เช้าวันถัดมาซูโยวหรานตื่นไปส่งเสี่ยวต้านเขอที่โรงเรียนแต่เช้า แต่เธอเจอกับผู้อาวุโสหนานกงในห้องนั่งเล่นเสียก่อน
“คุณปู่…”
“คุณทวด…”
ทั้งแม่ลูกต่างระแวง ถึงอย่างไรพวกเธอก็กลัวชายสูงวัยคนนี้ และอีกฝ่ายก็ไม่ได้พยายามทำตัวเป็นกันเองเช่นกัน ทว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้พูดจาเกรี้ยวกราด “พรุ่งนี้ช่วยย้ายโรงเรียนให้เจ้าไฉ่เอ๋อร์ด้วย จะได้ไม่ต้องเจอหน้ากับตระกูลโม่ตลอดเวลา”
“คุณปู่คะ เฉวียนเป็นคนที่ดูแลเรื่องการเรียนของเสี่ยวต้านเขอมาตลอดน่ะค่ะ ปู่ไปบอกเรื่องนี้กับเขาก็ได้ค่ะ ตอนนี้ฉันจะไปส่งเสี่ยวต้านเขอที่โรงเรียนก่อน”
ซูโยวหรานปัดเรื่องไปทางหนานกงเฉวียนอย่างมีไหวพริบ อย่างไรเสียเขาก็เป็นหัวหน้าครอบครัว
หลังได้คำตอบจากซูโยวหราน ผู้อาวุโสหนานกงก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับและมองสองแม่ลูกเดินออกไป ภรรยาตัวแสบและลูกสาวคงหวาดระแวงเขาอยู่แน่
หลังขึ้นมาในรถ เสี่ยวต้านเขอกระตุกแขนเสื้อของซูโยวหราน ในจังหวะนั้นแค่นึกถึงผู้อาวุโสหนานกงก็ทำให้เธอกลัวขึ้นมาหน่อยๆ “แม่ขา ทำไมคุณทวดถึงได้น่ากลัวจังเลยล่ะคะ ทำไมทวดถึงไม่อยากให้หนูไปโรงเรียนล่ะ”
“คุณทวดไม่ได้ไม่อยากให้เสี่ยวต้านเขอไปโรงเรียนนะคะ แค่ไม่อยากให้หนูเข้าใกล้ฝาแฝดเพราะเหตุผลของผู้ใหญ่เท่านั้นเอง” ซูโยวหรานอธิบาย
“งั้น…ถ้าหนูรับปากว่าจะไม่คุยกับพวกเขาอีกแล้วล่ะคะ คุณทวดจะบังคับให้หนูย้ายโรงเรียนหรือเปล่าคะ”
ซูโยวหรานรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเล็กน้อยที่ปล่อยให้ความบาดหมางกันของผู้ใหญ่พลอยทำให้เด็กอายุยังน้อยเดือดร้อนไปด้วย…
เธอจึงเอื้อมแขนออกไปกอดเสี่ยวต้านเขอไว้ “เสี่ยวต้านเขอ หนูต้องจำเอาไว้ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดนะคะ โอเคไหม”
เสี่ยวต้านเขอคอตกด้วยความผิดหวัง ก่อนยอมในท้ายที่สุด “หนูรู้ค่ะ แม่”
ไม่ว่าเธอจะต้องย้ายโรงเรียนหรือไม่ ก็ยังเป็นการตัดสินใจของหนานกงเฉวียน
หากแต่อย่างที่โชคชะตากำหนดไว้ สุดท้ายเสี่ยวต้านเขอกับฝาแฝดก็ได้เจอหน้ากันที่ประตูโรงเรียน
สองพี่น้องเด็กดีเข้ามาหาเสี่ยวต้านเขอทันทีที่เห็นเธอ โม่จื่อซีพยายามคุยกับเธอด้วยซ้ำ หากแต่เสี่ยวต้านเขอกลับหลบหน้าพวกเขาอย่างรวดเร็ว
โม่จื่อซีดูเสียใจและงุนงงเล็กน้อย ในขณะที่โม่จื่อเฉินนั้นมีท่าทีเฉยเมย
ชายหนุ่มที่มาส่งเด็กๆ ที่โรงเรียนหันไปมองหน้าซูโยวหรานอย่างสงสัยก่อนเธอจะอธิบาย “วันนี้เธอถูกดุมาก่อนหน้านี้น่ะค่ะ เลยอารมณ์ไม่ดีอยู่…”
เขาเข้าใจและพยักหน้าให้ “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
ความจริงแล้วไม่ใช่เพียงแค่ผู้ใหญ่ แม้แต่เด็กๆ ยังไม่อาจรับมือได้กับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะด้วยโม่จื่อซีเป็นเด็กใจกล้าและขี้เล่น หลังจากโดนเสี่ยวต้านเขอปฏิเสธ เขาก็ไม่สบอารมณ์มาจนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวัน
เมื่อเห็นว่าพี่ชายตัวเองเงียบไป โม่จื่อเฉินหยิบเค้กจากคุณครูส่งให้เขา ทว่าแม้ตาจะมองเค้กโม่จื่อซีก็ยังนิ่ง
เด็กชายเจ้าเนื้อข้างๆ พวกเขาเห็นเค้ก เขายื่นมือออกมาล้มเค้กให้หล่นจากมือโม่จื่อซี ชวนให้เจ้าตัวไม่พอใจ “น้องชายฉันให้เค้กนี้มานะ! ฉันจะต่อยนาย!”
ทันทีที่ว่าดังนั้น กำปั้นของโม่จื่อซีก็พุ่งตรงไปหาเด็กชายเจ้าเนื้อคนนั้น…
สำหรับเด็กแล้ว นี่คือสงคราม!
เมื่อคุณครูมาถึง เด็กชายคนนั้นก็ได้ลงไปนอนกับพื้นพร้อมเลือดกำเดาที่ไหลออกมาเสียแล้ว คุณครูตกใจสุดขีดจนชี้ไปทางโม่จื่อซีก่อนเอ่ย “บอกผู้ปกครองของเธอให้มาพบครูพรุ่งนี้!”
โม่จื่อซีมองหน้าโม่จื่อเฉิน ก่อนอีกฝ่ายจะมองกลับอย่างเรียบเฉย
เธออยากจะเจอพ่อแม่พวกเขาจริงหรือ
ไม่นานแม่ของเด็กชายคนนั้นก็รู้ว่าลูกตัวเองถูกต่อย ในเมื่อครอบครัวของพวกเขามีอำนาจอยู่บ้าง เธอจึงบุกเข้ามาในโรงเรียนเพื่อขอพบโม่จื่อซี “เธอเป็นคนทำให้ลูกชายฉันบาดเจ็บครั้งที่แล้วใช่ไหม ครั้งนี้ก็เป็นเธออีกแล้ว!”
“ปล่อยผม ปล่อยผมนะ! เขาเป็นคนผิดตั้งแต่แรกต่างหาก!”
“เธอไม่มีเหตุผลจะไปต่อยคนอื่นทั้งนั้นแหละ จะบอกให้นะ ฉันจะเรียกพ่อแม่ของเธอมาที่นี่และบอกให้พวกเขาขอโทษให้รู้ทั่วกัน!
“ไม่อย่างนั้นก็คุกเข่าและยอมรับผิดซะ เดี๋ยวนี้เลย!”
“ไม่!” โม่จื่อซีสวนกลับ “ผมไม่ทำหรอก!”
ภาพที่ปรากฏน่าขายหน้าไม่น้อย แม่ของเด็กชายเจ้าเนื้อคนนั้นจึงไม่โวยวายต่อหน้าทุกคนอีก กลับเดินไปที่ห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่และขอให้เขาจัดการเรื่องนี้อย่างเข้มงวด เธอบอกว่าตัวเองจะไม่ยอมจนกว่าเด็กทั้งสองคนจะถูกไล่ออก
ถึงอย่างไรลูกชายของเธอก็เลือดกำเดาไหล…
เรื่องมันร้ายแรงเพียงไหนกัน
ครูที่ปรึกษาเองก็ไม่พอใจเช่นกัน เมื่อเธอได้เจอชายหนุ่มที่มารับเด็กๆ จึงบอกกับเขา “บอกผู้ปกครองพวกเขาให้มาพบฉันพรุ่งนี้ด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นเด็กสองคนนี้จะต้องถูกไล่ออก”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจสถานการณ์ ก่อนหลังจากนั้นสักพักจะได้ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและรู้ว่าเจ้าแสบต่อยใครบางคนอีกแล้ว
“โอเคครับ ผมจะกลับไปบอกพ่อแม่ของพวกเขาให้นะครับ” ชายหนุ่มตอบ
แม้โม่จื่อซีจะไม่ผิดที่ปกป้องตัวเอง แต่เขาก็ลืมไปว่าตัวเองแรงเยอะเพียงไหนอยู่บ่อยครั้ง
ส่วนเด็กเจ้าเนื้อคนนั้น เขาอาศัยตำแหน่งของแม่ในคณะกรรมการโรงเรียนเพื่อทำทุกอย่างตามใจตัวเอง เขาถึงสมควรถูกต่อยที่ใช้เส้นสายตัวเองเพื่อรังแกคนอื่นตั้งแต่ยังเด็กขนาดนี้
ถึงกระนั้นทุกคนที่โรงเรียนก็รู้ว่าเขาเป็นใคร
หลังจากมาส่งเด็กๆ ที่บ้าน ชายหนุ่มก็รายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ถังหนิงทราบ พอรู้เรื่องเธอก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เขาต่อยเด็กคนนั้นอีกแล้วเหรอ”
“พรุ่งนี้ทางโรงเรียนขอพบผู้ปกครองของพวกเขาที่ห้องคุณครูที่ปรึกษาด้วยครับ” เขาว่าพลางเกาศีรษะ
“จวินอี้ นายกลับบ้านไปก่อน นายหยุดงานพรุ่งนี้ได้” ถังหนิงหัวเราะ
“โอเคครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับและกลับบ้านไปหลังจากทำงานเสร็จ
ถังหนิงเห็นว่าโม่จื่อซีดูรู้สึกผิด เธอจึงคุกเข่าลงมาพูดกับเขา “ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ”
“เพราะว่า…เพราะว่า…”
“จื่อซี จะปกป้องน้องก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่ลูกต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเอง เข้าใจที่แม่พูดไหมคะ ลูกจะจับคนที่มารังแกก็ได้ แต่จะไปต่อยเขาไม่ได้นะ ลูกต่อยเขาจริงๆ ไม่ได้เพราะว่าการทำร้ายคนอื่นเป็นเรื่องที่ผิด โอเคไหมคะ”
“แม่ครับ…”
“ครั้งนี้แม่จะปล่อยผ่านให้นะ ลูกจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในครั้งนี้ แต่ครั้งหน้าลูกจะไปต่อยใครไม่ได้แล้วนะ โอเคไหม” ถังหนิงถามอย่างใจเย็น
โม่จื่อซีเหลือบมองโม่จื่อเฉินก่อนสองพี่น้องจะพยักหน้ารับ
“เราทั้งสองคนจะเชื่อฟังแม่ครับ…”
หากแต่สิ่งที่น่ากังวลคือเด็กชายเจ้าเนื้อคนนั้นเลือดกำเดาไหล…
เจ้าแสบคนนี้จะก้าวร้าวไปแล้ว
คืนนั้นเมื่อโม่ถิงกลับมาถึงบ้าน ถังหนิงเล่าเหตุการณ์ให้เขาฟัง โม่จื่อซีก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมมือสองข้างที่จับกันไว้ก่อนอธิบาย “แม่ แม่ครับ… เขาล้มลงไปเองนะครับ…”
ถังหนิงเข้าใจในทันใดว่าเด็กชายเจ้าเนื้อคนนั้นเลือดกำเดาไหลเพราะหกล้ม
“ดูเหมือนว่าฉันจะไม่มีทางเลือกนอกจากไปโรงเรียนพรุ่งนี้แล้วล่ะค่ะ ฉันจะไปเอง… ฉันดูอ่อนโยนกว่าน่ะค่ะ ถ้าคุณไปคงได้ทำให้ทุกคนกลัวแน่!” ถังหนิงเอ่ย
“พวกเขากล้าดียังไงมารังแกลูกตระกูลโม่กัน” โม่ถิงว่าอย่างเยือกเย็น
“ถ้าฉันไปพรุ่งนี้ พวกเขาก็จะได้รู้ว่าลูกๆ เป็นใครแล้วล่ะค่ะ” ถังหนิงหัวเราะ เดิมทีพวกเขาไม่ได้อยากให้เด็กๆ อยู่กันเงียบๆ หรือ
ใครจะคิดว่าพวกเขาจะสร้างวีรกรรมมากมายขนาดนี้ เพียงในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาก็ต่อยคนอื่นไปสองครั้งแล้ว!