ทว่าในยามเชียนหลานลืมตาขึ้นมากลับพบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาเพียงลำพัง โม่จื่อเฉินกลับไปที่ห้องของเขาเสียแล้ว
แม้ว่าเชียนหลานออกจะผิดหวังเล็กน้อย เธอก็ไม่ได้ฝืนใจให้เขาทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ต้องการ เธอทำเพียงกลับไปที่ห้องตัวเองเพื่อพักผ่อนบ้าง อย่างไรเสียเธอก็ต้องไปรายงานตัวกับกองทัพวันพรุ่งนี้
หากแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อโม่จื่อเฉินมาเคาะประตูในเวลาต่อมา เขาบอกกับเธอหลังเธอไปเปิดประตูให้ “มานี่สิครับ”
เชียนหลานยืนอึ้งอยู่ชั่วขณะก่อนรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น “คุณหมายถึง…คุณกับฉันเหรอคะ…”
“คุณไม่อยากเหรอครับ”
เชียนหลานรีบส่ายหน้า
หลังได้คำตอบของเชียนหลาน โม่จื่อเฉินกลับมาที่ห้องตัวเองและเว้นที่บนเตียงไว้ครึ่งหนึ่ง
เชียนหลานนิ่งค้างไปขณะที่เอนตัวลงนอนข้างๆ เขา ทั้งคู่หันหลังให้กันและไม่ปริปากพูดออกมาสักคำ จนกระทั่งเชียนหลานเกือบผล็อยหลับไปในที่สุดเขาจึงเอ่ยขึ้น “พอเจอคุณอีกครั้งหลังจากผ่านมาห้าปี ผมไม่รู้ว่าจะเข้าหน้ากับคุณยังไงน่ะครับ
“แต่ผมไม่อยากปล่อยมือและมองคุณจากไป ผมเกลียดคุณตอนที่เห็นคุณ แต่พอผมไม่เจอหน้าคุณ…
“ผมก็คิดถึงคุณ
“ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไร เชียนหลาน ผมอยากจะเริ่มต้นใหม่ แต่ผมทำใจเชื่อใจคุณไม่ได้ คุณเข้าใจไหมครับ”
หลังจากว่าเช่นนี้ โม่จื่อเฉินตกอยู่ในความเงียบ เขาได้เปิดเผยความรู้สึกส่วนลึกที่สุดกับเชียนหลาน
ในเวลาเดียวกันน้ำตาเริ่มไหลรินจากดวงตาของเชียนหลานหลังได้ยินสิ่งที่เขาบอก “ในหัวใจของคุณ ฉันคงเป็นคนผู้หญิงที่ไปๆ มาๆ ตามใจชอบ
“ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายบอกเลิกคุณเมื่อห้าปีก่อน แต่ระหว่างห้าปีนี้ก็ไม่ได้มีสักวันที่ฉันไม่รู้สึกเสียใจ!
“ฉันรู้ว่าคุณคงเกลียดและโทษฉันกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่…ช่วงที่ฉันอยู่ในกองทัพก็มีแต่การคิดถึงคุณที่ช่วยให้ฉันก้าวไปข้างหน้าและมีชีวิตต่อไปได้
“จื่อเฉิน ถ้าคุณจะโทษฉันก็ไม่เป็นไรหรอกนะคะ ฉันรอคุณได้ ตอนนี้ฉันอยู่ข้างๆ คุณแล้ว คุณเกลียดและต่อว่าฉันได้เท่าที่คุณต้องการได้เลยค่ะ ฉันจะไม่จากคุณไปไหนอีก”
หลังจากว่าเช่นนั้น เชียนหลานวาดแขนกอดโม่จื่อเฉิน “ฉันจะอยู่ข้างคุณตลอดไปค่ะ”
ภายในห้องที่มืดมิด โม่จื่อเฉินลืมตาขึ้นเล็กน้อย สิ้นเสียงถอนหายใจ เขาปิดเปลือกตาลงอีกครั้งก่อนดำดิ่งกลับไปสู่ความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด…
ในที่สุดจิตใจของเขาที่ล่องลอยไปทั่วเนิ่นนานรู้สึกราวกับได้หยัดยืนลงบนพื้น พาให้สัมผัสถึงความมั่นคงในท้ายที่สุด
…
เช้าตรู่วันต่อมา เชียนหลานตื่นขึ้นมาและพบว่าโม่จื่อเฉินลุกขึ้นจากเตียงแล้วทั้งที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ พื้นเตียงฟากของเขาเย็บเฉียบเหมือนกันว่าเขาลุกขึ้นไปนานมากแล้ว
เรื่องต่างๆ คล้ายคลึงกับเมื่อห้าปีก่อนมาก เธอจำได้ว่าโม่จื่อเฉินมักกลับมาถึงบ้านในช่วงเช้ามืดอยู่บ่อยๆ เมื่อคิดเช่นนั้น เชียนหลานสวมเครื่องแบบทหารก่อนจะมุ่งหน้าไปกองทัพด้วยตัวเอง
คำพูดที่โม่จื่อเฉินบอกเมื่อคืนก่อนอาจฟังดูเจ็บปวด หากแต่อย่างน้อยเขาก็พูดออกมาจากใจ
เชียนหลานไม่เคยรู้ว่าโม่จื่อเฉินจะฝังใจกับความสัมพันธ์ของพวกเขาขนาดนี้
หลังจากมาถึงกองทัพ เธอตัดสินใจลืมทุกอย่างที่เขาพูดกับเธอไปเป็นการชั่วคราว ท่าทีของเธอระหว่างการฝึกจึงได้ดูแข็งกร้าวและทรงพลังมากกว่าปกติ
“ครูฝึกเชียนเข้าวัยทองหรือเปล่าเนี่ย เธอฝึกเราอย่างกับเราไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นแหละ” ทหารเข้าประจำการใหม่บ่นกับกันและกัน
พวกเขาไม่มีที่ระบายความอัดอั้นตันใจของตัวเอง
“ใครจะอยากให้ผู้หญิงคนหนึ่งโหดขนาดนี้กันล่ะ”
“ฉันได้ยินว่าเธออายุเกือบยี่สิบเจ็ดแล้วแต่ยังไม่มีคนรักเลย”
“ดูสีหน้าเกรี้ยวกราดของเธอสิ ใครจะกล้าพอจะเปิดใจให้เธอล่ะ”
“พวกนายกำลังคุยอะไรกัน ถ้ามีแรงเหลือมานักก็วิดพื้นไปอีกสองร้อยครั้ง” เชียนหลานตวาด
“ขอโทษครับ ครูฝึกเชียน เราผิดไปแล้ว!”
“ไม่มีการผ่อนผัน ยืนขึ้น” เชียนหลานสั่ง “ในเมื่อนายเข้าร่วมกองทัพก็อย่าหวังว่านี่จะเป็นประสบการณ์สบายๆ ความสบายมันมีสำหรับคนตายเท่านั้นแหละ!”
บางทีอาจไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่ผอมบางอย่างเชียนหลานจะมีพลังล้นเหลือ
ในฐานะเจ้าหน้าที่ทหาร ไม่ใช่เพียงร่างกายของเธอที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่จิตใจที่อ่อนไหวที่สุดของเธอก็เข้มแข็งขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อเธอนึกถึงโม่จื่อเฉิน เธอสามารถผ่านพ้นทุกสิ่งไปได้!
หนึ่งอาทิตย์ผ่านพ้นไปกว่าเชียนหลานจะได้เจอโม่จื่อเฉินอีกครั้งหนึ่ง
เชียนหลานแบกร่างกายแสนเหนื่อยล้ากลับมาที่บ้านเพื่อเจอโม่จื่อเฉินกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา
บางทีมันอาจเป็นสิ่งที่คนเราพูดถึงการใช้ชีวิตที่สงบสุข
“คุณกลับมาแล้ว” โม่จื่อเฉินเอ่ยโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
“อือฮึ”
น้ำเสียงของเชียนหลานทั้งเฉื่อยชาและเหนื่อยล้า
“คุณกินอะไรมาหรือยัง ผมทำอาหารไว้บ้าง” โม่จื่อเฉินบอก
ความจริงเชียนหลานกินมาจากในฐานทัพแล้ว แต่เมื่อเธอนึกถึงการทานข้าวกับโม่จื่อเฉินก็รีบตอบ “ยังเลยค่ะ”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาสิครับ” โม่จื่อเฉินเอ่ยพลางวางหนังสือลงก่อนลุกขึ้นจากโซฟา
อย่างไรก็ตามเชียนหลานสังเกตเห็นความผิดปกติของท่าเดินโม่จื่อเฉิน
“ขาคุณเป็นอะไรเหรอคะ” เชียนหลานถามขึ้นทันที
“ผมบังเอิญเดินชนบางอย่างเข้าน่ะ” โม่จื่อเฉินตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน
เชียนหลานมองสำรวจหัวเข่าของเขาอย่างละเอียดก่อนเลื่อนสายตาไปเจอรอยช้ำที่ต้นขา มันจะเป็นแค่การเดินชนบางอย่างไปได้อย่างไร เขาถูกใครบางคนทำร้ายชัดๆ
“คืนนี้คุณจะออกไปอีกเหรอคะ” เชียนหลานถาม “ห้าปีก่อนคุณก็กลับบ้านมากลางดึกบ่อยๆ ฉันเลยรู้ว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณคงออกไปกลางดึกเหมือนกัน…”
โม่จื่อเฉินไม่ได้ตอบ
พูดจบเชียนหลานก็เดินเข้าไปเอาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลในห้องนอน เธอคุกเข่าลงตรงหน้าเขา “ฉันรักษาแผลอย่างนี้เก่งมากนะคะ นั่งลงค่ะ”
เขาก้มลงและเห็นแววเป็นห่วงเป็นใยในสีหน้าของเธอ
“นั่งลงสิคะ”
เขาชะงักไปเล็กน้อยขณะที่ถอยออกไปสองก้าวและนั่งลงบนโซฟา
“คุณไม่ได้ออกไปจากบ้านมากี่วันแล้วคะ” เธอถามเพราะเห็นถังขยะเต็มอยู่หลายวัน “คุณไม่ได้ออกไปนอกบ้านหลังจากได้รับบาดเจ็บเหรอคะ”
โม่จื่อเฉินพยักหน้า
“ถ้าจะอยากแกล้งทำเนียน ทำไมถึงปล่อยให้ฉันรู้เรื่องนี้ล่ะคะ” เธอยกขาของเขาขึ้นมาและเห็นบาดแผลมากมายทั้งหมดของเขา
เชียนหลานถึงกับพูดไม่ออกพลางแนบแก้มลงกับขาของเขาและเริ่มร้องไห้ออกมา
“คุณมีแผลพวกนี้มาเป็นสิบปีแล้วใช่ไหมคะ”
โม่จื่อเฉินไม่ได้ออกปากอธิบาย ได้แต่รู้สึกสั่นไหวในใจด้วยความอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา
“ทำไมคุณถึงมีแผลเยอะขนาดนี้ล่ะคะ ทำไม”
เขาเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำตาบนซีกแก้มของเธอ “คุณไม่ได้จะรักษาแผลให้ผมเหรอ ทำไมถึงร้องไห้แทนล่ะครับ”
เชียนหลานสะอึกสะอื้นขณะที่สูดหายใจลึกเพื่อทำใจให้สงบ “ฉันไม่รู้ว่าคุณมีแผลบนตัวเยอะขนาดนี้”
“ผมชินแล้วละครับ” เขายังคงปิดบังตัวตนเป็นความลับ
เขาได้เซ็นสัญญาห้ามเปิดเผยความลับและไม่อาจบอกใครได้ ไม่ได้แม้แต่คนที่สนิทสนมที่สุดของตัวเอง
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะไม่ถามอะไรอีก แต่ต่อไปนี้เมื่อไหร่ที่คุณบาดเจ็บต้องบอกให้ฉันรู้นะคะ โอเคไหม” เธอหยิบขวดยาฆ่าเชื้อมาล้างแผลให้เขา
“คุณเป็นห่วงผมเหรอครับ”
“อือฮึ” เชียนหลานพยักหน้ารับแข็งขัน “คุณไม่รู้ว่าฉันเป็นห่วงคุณเหรอคะ ฉันปวดใจนะคะเนี่ย! ฉันหายใจไม่ออกพอเห็นแผลพวกนี้! ฉันรู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหวเลยละค่ะ!”