“ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมคะ คุณช่วยทำงานแต่งนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ได้ไหมคะ”
“ผม…”
“ฉันรู้ว่าคุณไม่อยากทำแต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นค่ะ ฉันไม่อยากทำให้แม่ของฉันต้องหัวใจวาย” เชียนหลานอ้อนวอนสุดฤทธิ์ขณะที่เกาะแขนโม่จื่อเฉินไว้ “ฉันรับปากว่าเราจะจัดงานแต่งงานกันเท่านั้น จะไม่มีการเซ็นเอกสารใดๆ เกิดขึ้น หลังจากงานเสร็จคุณจะไปแต่งงานกับใครที่คุณต้องการก็ได้ เราจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไปค่ะ”
“แต่ว่า…”
“จื่อเฉิน ช่วยฉันหน่อยนะคะ”
ไม่ว่าโม่จื่อเฉินจะครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างไร เขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกดึงเข้าไปติดกับ หากแต่ยังคงยอมให้เชียนหลานลากเขาเข้าไปในรถแต่งงาน
เพื่อนเจ้าสาวของเชียนหลานเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอ เมื่อเห็นว่าเธอสลับตัวเจ้าบ่าวอย่างห้าวหาญพวกเธอก็นึกชื่นชมในความกล้าของเธอ
ในเมื่อเขามานั่งอยู่ในรถแล้ว โม่จื่อเฉินตัดสินใจเล่นไปตามน้ำและทำตามคำขอของเชียนหลาน อย่างไรเสียเขาเองก็ควรเข้าบรรยายในวันนั้นจึงแต่งตัวให้เหมาะสมมาเรียบร้อยแล้ว
…
งานแต่งงานของเชียนหลานเป็นงานเล็กๆ แต่ก็ยังมีแขกจากกองทัพอยู่บ้าง รวมถึงเพื่อนๆ และครอบครัวของเธอ ทั้งหมดราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบคน อย่างไรก็ตามเมื่อโม่จื่อเฉินเหลือบมองไปที่แถวหน้าและเห็นคุณนายเชียน เขาสังเกตว่าเธอดูอาการไม่ดีนักเหมือนคนป่วยหนักจริงๆ
แน่นอนว่าทั้งเชียนฮุ่ยและคุณพ่อเชียน รวมถึงสวีฉุนเฮ่าเองก็เข้าร่วมงานเช่นกัน ทันทีที่พวกเขาเห็นโม่จื่อเฉินเดินเข้ามา ดวงตาพวกเขาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ่าวกัน
ทำไมถึงได้เปลี่ยนตัวกะทันหันกัน
งานแต่งนี้จะเป็นอย่างไร นี่มันพังพินาศไปหมดแล้ว!
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า คุณนายเชียนลุกขึ้นถามทันที “ลูกล้อเล่นหรือยังไง เจ้าบ่าวของลูกไปไหน”
“นี่ไงคะ” เชียนหลานตอบพลางคล้องแขนกับโม่จื่อเฉิน
“แม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เขาไม่ใช่เจ้าบ่าวนี่ เชียนหลาน วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของลูก อย่าทำเป็นเล่นไปนะ”
“หนูไม่ได้เล่นค่ะ วันนี้หนูจะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้” หลังจากพูดกับแม่ตัวเองจบ เชียนหลานหันไปหาเจ้าพิธีก่อนบอก “เริ่มกันเถอะค่ะ เขาชื่อโม่จื่อเฉิน”
เจ้าพิธีอึ้งไปเล็กน้อย หากแต่เขาก็พยักหน้ารับอย่างรวดเร็วและตอบ “งั้นมาเริ่มกันเลยนะครับ…”
ทุกคนคิดว่าภาพที่เห็นน่าขันไม่น้อย แต่พวกเขาก็ยังปล่อยให้เชียนหลานกับโม่จื่อเฉินทำต่อไป
เหลวไหลสิ้นดี! หลังจากนั้นคุณนายเชียนรู้ว่าเจ้าบ่าวตัวจริงหนีไปและลูกสาวของเธอสุ่มคว้าผู้ชายมาแทนที่เขา แต่เธอชักกล้ามากเกินไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อที่เธอเอาแฟนเก่าตัวเองมา สถานการณ์ตอนนี้มันยังไม่วุ่นวายพอหรอกหรือ
โม่จื่อเฉินดูออกว่าทุกคนกำลังเยาะเย้ยเชียนหลาน
อย่างไรเสียคงไม่มีใครคว้าเจ้าบ่าวมามั่วๆ เพียงเพราะว่าเจ้าบ่าวคนเดิมหนีไป แต่พ่อแม่ของเขาก็แต่งงานกันอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
เมื่อคิดได้ดังนั้น โม่จื่อเฉินหยุดงานแต่งงานเอาไว้และหันไปโค้งให้กับทุกคน ก่อนจะอธิบาย “ผมขอโทษทุกคนด้วยนะครับ เชียนหลานเอาผมมาแทนที่เจ้าบ่าวของเธอที่หนีไปจริงครับ
“แม้ว่าการแต่งงานจะวุ่นวาย มันก็ดีที่พ่อแม่ของเธออยู่ที่นี่ ผมถือโอกาสนี้บอกพวกท่านทั้งสองว่าผมเชื่อว่าผมจะเป็นคนที่ทำให้เชียนหลานมีความสุขครับ ดังนั้นผมหวังว่าคุณป้ากับคุณลุงจะยกลูกสาวให้ผมนะครับ
“พูดตามตรงเชียนหลานยังไม่นึกจะเตรียมตัวแต่งงาน เธอจัดงานแต่งนี้ขึ้นเพื่อความสบายใจของคุณป้า
“ดังนั้นพอเจ้าบ่าวของเธอหนีไป เธอเลยไม่มีทางเลือกนอกจากพาผมซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเธอมา
“ไหนๆ ผมก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ผมมีบางอย่างอยากจะพูดครับ งานแต่งงานนี้อาจจะเป็นโมฆะ แต่ผมเชื่อว่าผมเป็นคนที่เชียนหลานเชื่อใจได้ตลอดชีวิต คิดว่ายังไงเหรอครับ คุณป้า ยังคิดว่าเรื่องเล่นๆ นี้ควรจะจบลงไหมครับ”
หลังจากได้ยินจากปากโม่จื่อเฉิน คุณนายเชียนหันไปมองหน้าลูกสาวตัวเอง “ถ้าไม่ใช่เพราะโม่จื่อเฉิน วันนี้ลูกจะอับอายสักแค่ไหน”
เชียนหลานมองหน้าโม่จื่อเฉินก่อนระบายยิ้ม “แม่คะ…”
“…หนูไม่สนใจว่าวันนี้เจ้าบ่าวของหนูจะหนีไปหรือเปล่า ที่หนูรู้คือพิธีวันนี้เสร็จสิ้นไปแค่ครึ่งเดียว งั้นก็มาทำให้เสร็จเถอะค่ะ วันนี้ตระกูลเชียนจะยอมรับแค่ผู้ชายคนนี้เท่านั้น”
เธอเหลือบมองโม่จื่อเฉินด้วยท่าทีจริงจัง
เหตุการณ์ทั้งหมดทั้งเป็นเรื่องจริงและจอมปลอม แม้แต่โม่จื่อเฉินยังไม่อาจแยกแยะเรื่องจริงได้ โชคดีที่เชียนหลานโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูเขา “ไม่ต้องห่วงนะคะ หลังจากงานนี้จบลง เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนก่อน”
เขาพยักหน้าและหันไปหาเจ้าพิธี
ไม่นานพิธีก็สิ้นสุดลง คุณนายเชียนหันไปหาแขกเหรื่อปและกล่าวขอโทษหลังจากนั้น “วันนี้เป็นเรื่องงามหน้าเต็มที ฉันขอโทษที่ทำให้พวกคุณต้องมาเห็นเรื่องน่าขันอย่างนี้ด้วยนะคะ ลูกสาวฉันอาจเป็นแค่ทหารชั้นร้อยโทแต่เธอก็เป็นผู้ใหญ่มาก กรุณารับคำขอโทษของฉันด้วยนะคะ
“เอาอย่างนี้ไหมคะ ทำไมเราไม่คิดเสียว่าเราทั้งหมดมาร่วมพิธีหมั้นในวันนี้ พอทั้งสองคนพร้อมแต่งงานกันจริงๆ ตระกูลเชียนจะจัดงานใหญ่ให้ลูกสาวของเราค่ะ”
คำพูดของคุณนายเชียนคลายความอึดอัดในงาน ก่อนที่ทุกคนจะเข้าใจเจตนาของเธอจึงปรบมือแสดงความยินดีกับเชียนหลาน
คุณนายเชียนเชิญแขกเข้าในโรงแรมเพื่อพักผ่อน เธอหันมาสั่งสอนเชียนหลานอย่างเอาจริงเอาจัง “ผ่านไปห้าปี ลูกจากบ้านไปห้าปีแล้วกลับมาพร้อมของขวัญอย่างนี้น่ะเหรอ”
โม่จื่อเฉินยืนอยู่ด้านหลังขณะที่มองเธอถูกต่อว่า
“ก่อนหน้านี้ลูกประกาศว่าจะออกจากตระกูลเชียนและไม่กลับมาอีกนี่ แม่ก็ให้ปล่อยให้ลูกไปแล้วไง แล้วนี่มันอะไรกัน
“ลูกแกล้งตบตาเพื่อให้แม่สบายใจงั้นเหรอ
“แม่โกรธแทบตาย โชคดีที่จื่อเฉินมาช่วยไว้”
โม่จื่อเฉินสังเกตคุณนายเชียนและเห็นว่าเธอเปลี่ยนไปมาก
บางทีอาจเป็นเพราะตระกูลเชียนถูกสอบสวน คุณนายเชียนถึงได้สัมผัสความร้ายแรงของธรรมชาติมนุษย์จึงรู้จักมีไหวพริบมากขึ้น
เมื่อห้าปีก่อนโม่จื่อเฉินไม่เคยพบกับคุณนายเชียน และนับจากนั้นทั้งสองก็ไม่เคยเจอกันสักครั้ง แต่เขาอดใจตามสืบเรื่องตระกูลเชียนไม่ไหว ถึงได้รู้ว่าคุณนายเชียนเป็นอย่างไรเมื่อห้าปีก่อน
“ทีนี้เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว จื่อเฉิน ฉันต้องถามว่าเธอจริงจังกับเรื่องที่พูดไปเมื่อกี้ไหม หรือว่าแค่พูดบังหน้ากับแขกไป
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอช่วยเราไว้ ฉันเลยไม่โทษที่เธอพูดความจริงออกไปหรอก”
“คุณป้าครับ มันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น่ะครับ อย่าเอามาใส่ใจเลยครับ” เขาตอบอย่างมีความหมายแอบแฝง
“ฉันเข้าใจ” อีกฝ่ายพยักหน้าให้ “ถ้าอย่างนั้นเรื่องวันนี้ก็ให้จบๆ ไปแล้วกัน”
เชียนหลานมองโม่จื่อเฉินพร้อมร่องรอยความผิดหวัง หากแต่มันก็พลันหายไปทันที
“ไม่ใช่ครับ ที่ผมหมายถึงคือผมยินดีที่จะคบกับเชียนหลานอีกครั้งครับ”
เขาสบตากับเชียนหลานก่อนเอ่ยสำทับ “ในเมื่อโชคชะตาไม่เข้าข้างเราเมื่อห้าปีก่อน มาลองกันใหม่เถอะครับ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นผมก็จะไม่ฝืนอีก”
เธอมองหน้าเขาด้วยความตกตะลึง…
“คุณเอาจริงเหรอคะ”
“ครับ เชียนหลาน แต่ผมต้องขอพูดตามตรงกับคุณว่าเมื่อห้าปีก่อนที่คุณบอกเลิกผม ผมทำใจอยู่นานเลยนะครับ ดังนั้นผมอาจยังเข็ดขยาดคุณอยู่ ถ้าอยากจะคบกับผม คุณต้องเตรียมใจยอมรับว่าผมอาจจะไม่สนิทสนมมากนักในช่วงแรกๆ นะครับ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ เธอก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “ฉันเข้าใจค่ะ…”
“ถ้าคุณยอมรับการหมั้นวันนี้ อย่างนั้นก็ถือซะว่ามันเป็นเรื่องจริงแล้วกันครับ”