คืนนั้นโม่จื่อเฉินเตรียมซุปไก่และเอากลับมาที่โรงพยาบาล แต่เมื่อเขามาถึงก็เห็นว่าเธออยู่กับเพื่อนในห้องจึงไม่ได้เข้าไปด้านในทันที กลับรออยู่ด้านนอกเงียบๆ
“เชียนหลาน ผมตามตื๊อคุณอยู่นานหลายปี แต่คุณก็ปฏิเสธผมตลอดแล้วบอกว่าคุณมีแฟนอยู่แล้ว ผมคิดว่าคุณใช้มันเป็นข้ออ้างเฉยๆ ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
“งั้นตอนนี้คุณก็ตัดใจแล้วใช่ไหมคะ”
ด้านนอกห้อง โม่จื่อเฉินไม่ได้ยินสิ่งใดนอกจากบทสนทนาสั้นๆ นี้
เขาโผล่หน้าไปดูผู้ชายคนนั้นและจำหน้าอีกฝ่ายเอาไว้
ไม่นานเพื่อนร่วมงานของเธอก็ออกมาจากห้อง เมื่อพวกเขาเห็นโม่จื่อเฉินก็ค่อนข้างตกใจระคนตื่นกลัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาอาจได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกัน
“ไปกันเถอะ เรายังมีภารกิจต้องออกไปทำให้เสร็จ”
หลังจากพวกเขาจากไป ในที่สุดโม่จื่อเฉินก็เข้ามาในห้องพร้อมซุปไก่ของเขาก่อนวางมันลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงของเชียนหลาน
“ผมได้ยินทุกอย่างที่พวกเขาพูดกันนะครับ”
“หือ” เชียนหลานงุนงงเล็กน้อย แต่ครู่ถัดมาก็รู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ “คุณพูดถึงเรื่องตลกที่พวกเขาเล่าเหรอคะ”
“ผมดีใจที่คุณรู้จักปฏิเสธเขา” เขาเอ่ยก่อนนั่งลงตรงหน้าเธอ ตักซุปไก่คำโตจ่อเข้าที่ปากของเธอ
“ทุกคนรู้กันมาตลอดนั่นแหละค่ะว่าฉันมีใครบางคนในใจแล้ว…” เธออธิบายพลางจิบน้ำซุป “ฉันเอาแต่ดูรูปเดิมๆ มาห้าปี”
“คุณไม่ต้องดูมันอีกแล้วละครับ” เขาบอก
“รูปนั้นเคยเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจของฉัน!”
เชียนหลานยกยิ้มขณะที่จิบน้ำซุปอีกครั้ง ก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เองที่เขาสังเกตเห็นสมุดที่เธอเก็บไว้ใต้หมอน ด้านในสมุดเล่มนั้นมีรูปใบหนึ่งอยู่
บางทีเธออาจจะหยิบมันออกมาจากสมุดหลายครั้งเกินไป ถึงได้มีรอยนิ้วมือประทับอยู่ที่สองมุมของรูปอย่างชัดเจน
หากมันเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอย่างแท้จริง ทำไมเธอไม่ไปหาเขาในช่วงแรกที่เธอเข้าฝึกกันล่ะ
หลังจากเก็บรูปไว้ที่เดิม โม่จื่อเฉินเงยหน้ามองเชียนหลาน เธอนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่งในขณะที่แผ่นหลังเต็มไปด้วยบาดแผล
โม่จื่อเฉินทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้และเริ่มนึกย้อนไปเมื่อห้าปีที่ผ่านมา
ตอนแรกโม่จื่อเฉินพยายามที่จะรอเชียนหลานจริงๆ ถึงอย่างไรถังหนิงก็บอกเขาว่าที่เชียนหลานเข้าเป็นทหารเพราะว่าเธอชอบเขาจริงๆ จนต้องการเติบโตเพราะอยากมีอนาคตกับเขา ในตอนนั้นโม่จื่อเฉินเชื่อเช่นนั้นอย่างสนิทใจ
เขาจึงรอมาหนึ่งปี เขาถึงกับแอบไปหาเธอที่ฐานทัพด้วยซ้ำ แต่นอกจากเธอจะดูมีความสุขดี ผู้หญิงซื่อบื้อคนนั้นกลับไปเคยพยายามออกมาหาเขาสักครั้ง
หลังจากนั้นเขารอมาอีกหนึ่งปี หากแต่มันก็ผ่านไปไม่ต่างจากเดิม
ความจริงแล้วมันต่อเนื่องมาถึงปีที่สาม สี่ และกระทั่งปีที่ห้า…
เขารอมาเนิ่นนาน ทว่าในแต่ละก้าวมีแต่พาให้เขาจมดิ่งไปกับความผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ในจังหวะที่เขาตัดสินใจที่จะไม่รออีกต่อไป ในที่สุดเชียนหลานก็ปรากฏตัวขึ้น
อย่างไรก็ตามไฟในใจของเขาได้มอดดับไปเสียแล้ว
เป็นเช่นนี้ โม่จื่อเฉินจึงนั่งอยู่บนเก้าอี้กระทั่งกลางดึกเมื่อเชียนหลานตื่นขึ้นมา
ในที่สุดเขาก็ได้ถามคำถามที่เขาต้องการคำตอบมาตลอดเมื่อเธอลืมตาขึ้น “ถ้าคุณดูรูปผมอยู่หลายปีขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่มาหาผมล่ะครับ”
ท่าทีของเชียนหลานเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเช่นนี้…
“มันผ่านมาตั้งห้าปี ไม่มีคนธรรมดาคนไหนที่จะรอได้นานขนาดนั้นหรอกครับ คุณหวังให้ผมรอคุณได้ยังไงกัน
“เชียนหลาน คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมผมถึงข้ามผ่านเรื่องนี้ไม่ได้สักที เพราะว่าคุณมีโอกาสที่จะแก้ไขเรื่องต่างๆ หลังจากที่เราเลิกกัน แต่คุณกลับหายไปตั้งห้าปี คุณหวังว่าเราจะกลับมาคบกันอีกทั้งอย่างนี้ได้ยังไงครับ”
เชียนหลานพูดอะไรไม่ออก มีเพียงน้ำตาอาบหน้า
“ถ้าคุณแก้ตัวกับผมขึ้นผมก็จะให้อภัยคุณครับ”
“ฉัน…”
เชียนหลานอ้าปากแต่กลับพบว่าไม่อาจแก้ตัวใดๆ ได้
“คุณอธิบายไม่ได้ใช่ไหมครับ”
เชียนหลานส่ายหน้าขณะพยายามพูดสุดความสามารถ “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่เคยไปหาคุณ
“ฉันไปหาคุณนะคะ” เธอสะอื้นไห้ “หลังจากฝึกขั้นพื้นฐานเสร็จฉันก็กลับไปเยี่ยมโรงเรียนของเราแต่คุณไม่ได้สอนที่นั่นแล้ว หลังจากนั้นฉันก็รู้ว่าคุณย้ายห้องไปแล้วเลยรออยู่ด้านนอกห้องคุณทั้งคืน แต่สุดท้ายก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากห้องของคุณ
“ฉันถึงได้กลับมาที่ฐานทัพ
“ฉันเป็นไข้อยู่สามวันเพราะวิ่งกลับไปที่นั่น
“ตอนที่ฉันได้รับอนุญาตให้ออกมาจากกองทัพฉันก็มาหาคุณ แต่ตอนนั้นฉันรออยู่สามวันสามคืนโดยที่ไม่เห็นวี่แววของคุณเลย สุดท้ายฉันเลยทิ้งจดหมายไว้ให้คุณ
“ตลอดห้าปีมานี้ฉันไปหาคุณสามครั้ง ครั้งสุดท้ายที่ฉันเพิ่งรู้ว่าคุณยังโสดฉันก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา แต่ก็ผิดหวังในเวลาเดียวกัน คุณเปลี่ยนไปมากจนฉันคิดว่าคุณคงลืมว่าฉันเป็นใครไปแล้ว มันเป็นช่วงที่แม่ของฉันป่วยด้วยก็เลย…”
“คุณมาหาผมเหรอ” โม่จื่อเฉินถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“คุณย้ายจากห้องพักใกล้โรงเรียนไปอยู่ห้องหนึ่งศูนย์สี่ ถนนเซิ่งเฉวียนที่ 224 จากนั้นก็ย้ายไปห้องเจ็ดศูนย์สองที่ตึกเทียนหยาง”
หลังจากได้ยินเธอบอก โม่จื่อเฉินถามขึ้น “ทำไมคุณไม่เคาะห้องหนึ่งศูนย์ห้าล่ะครับ”
“คุณอยู่ห้องหนึ่งศูนย์ห้าเหรอคะ”
“ครับ ผมอยู่ห้องหนึ่งศูนย์ห้า” เขาพยักหน้า “หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยย้ายไปตึกเทียนหยางด้วย ผมช่วยเพื่อนซื้อที่นั่นไว้เฉยๆ คุณถึงได้หาผมไม่เจอไงล่ะ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” เชียนหลานปล่อยโฮออกมา “ฉันเองก็ไปหาคุณสามครั้งแต่ก็กอดความผิดหวังกลับมาทุกครั้ง…”
“ผมขอโทษครับ” ครั้งนี้เป็นโม่จื่อเฉินที่เอ่ยขอโทษ “ผมคิดว่าคุณแค่ไปๆ มาๆ ตามใจชอบ”
“ฉันไปหาคุณทันทีที่ฝึกขึ้นพื้นฐานเสร็จ แต่หาคุณไม่เจอแล้วทางกองทัพก็เกือบคิดว่าฉันจะหนีทหารแล้ว หลังจากนั้นฉันก็ล้มป่วยและถูกกักบริเวณอยู่เจ็ดวัน
“ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเหยียบเข้ามาในค่ายฝึก ฉันก็เสียใจกับการตัดสินใจของฉัน ฉันอยากจะไปตามหาคุณแต่ก็ไม่อยากให้คุณดูถูกฉัน
“จื่อเฉิน ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงๆ นะคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดโม่จื่อเฉินก็เอื้อมมือออกไปลูบศีรษะเธอ “พอแล้วละครับ…ถ้าคุณบอกว่าคุณมาตามหาผม ผมก็เชื่อคุณ”
“ฉันทำจริงๆ นะคะ…ฉันออกมาหาคุณจริงๆ นะ
“ทุกครั้งที่ฉันไปหาคุณ ฉันก็กลับมาพร้อมความผิดหวังตลอด แต่ละครั้งฉันทำใจอยู่นานและรวบรวมความกล้าไปตามหาคุณอีก แต่ว่า…”
โม่จื่อเฉินไม่ปล่อยให้เธอพูดอะไรอีกต่อไป ขณะที่ปิดปากเธอเอาไว้ให้ใจเย็นลง
“เลิกร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวแผลก็ฉีกหรอกครับ”
“จื่อเฉิน…”
“ผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมไม่ทิ้งคุณไปไหนหรอก ต่อให้วันนี้คุณไม่โดนระเบิดผมก็ยังไม่ไปไหน ผมแค่ยังโกรธอยู่นิดหน่อยเฉยๆ
“พอผมหายโกรธผมก็จะยังอยู่เคียงข้างคุณอยู่ดี” โม่จื่อเฉินจำนนต่อเธอ