หลี่ว์ชีเอ๋อร์ไม่คลายความสงสัย เอ่ยถามต่อ “บ่าวเห็นเยียนอ๋องคล้ายว่ามาเซ้าซี้กับคุณหนูหานหรือเจ้าคะ แล้วก็ยังได้ยินว่า…อีกห้าวัน เนินเขาเจ็ดลี้ แล้วยังมี…ผ้าเช็ดหน้าอะไรนั่นอีก”
ได้ยินแม้กระทั่งเนื้อหาสนทนาของทั้งสองคน หานเซียนเซียงฟังแล้วใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
หลี่ว์ชีเอ๋อทำหน้าเป็นห่วง “คุณหนูหานจะไปจริงๆ หรือเจ้าคะ”
หานเซียงเซียงกำลังว้าวุ่นใจกับเรื่องนี้และไม่มีคนให้ปรึกษาด้วยอยู่พอดี เมื่อหญิงสาวตรงหน้าดูเป็นคนเฉลียวฉลาด แล้วตั้งใจมาฝักใฝ่อยู่กับตน ไหนๆ นางก็ได้ยินแล้ว งั้นก็พูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน “เจ้าคิดว่า จะจัดการเยียนอ๋องอย่างไรล่ะ นำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นให้กับฉินอ๋อง ให้ฉินอ๋องบอกกับเยียนอ๋อง…เจ้าว่าแบบนี้ดีหรือไม่”
หลี่ว์ชีเอ่อร์ออกปากห้ามทันที “คุณหนูไปบอกฉินอ๋องไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ ถ้าคุณหนูพูดไป ภาพลักษณ์ภายในใจของฉินอ๋องที่มีต่อคุณหนู อาจหวนกลับมาไม่ได้อีก! โบราณเคยว่าไว้ พี่น้องดุจมือเท้า ผู้หญิงดุจเสื้อผ้า เยียนอ๋องได้รับความเชื่อใจจากฉินอ๋องเป็นอย่างมาก ถ้าคุณหนูไปฟ้องเพียงเรื่องเล็กเรื่องน้อย ไม่ว่าฉินอ๋องจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ก็ไม่มีทางถือโทษน้องชายของตัวเองแน่ มิหนำซ้ำอาจรู้สึกถึงขนาดที่ว่า คุณหนูเป็นหญิงไม่รักนวลสงวนตัว ตั้งใจหลอกล่อเยียนอ๋อง จึงทำให้เยียนอ๋องไม่สนใจศีลธรรมอันดีงาม แม้แต่ว่าที่ภรรยาของพี่น้องก็ไม่เว้น”
“เจ้าพูดถูก ข้าสะเพร่าจริงเชียว! ยังดีที่มีเจ้าเตือนก่อน!” หานเซียงเซียงตะลึงตกใจเหงื่อท่วมไปทั้งตัว
หลี่ว์ชีเอ๋อร์นึกคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “บ้าคิดว่า เนินเขาเจ็ดลี้นั่น คงต้องไปเจ้าค่ะ หลังจากคืนผ้าเสร็จแล้ว หากมีโอกาสก็พูดกับเยียนอ๋องให้กระจ่างแจ้ง จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดขึ้นในภายหลัง”
หานเซียงเซียงพยักหน้าหงึกๆ แต่สีหน้าไม่สู้ดีนัก
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เก็บทุกอารมณ์ของนาง พลันเสนอตัวเอง “หรือไม่ ให้บ่าวไปเป็นเพื่อน จะได้คอยออกความคิดให้คุณหนูได้ตลอดเวลา ดีหรือไม่เจ้าคะ”
พาสาวรับใช้ไปเพียงคนเดียวคงจะไม่พอจริงๆ เสี่ยวถงก็เป็นคนคล้ายกับตน เคยเห็นผู้ชายไม่กี่คน มีคนไปด้วยเพิ่มขึ้นหนึ่งคน หานเซียงเซียงจะไม่ยินยอมได้อย่างไร โดยเฉพาะหลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่ดูรอบรู้ไปซะทุกด้าน จึงตอบด้วยความยินดี “อื้ม งั้นข้าต้องรบกวนแม่นางชีเอ๋อร์ด้วยนะ”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตอบกลับเสียงหวาน “คุณหนูเกรงใจไปแล้ว ต่อไปนี้เรียกบ่าวว่าชีเอ๋อร์ก็พอ จะได้ไม่ห่างเหินเกินไปเจ้าค่ะ”
เมื่อนัดวันเวลาและสถานที่ของวันนั้นเสร็จสิ้น หลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ขอตัวลากลับจวน
รถม้าถูกเสี่ยวถงเรียกมารอตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นคุณหนูพูดอยู่กับสาวรับใช้ของจวนอ๋อง ก็มิกล้าเข้ามารบกวน รออยู่ข้างๆ แทน แต่ก็ได้ยินเกือบทั้งหมด
เมื่อเห็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์เดินไปแล้ว เสี่ยงถงก็เข้ามาพยุงหานเซียงเซียงให้เดินไปขึ้นรถม้า นางเดินไปบ่นพึมพำไป
“คุณหนู บ่าวรู้สึกว่าแม่นางชีเอ๋อร์ใช่ว่าจะมาดีนะเจ้าคะ พระชายาเอกอวิ๋นพานางกลับมา นางไม่ซาบซึ้งในบุญคุณ แล้วยังจะอย่างนั้นอย่างนี้ บ่าวกลัวว่าที่นางมาฝักใฝ่ในคุณหนูก็เพื่อจุดประสงค์อื่น คุณหนูอย่าอยู่ใกล้นางมากเลยนะเจ้าคะ”
หานเซียงเซียงเอ่ยอย่างอ่อนโยน “นางเพียงแค่หวังว่าจะได้อยู่ต่อ เมื่อข้าได้แต่งเข้าจวนอ๋องก็เท่านั้น นางน่าสงสารมากเลยนะ แถมยังถูกพระชายาเอกรังเกียจ ตอนนี้นางก็แค่อยากหาเจ้านายสักคน แล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเพียงเท่านั้น เจ้าวางใจเถิด”
“แต่ว่า…” เสี่ยวถงก็ยังรู้สึกไม่ดีใจเต้นตุบตับราวกับตีกลอง ยังไงก็รู้สึกว่าหลี่ว์ชีเอ๋อร์คนนี้ แม้มีรูปร่างหน้าตาสะสวย แต่ฝีมือคงมีไม่น้อย นางตั้งใจเข้าใกล้คุณหนู เกรงว่าคงไม่ได้หาเพียงที่พักผิงในภายหลังง่ายๆ แบบนั้นแน่
คุณหนูของตนเป็นหญิงอยู่แต่ในเรือน ใสซื่อยิ่งกว่ากระต่าย ความคิดก็หาได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนดุจหญิงทั่วไปไม่ กลัวก็แต่จะหลงกลผู้อื่นเข้า
แต่เมื่อคุณหนูยืนยันเช่นนั้น เสี่ยวถงก็มิรู้จะพูดอะไรอีก
ณ กั๋วจื่อเจียน เลยเวลาเลิกเรียนมาแล้วพักใหญ่
ห้องเรียนเคร่งขรึมเงียบสงบเต็มไปด้วยหนังสือ บนกำแพงสลักด้วยบัญญัติที่มีชื่อเสียงของนักปราชญ์แต่ละสมัย เพลานี้บรรยากาศเงียบกริบ
นักเรียนทุกคนต่างกลับจวนพร้อมเด็กรับใช้และบ่าวรับใช้ตั้งนานแล้ว
โต๊ะเขียนหนังสือแถวที่หนึ่ง มีชายหนุ่มตัวเล็กกำลังอ่านหนังสือ
เสียงเท้ากระทบพื้นทำลายบรรยากาศที่เงียบสงบ อวิ๋นจิ่นจ้งพลันเงยหน้าขึ้นก็ตะลึงตกใจ จึงรีบปิดหนังสือลงและแสดงความเคารพ “ใต้เท้าเฉามาได้อย่างไรขอรับ”
เฉาจี้จิ่วเอ่ยชม “ข้าได้ยินท่านปราชญ์เล่าว่า ช่วงนี้จิ่นจ้งใฝ่เรียนเป็อนอย่างมาก อ่านหนังสือจนดึกแล้วถึงกลับ พอได้เห็น เป็นดั่งที่กล่าว ช่างเป็นเด็กที่มีอนาคตสอนได้จริงๆ”
อวิ๋นจิ่นจ้งรู้สึกเกรงใจ แล้วสีหน้าของเฉาจี้จิ่วพลันเปลี่ยนไป รอยยิ้มก็เปลี่ยนไปดูมีหลายความหมาย “แต่ว่า ตอนนี้มีคนอยากพบเจ้า อยากคุยกับเจ้าหน่อย จิ่นจ้งเก็บหนังสือให้เสร็จก่อน แล้วตามข้ามานะ”
ใครกัน อวิ๋นจิ่นจ้งไม่คิดอะไรมาก เอ่ยตอบ “ขอรับใต้เท้าเฉา แต่ว่าเด็กรับใช้กับผู้ติดตามของข้ายังรออยู่ที่ด้านนอกกั๋วจื่อเจียน ขอให้ข้าได้ออกไปบอกกล่าวพวกเขาหน่อย”
เฉาจี้จิ่วออกปากห้ามทันทีที่ประโยคนั้นพูดจบ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าให้คนไปบอกแทนเจ้าเอง”
อวิ๋นจิ่นจ้งเริ่มสงสัย แต่ก็เดินตามเฉาจี้จิ่วออกจากห้องเรียนไป โดยใช้ประตูอีกฝั่งของกั๋วจื่อเจียน ด้านนอกประตูมีเกี้ยวรออยู่แล้วหนึ่งลำ
ผ้าม่านรถเกี้ยวแกว่งไปมาเบาๆ หน้าเกี้ยวมีชายหนุ่มผิวขาวไร้หนวดยืนรออยู่ เสื้อผ้าเป็นชุดลำลองทั่วไป พาดด้วยแส้ ดูสง่าสูงส่ง
เฉาจี้จิ่วประสานสองมือกับคนๆ นี้ พร้อมเอ่ยอย่างสุภาพ “นักเรียนอวิ๋นจิ่นจ่งแห่งกั๋วจื่อเจียนมาถึงแล้วขอรับ”
ชายหนุ่มเอ่ยตอบ “ขอบใจมากเฉาจี้จิ่ว” จากนั้นก็หันหลังออกคำสั่งให้คนเปิดม่านออก เอ่ยขึ้น “เชิญคุณชายอวิ๋นขึ้นเกี้ยว”
แม้แต่เฉาจี้จิ่วเองยังเคารพขนาดนี้ เขาเป็นใครกัน… ในจวนอ๋องมีขันทีคอยรับใช้อยู่ไม่น้อย ด้วยความที่อาศัยในจวนของพี่เขยมาแล้วพักใหญ่ ก็พอทำให้คุ้นชินอยู่บ้าง เมื่อได้ยินเสียงพูดอันแหลมเล็กของเขา จึงเอ่ยถาม “กงกง ไม่ทราบว่าใต้เท้าคนใดกันที่ต้องการพบข้า แล้วพบด้วยเรื่องอันใด”
กงกงหัวเราะขึ้นมา “แค่เดาก็เดาออกเลยหรือ สายตาแหลมคมจริงเชียว ช่างเหมือนกับพี่สาวของเจ้าจริงๆ”
การวางตัวของขันทีในจวนฉินอ๋อง มิอาจสู้คนนี้ได้เลย อวิ๋นจิ่นจ้งยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ เจ้านายของเขาคือบุคคลลึกลับคนไหนกัน
“จิ่นจ้งยังไม่ขึ้นเกี้ยวอีก” เฉาจี้จิ่วแอบตำหนิเมื่อเห็นเขาไม่ขึ้นเกี้ยวสักที “อย่าทำให้เสียเวลา”
กงกงลับสะบัดแส้หนึ่งที ท่าทีก็เป็นกันเอง แถมยังห้ามไม่ให้เฉาจี้จิ่วตำหนิจิ่นจ้งอีก
จิ่นจ้งขึ้นเกี้ยวเสร็จ เกี้ยวก็ถูกยกขึ้นทันทีที่มีคำสั่ง ก็ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ไหน
เขาไม่กล้ามองออกไปด้านนอก รู้สึกเพียงมีการเลี้ยวทางนี้บ้างทางนั้นบ้าง เหมือนก้าวข้ามคานประตูอยู่หลายอัน แล้วถึงหยุดลง
เมื่อลงจากเกี้ยว ตรงหน้าคือสวนไม้ ถูกตัดแต่งไว้อย่างสวยงามหามีที่ติไม่ ลวดลายการแกะสลักละเมียดละไมสวยกว่าธรรมชาติ เกรงว่าจวนของพี่เขยก็ยังสู้ความงดงามของทีนี้ไม่ได้แม้แต่ครึ่งหนึ่ง
ที่นี่คือที่ไหนกัน
ระหว่างต้นสนมีศาลาหยกหลังคาทรงร่มหนึ่งอัน ระหว่างแต่ละเสามีผ้าม่านโปร่งแสงไว้กันลม ด้านในศาลามีคนนั่งอยู่หนึ่งคน แม้จะอยู่ไกล แต่ก็สามารถเห็นได้ชัดโดยมองทะลุผ่านม่านโปร่งแสงผืนนั้น คนๆ นั้นโครงร่างผมบาง ราวกับล้มทันทีเมื่อถูกลมพัด
อวิ๋นจิ่นจ้งใจ้เต้นตึกๆ กำลังเดินตามผู้นำทาง จากนั้นก็หยุดลงตรงหน้าบันไดของศาลา ได้ยินกงกงเอ่ยว่า “นาย” แล้วหันมองอวิ๋นจิ่นจ้ง “มาถึงแล้ว”
เงียบไปแว๊บหนึ่ง เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้น จากนั้นคนด้านในเอ่ยขึ้น “เชิญคุณชายอวิ๋นเข้ามาได้”
เสียงพูดอ่อนแรง มีลมหายใจแทรกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตื่นเต้นหรือเพราะร่างกาย
แม้แต่การพูดก็ยังขนาดนี้ เกรงว่าร่างกายของเขาคงจะอ่อนแอเป็นอย่างมาก อวิ๋นจิ่นจ้งเริ่มตื่นเต้น เพราะไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ เดินเข้าไปด้านในศาลาราวกับถูกพลังงานบางอย่างที่ไร้รูปร่างดูดเข้าไป