หลังจากที่อวิ๋นจิ่นจ้งเข้าพระราชวังไปแล้วหลายวัน หลายๆ อย่างก็เริ่มเข้าที่
แรกเริ่มเหล่าบุตรหลานตระกูลชนชั้นสูง ต่างพากันตะลึงงงงวยกับการพบหน้าอวิ๋นจิ่นจ้งในหอหนังสือ งงงวยกันไปหลายวัน ก็เริ่มเข้าใจ คุณชายอวิ๋นคนนี้เป็นดั่งพระดำรัสของฮ่องเต้ที่เขียนไว้ในพระราชโอการจริงๆ มีพรสวรรค์
เมื่ออยู่ในกลุ่มผู้คน เขาไม่ใช่คนที่โตที่สุด แต่หากในด้านของความรู้และความสามารถในการปรับตัว เขาถือว่าเป็นที่หนึ่ง ไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดถึงได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้มากขนาดนั้น
เมื่อได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ก็มิอาจเลี่ยงที่จะถูกผู้อื่นอิจฉา แต่ด้วยความที่อวิ๋นจิ่นจ้งนั่งเรียนในตำแหน่งเพื่อนเรียน หาใช่ผู้เรียนหลักไม่ นักเรียนในหอหนังสือจึงไม่ได้มีความกังวลอะไรมากนัก
อวิ๋นจิ่นจ้งจำคำกำชับของพี่สาวอย่างขึ้นใจ ประพฤติตัวอย่างถ่อมตน ไม่แก่งแย่งกับใคร แม้ว่าจะถูกผู้อื่นยั่วยุด้วยคำพูด ก็พึงทำเป็นไม่เห็นและไม่ได้ยิน ผู้ที่ยั่วยุผู้อื่นก็จะหยุดสนใจไปโดยปริยาย นานวันเข้า คนส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกหมดความน่าสนใจและก็หยุดไปเอง
เช้าวันนี้ ภายในหอหนังสือ อาจารย์ผู้สอนยังมาไม่ถึง แต่นักเรียนมากันครบแล้ว
องค์ชายทั้งสามพระองค์นั่งเรียงกันอยู่แถวที่หนึ่ง ขันทีน้อยคอยปรนนิบัตรรับใช้อยู่ด้านข้าง เพื่อนเรียนนั่งอยู่ด้านหลังขององค์ชายแต่ละพระองค์
ช่วงเวลาที่รออาจารย์เข้ามา เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายมากที่สุด องค์ชายสิบห้าเฟิ่นอ๋องเป็นพระโอรสองค์สุดท้ายของหนิงซีฮ่องเต้ ย่อมได้รับความรักอย่างหาที่สุดมิได้ พระมารดาของเขาคือสนมลี่ เป็นหลานสาวนอก ญาติห่างๆ ของฝั่งท่านอาของพระมเหสีรองเหวย ในปีนั้นมเหสีรองนั่นเอง ที่เป็นผู้แนะนำสนมลี่ให้เข้าพระราชวัง
ตำแหน่งของสนมลี่สู้ตำแหน่งของสนมเสียน พระมารดาของจิ่งอ๋อง และสนมฮุ่ย พระมารดาของลี่อ๋องที่เข้าเรียนในหอหนังสือด้วยกันไม่ได้ แต่สิ่งที่เอาชนะได้นั่นคือการให้กำเนิดองค์ชายคนเล็กสุดแก่ฮ่องเต้
เฟิ่นอ๋องที่มีพระชันษาน้อยที่สุด เพิ่งจะครบเจ็ดชันษา รูปร่างอ้วนท้วมผิวสีขาว พูดจาปากหวาน รู้จักเอาอกเอาใจฮ่องเต้ ด้วยความที่เด็กที่สุดในบรรดาองค์ชาย ผนวกกับความโปรดปรานที่ได้รับมากที่สุดจากเบื้องบน จึงทำให้ได้รับตำแหน่งอ๋องตั้งแต่ยังไม่ถึงเจ็ดชันษา เห็นได้ชัดแจ้งว่าโอรสแห่งสวรรค์พระองค์นี้รักในองค์ชายคนสุดท้องท่านนี้เพียงไหน และในชั้นเรียน การเรียนของเฟิ่นอ๋องก็ดีที่สุดในบรรดานักเรียนเช่นกัน
เมื่ออาจารย์ยังมาไม่ถึง ตามปกติแล้ว นักเรียนทุกคนจะต้องทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองอย่างเงียบๆ
เมื่อรอขันทีฝึกหมึกเสร็จ เปิดหนังสือม้วนออก เฟิ่นอ๋องมองได้สองสามที ก็เริ่มนั่งนิ่งไม่ไหว จึงกางแขนบิดขี้เกียจหนึ่งที พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “วันนี้อาจารย์หลิวหลับดึกหรืออย่างไร เหตุใดจึงยังไม่มาอีก”
นักเรียนตระกูลชนชั้นสูงที่มักประจบประแจงเฟิ่นอ๋องอยู่เป็นประจำเงยหน้าขึ้น แล้วพูดต่อจากประโยคของเฟิ่นอ๋องอย่างขำๆ “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ตะวันโด่งฟ้าแล้วยังไม่มาอีก”
เฟิ่นอ๋องนั่งเอนไปกับเก้าอี้ ดวงตากวาดมองห้องเรียนหนึ่งรอบพลันนึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้ “ในเมื่อาจารย์หลิวยังมาไม่ถึง งั้นข้าขึ้นไปเป็นอาจารย์ดูสักครั้งเป็นอย่างไร”
นักเรียนเพื่อนเรียนพากันตกตะลึงกันใหญ่ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และดูเป็นการดูถูกครูอาจารย์ แต่ใครเล่าจะกล้าบอกว่าไม่ดี
จิ่งอ๋องขมวดคิ้ว “น้องสิบห้า อย่าเหลวไหล”
เฟิ่งอ๋องกะพริบตาปริบๆ หาได้มีสายตาที่คิดจะหยุดไม่ “ท่านพี่ ก็แค่เล่นสนุก ครั้งก่อนเสด็จพ่อเพิ่งตรัสว่าเวลาข้าเล่าเรียนคล้ายอาจารย์ มีท่าทีของนักปราชญ์”
จิ่งอ๋องเห็นหมอนี่เอาเสด็จพ่อมาอ้าง ก็แอบกลอกตาใส่หนึ่งทีโดยไม่ให้เห็น พลางสบตากับลี่อ๋องอย่างเหนื่อยหน่าย อยากทำอะไรก็เชิญ
บรรดาเพื่อนเรียนเห็นจิ่งอ๋องกับลี่อ๋องไม่พูดอะไร ทุกคนจึงพากันยกย่องกันใหญ่ “งั้นขอรับการสอนจากเฟิ่งอ๋อง ข้าจะน้อมรับฟังด้วยความเคารพพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งอ๋องผลักเก้าอี้ออก และขึ้นไปนั่งบนแท่น จากนั้นหยิบไม้สอนขึ้นมา ฟาดลงบนโต๊ะอย่างเต็มแรงสองที ไอค่อกแค่กสองสามทีก็เอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ข้าจะเป็นผู้สอนเอง พวกเจ้าคือนักเรียนของข้า ข้าพูดสิ่งใดพวกเจ้าจะต้องทำตามทุกอย่าง! มิฉะนั้น ข้าจะลงโทษพวกเจ้าด้วยไม้สอนนี้เหมือนท่านอาจารย์!”
เพื่อนเรียนทุกคนต่างตอบพร้อมกันอย่างเสียงดัง “พ่ะย่ะค่ะ เฟิ่งอ๋อง!”
“เปิดไปหน้าที่เรียนกับอาจารย์หลิวเมื่อวาน อ่านตามข้า” เฟิ่นอ๋องยิ่งเล่นยิ่งได้ใจ “ข้าจะคอยดู! ถ้าพวกเจ้า มีใครอ่านผิด หรือไม่ยอมอ่าน ระวังไม้ลงของข้า!”
ลี่อ๋องไม่ชอบในตัวน้องชายคนนี้ ที่มักจะใช้สถานะการเป็นองค์ชายองค์สุดท้ายที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด และประพฤติตัวเป็นใหญ่เสมอ เวลานี้สีหน้าของเขาจึงค่อนข้างแย่ แต่ก็รู้ดีว่าเสด็จพ่อโปรดปรานในเฟิ่งอ๋องเป็นอย่างมาก ตนจึงไม่อยากกระทำสิ่งใดให้เสด็จพ่อไม่พึงพอพระทัย หากว่ากล่าว แล้วเกิดการสะบัดขานั่งร้องไห้ เอะอะโวยวายขึ้นมา ก็กลายเป็นว่าตนผิด จนอาจทำให้เสด็จพ่อตำหนิว่าตนไม่ยอมน้อง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ลี่อ๋องจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องเรียนชั่วคราว ตามองไม่เห็นนั้นดีที่สุด
จิ่งอ๋องไม่ได้ออกจากห้องเรียนตาม แต่ด้วยความที่ตำแหน่งของพระมารดาสูงกว่าสนมลี่หลายขั้น แล้วตนจอยอมฟังคำของเฟิ่งอ๋องได้อย่างไร เขาจึงจะเรื่องของตนเองโดยไม่สนใจ
นอกจากองค์ชายทั้งสองคน เพื่อนร่วมเรียนท่านอื่นๆ ไม่ว่าจะมีใจประจบประแจง หรือไม่อยากล่วงเกินจนเป็นเหตุ ทุกคนต่างพากันทำตามคำสั่งของเฟิ่งอ๋องด้วยการหยิบหนังสือออกมา
อวิ๋นจิ่นจ้งอยากจะหาข้ออ้างออกไปรออาจารย์หลิว แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ท่านพี่กำชับเอาไว้ สุดท้ายก็หยิบหนังสือกางออกตรงหน้า
ทุกคนอ่านตามเฟิ่งอ๋อง เฟิ่งอ๋องอ่านหนึ่งคำ เพื่อนร่วมเรียนก็อ่านตามหนึ่งคำ ต่างคนต่างอ่านกันอย่างส่ายหัวไปมา เสียงดังกึกก้องกังวาน แม้กระทั่งคำที่เฟิ่งอ๋องอ่านผิด ทุกคนก็ยังอ่านตาม
อวิ๋นจิ่นจ้งแอบชมวดคิ้วเล็กน้อย
เฟิ่งอ๋องนำอ่านไป เดินไป จนถึงระหว่างโต๊ะแถวสุดท้าย แล้วสายตาก็หยุดชะงักที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือโต๊ะหนึ่ง แล้วเขาก็สั่งด้วยน้ำเสียงดังแหลม “เจ้า! ลุกขึ้น! ไปยืนด้านหลัง!”
จิ่งอ๋องหันหลังกลับมา ก็เห็นคนที่ถูกเฟิ่งอ๋องชี้ตัวคือคุณชายอวิ๋นที่เพิ่งเข้ามาหอหนังสือไม่นานมานี้ พลางส่ายหัวไปมา ช่างโชคร้ายเสียจริง ที่ถูกเฟิ่งอ๋องหาเรื่องจนได้
แต่คุณชายอวิ๋นกลับไม่ลุกขึ้นตามคำสั่ง ยังเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่า ข้ากระทำผิดสิ่งใด ถึงต้องลงโทษให้ข้าไปยืนตรงนั้น”
จิ่งอ๋องยิ่งส่ายหัวหนักกว่าเดิม หากทำตามคำสั่งของน้องชาย ไม่แน่ ก็อาจรอดพ้นไปได้หนึ่งครา แต่นี่ประจันกันซึ่งหน้าเชียว เฟิ่งอ๋องยังไม่เคยพบใครขัดขืนมาก่อนเลย
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เฟิ่งอ๋องเห็นว่าอวิ๋นจิ่นจ้งไม่ทำตามคำสั่ง แล้วยังย้อนถามตนกลับอีก จะให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด จึงยกไม้สอนขึ้นฟาดลงที่โต๊ะดังเพียะ เสียงนั้นแหลมแสบแก้วหูเป็นอย่างมาก ส่วนหัวของไม้สอนทำด้วยเหล็ก บนโต๊ะจึงมีร่องรอยอย่างเห็นได้ชัด สร้างความหวาดกลัวให้กับเพื่อนร่วมเรียนคนอื่นๆ เป็นอย่างมากจนแทบไม่กล้าส่งเสียง
“ทุกคนกำลังอ่านหนังสือตามข้าอย่างเสียงดังฟังชัด เว้นแต่เจ้า ขี้เกียจสันหลังยาว เสียงเบาประดุจเสียงยุง ข้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังแทบจะไม่ได้ยินเสียงของเจ้า! แล้วเจ้าคิดว่า ควรจะลงโทษหรือไม่เล่า!” เฟิ่งอ๋องสั่งสอน
“หนังสือม้วนนี้ ข้าจำได้จนท่องแบบย้อนกลับก็ยังได้ ข้อสำคัญต่างๆ ข้าก็ได้เรียนมาหมดแล้วที่กั๋วจื่อเจียน หามีความจำเป็นต้องอ่านเสียงดังเพื่อเพิ่มความทรงจำไม่ แค่ท่องจำก็พอแล้ว” อวิ๋นจิ่นจ้งย้ำเตือนตัวเองเกี่ยวกับคำเตือนของพี่สาวอยู่เสมอ แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก คำพูดคำจาจึงยังมีกระทบกระทั่งบ้างเล็กน้อย “หากเฟิ่งอ๋องไม่เชื่อ จะลองยกมาสักท่อนแล้วทดสอบดูก็ได้”
เฟิ่งอ๋องรู้ว่าเขามีการเรียนที่เป็นเลิศ เพียงมาแค่ไม่กี่วัน ก็ได้รับคำชมจากอาจารย์หลายท่านกับหยางไท่ฟู ฉะนั้น เวลานี้ก็หามีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ให้เขาได้โอ้อวดต่อหน้าผู้อื่น ทำให้ตัวเองต้องเสียหน้า แล้วตนก็จะยิ่งโมโห “อวิ๋นจิ่นจ้ง ต่อหน้าอาจารย์ เจ้าก็จะโอหังเช่นนี้รึ แล้วการที่เจ้าเข้าใจหมดแล้ว เจ้าเลยไม่ต้องอ่านงั้นรึ ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะมาที่หอหนังสือเพื่ออะไร! ให้พ่อเจ้าหานักปราชญ์คนหนึ่งไปสอนเดี่ยวที่จวนเจ้าเลยสิ!”
เพื่อนร่วมเรียนคนหนึ่งที่อิจฉาอวิ๋นจิ่นจ้ง พูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่หวังดี “ท่านอ๋อง ปัจจุบัน คุณชายอวิ๋นพักอยู่ในจวนฉินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งอ๋องหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ที่แท้ก็ใช้สถานะน้องชายของภรรยาของฉินอ๋องนี่เอง ถึงได้กล้าทำตัวสามหาวกับข้าเช่นนี้! นี่พี่สาวของเจ้าสอนเจ้ายังไงกันนะ! ก่อนเข้ามาในหอหนังสือ นางไม่สอนเรื่องมารยาทภายในวังแก่เจ้าเลยหรืออย่างไร เป็นถึงพระชายาเอกในฉินอ๋อง!”