรร ไม่ใช่สิฉันต้องพูดว่าหมาป่ามีหลายตัวแต่เนื้อมีน้อยชิ้นไม่พอแบ่งสรร แต่ละคนมองหางานกันตาปริบๆ”
เฉินชางพยักหน้าเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “อ๋อ…งั้นนายมีแผนกที่เหมาะกับนายหรือยัง อาจารย์ที่ปรึกษานายได้ขอโควตาให้นายมั้ย”
ต่งจยาหัวเราะคิกคักออกมา “คนซื่อบื้ออย่างเขา อาจารย์ที่ปรึกษาปลื้มที่ไหนกัน”
หลัวโจวหัวเราะกระอักกระอ่วน เขากล่าวว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาฉันไม่ได้เป็นหัวหน้าแผนก ก็เลยไม่ได้มีอำนาจในมือมากขนาดนั้น คนที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นหัวหน้าแผนกก็ใช่ว่าจะได้โควตาเสมอไป จะว่าไปแล้ว สังคมยุคนี้มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ บ้างล่ะ…”
“…ปีที่แล้วมีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ฝึกอบรบอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกัน หลังจากที่เรียนจบแล้วอยากจะทำงานที่โรงพยาบาลนี้ต่อ ผลสรุปคือสุดท้ายต้องจ่ายไปตั้งหกเจ็ดแสนหยวน ฉันมีเงินเยอะขนาดนั้นเพื่อซื้องานที่ไหนกัน!”
เมื่อพูดถึงเรื่องงาน สภาพจิตใจของเขาก็ค่อนข้างว้าวุ่นตึงเครียด
เฉินชางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้ทันเวลา ทุกคนต่างก็เปลี่ยนมาพูดคุยถึงเรื่องเพื่อนร่วมชั้นเรียน
นับเป็นการรับประทานอาหารกลางวันหนึ่งมื้อที่คึกคักสนุกสนานมาก
จู่ๆ หลัวโจวก็กล่าวขึ้นว่า “อ้อ จริงสิ ชางเอ๋อร์ วันเสาร์นี้มีนัดสังสรรค์ นายสนใจมาร่วมด้วยมั้ย เป็นรุ่นที่จบปีนี้ นัดสังสรรค์กันสักหน่อย ถึงยังไงเสียอีกหน่อยก็ต้องแยกย้ายไปทำงานแล้ว ต้องสร้างคอนเนกชั่นเอาก่อน วันข้างหน้าเวลาที่ต้องการทีมร่วมวินิจฉัยโรคก็จะหาคนมาร่วมทีมได้สะดวกขึ้น”
เฉินชางอดหัวเราะลั่นไม่ได้
สายงานอื่นไม่เข้าใจในสิ่งนี้ สายงานแพทย์เป็นเช่นนี้จริงๆ หลังจากที่เพื่อนนักศึกษาหนึ่งกลุ่มเข้าไปทำงานในโรงพยาบาลแล้ว ต่างก็แยกกันไปประจำแผนกที่หลากหลาย ยังไม่ต้องกล่าวถึงข้อดีเรื่องอื่นเลย แค่อย่างน้อยที่สุดยามที่ต้องหาใครคนสักหนึ่งมาร่วมทีมวินิจฉัยโรคก็สะดวกขึ้นแล้ว ไม่ต้องโทรศัพท์เร่งคนกลางให้ให้ยุ่งยาก ก็แค่โทรติดต่อกันเองโดยตรงก็ได้แล้ว
“วันเสาร์…วันเสาร์ฉันมีธุระนิดหน่อย ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที”
วันเสาร์มีเรื่องที่ต้องทำเยอะมาก หัวหน้ายังบอกให้ตนไปดูงานตั้งโต๊ะรับสมัครงานของโรงพยาบาลอยู่เลย
เป็นการรับประทานอาหารหนึ่งมื้อที่ครื้นเครงมาก เมื่อเพื่อนเก่าได้มาพบปะกัน ก็มีเรื่องน่าสนใจหลายเรื่องให้เล่าสู่กันฟัง มีทั้งเสียงพูดคุย มีทั้งเสียงหัวเราะ จนกระทั่งช่วงบ่าย
จู่ๆ ต่งจยาก็ถามขึ้นว่า “เฉินชาง นายกับเกิ่งเหยียนยังติดต่อกันอยู่มั้ย”
ต่งจยายังไม่ทันพูดจบ หลัวโจวก็ตัดบทด้วยการถลึงตาใส่ต่งจยาทีหนึ่ง
เฉินชางหัวเราะ “ไม่เป็นไร หลังจากที่เรียนจบก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว”
เฉินหลัวตบไหล่เฉินชางเบาๆ “ไม่หาแฟนสักคน? อ้อ จริงด้วย หลังจากเรียนจบปริญญาตรีไปแล้วนายไปทำงานที่ไหน”
เฉินชางส่ายหน้าปฏิเสธเรื่องหาแฟน “หลังจากเรียนจบก็ไปทำงานที่โรงพยาบาลเอกชน ทำไปได้ครึ่งปีก็ทนทำต่อไม่ไหวแล้ว พอดีว่าที่โรงพยาบาลอันดับสองมีรับสมัครพนักงานชั่วคราวประจำแผนกฉุกเฉิน และนับจากวันนั้นเป็นต้นมาก็ทำมาสองปีกว่าแล้ว…”
“…อยู่แผนกฉุกเฉินงานยุ่งขนาดนั้น จะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน คิดๆ ดูแล้ว ช่วงเรียนเนี่ยแหละหาแฟนง่ายสุด”