ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดว่าพวกเขาสามารถหาช่องว่างฉวยโอกาสทำอะไรได้ตามใจนั้น เขาไม่ได้ต้องการสื่อว่าจะสร้างปัญหาอะไรเทือกนั้น แต่ถ้าไม่มีคนคอยจับตามองทุกวัน ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะคอยคุ้มกันพื้นที่สูงจริงหรือเปล่า
มีหลิวไท่อวี่คอยอยู่ท้ายขบวนเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถหาที่ซ่อนตัว หรือออกจากจุดแนวหน้าที่ต้องไปประจำการณ์ได้ง่ายๆ
มีคนเอนตัวเข้ามาตรงช่องว่างระหว่างท้ายรถกับหน้ารถ “หัวหน้าหน่วย รองหัวหน้าหน่วย ถ้าพวกเราต้องไปเป็นตัวรับกระสุนที่สนามรบจริงๆ ขึ้นมาจะทำยังไงดีล่ะ”
“ใช่ หลิวเจาเจียงเอากระสุนไปครึ่งหนึ่ง ถ้าพวกเราต้องไปคุ้มกันจุดยุทศาสตร์บนพื้นที่สูงจริงล่ะก็ กระสุนคงได้หมดในชั่วพริบตาแหง พวกเราเอาฟันไปกัดสู้กับศัตรูคงไม่ได้หรอกมั้ง”
ทุกคนยังแค้นหลิวเจาเจียงจนถึงตอนนี้ ทุกคนเข้าใจแหละว่าทำไมเขาถึงหนีทหาร เพราะทุกคนเองก็คิดอยากจะหนีเช่นกัน แต่การเอาเนื้อหมักเกลือและกระสุนไปมากขนาดนั้นตอนหนีไป ก็ไม่ต่างจากตั้งใจปล่อยทุกคนให้ตายเลย
สถานการณ์ตอนนี้จึงแทบไม่ต่างจากต้องสู้รบด้วยมือเปล่า
เริ่นเสี่ยวซู่มองหลี่ชิงเจิ้งแล้วถาม “ถ้ารู้มีคนจะหนีไป นายยังจะหนีหรือเปล่า”
“ไม่หรอก ยังไงสมาชิกหน่วยคนอื่นๆ ยังมีครอบครัวให้ปกป้องอยู่” หลี่ชิงเจิ้งว่า
ที่หลี่ชิงเจิ้งเสียใจที่สุดคือ เขาปฏิบัติต่อทุกคนดั่งพี่น้อง แต่หนึ่งในนั้นกลับหนีไปพร้อมกับเสบียงและอาวุธโดยไม่ร่ำลาสักคำ โชคดีที่พวกเขายังมีเสบียงเหลือกินเพียงพอสำหรับทุกคน ไม่อย่างนั้นคงต้องทนหิวด้วยแล้ว
หลี่ชิงเจิ้งถอนหายใจ “ถ้ามีคนเสนอเงินให้หนึ่งล้านหยวน จะมีใครขายฉันทิ้งหรือเปล่า”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่ปลอบเขา “นายไม่มีราคาขนาดนั้นหรอก เงินได้มาแบบผิดมโนธรรม เราไม่รับแน่”
หลี่ชิงเจิ้ง “???”
ทหารที่อยู่ท้ายรถหัวเราะลั่น แต่ก็ยังมีคนกล่าวอย่างกังวลว่า “พักเรื่องตลกไว้ก่อน ถ้าพวกเราเป็นตัวรับกระสุนจริงๆ ขึ้นมาจะทำยังไง”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง ตอบว่า “ไม่ต้องกลัว ฉันพอมีแผนตอนไปถึง”
ทุกคนฟังคำตอบของเริ่นเสี่ยวซู่แล้วก็โล่งใจ ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่มีแผนการ พวกเขาก็คงไม่กลายมาเป็นตัวรับกระสุนแล้ว
พอมาถึงฐานปฏิบัติการหน้าในช่วงบ่าย รถทุกคันที่ขับมาต้องเติมน้ำมัน ไม่อย่างนั้นคงขับต่อทางไกลไม่ไหว
แต่ว่าฐานปฏิบัติการหน้านี้ไม่มีอาหารเสบียงแจกจ่ายให้ทหารกองกำลังส่วนตัว ทหารบางนายต้องทนหิวมาตั้งแต่ต้น พวกเขาคิดว่าคงได้กินอาหารก่อนจะถูกส่งไปสนามรบเสียอีก อย่างไรทางเบื้องบนคงไม่ปล่อยทหารหิวโซออกสู้รบหรอก
ใครจะคิดว่ากองทัพสมาคมตระกูลหลี่ไม่เห็นพวกทหารกองกำลังส่วนตัวเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ!
แต่ทหารกองกำลังส่วนตัวของป้อมปราการ 108 ไม่รู้เลยว่าทหารกองกำลังส่วนตัวจากป้อมปราการอื่นยังได้รับสวัสดิการปกติอยู่ มีแค่พวกเขาที่สวัสดิการพวกนั้นโดนหลิวไท่อวี่กินไป
ช่วงมื้ออาหาร ทหารในหน่วยของเริ่นเสี่ยวซู่ลอบกินเสบียงที่ขนมาจากป้อมสังเกตกาณ์ของตัวเองบนรถบรรทุก ถึงหลิวเจาเจียงจะขโมยเนื้อหมักเกลือไปไม่น้อย แต่เริ่นเสี่ยวซู่กับหลี่ชิงเจิ้งก็ซื้อแป้งข้าวสาลีไม่น้อยมาทำเป็นหมั่นโถวกับแผ่นแป้ง
ตอนที่พวกทหารภายใต้เริ่นเสี่ยวซู่ซึ่งตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ท้ายรถเห็นทหารกองกำลังส่วนตัวคนอื่นๆ ทนหิวนั้น ก็พลันคิดว่าพวกตนติดตามผู้นำถูกคนแล้ว
หลังจากเติมน้ำมันเรียบร้อย เริ่นเสี่ยวซู่ก็โพล่ง “รองหัวหน้าหน่วย สอนฉันขับรถหน่อย”
หลี่ชิงเจิ้งผงะไปครู่หนึ่ง “ได้”
ตอนนี้หลิวไท่อวี่กำลังกินอาหารอยู่ในฐานปฏิบัติการหน้า นายทหารเหมือนกับเขาต่างมีอาหารดีๆ กินกัน อีกทั้งอยู่ในฐานปฏิบัติการหน้าเช่นนี้ มีแต่คนจะมาประจบดูแล นายทหารพวกนี้จึงไม่ได้รีบร้อนกลับไปเดินทางต่อนัก
ส่วนหลี่ชิงเจิ้งที่โดนเรียกว่า ‘รองหัวหน้าหน่วย’ นั้น เขาไม่รู้สึกขัดใจอะไรแม้แต่นิด
หลี่ชิงเจิ้งสอนเริ่นเสี่ยวซู่ขับรถในพื้นที่โล่งแห่งหนึ่ง “ต้องจำแค่ว่าตอนจะเปลี่ยนเกียร์อย่าลืมเหยียบครัทช์ เปลี่ยนเกียร์ตอนถึงความเร็วระดับหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก”
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง เริ่นเสี่ยวซู่จึงพอขับรถบนถนนได้บ้าง ตราบใดที่ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ ก็ยังพอขับได้ลื่นๆ อยู่
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกแย่ขึ้นมาก เรียนขี่จักรยานแค่ไหนก็ขี่ไม่ได้สักที ตอนนั้นได้แต่โทษพระราชวัง นึกว่าพลังคัดลอกทักษะทำให้เขาไม่อาจเรียนรู้ทักษะอื่นได้ด้วยตนเองได้
จะได้อะไรบางอย่างมาก็ต้องเสียอะไรบางอย่างไปใช่ไหมล่ะ เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจเรื่องนี้ดี เรื่องเป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะเขาโง่เกินกว่าจะขี่จักรยานได้ แต่เป็นพระราชวังคอยถ่วงรั้งเขาต่างหาก แต่ตอนนี้ ดูไปดูมาแล้ว…ที่เขาขี่จักรยานไม่ได้สักที ไม่เกี่ยวอะไรกับพระราชวังหรอก! เป็นที่ตัวเขาล้วนๆ!
เรื่องนี้ยากรับได้จริงๆ
ช่วงบ่าย ก่อนจะออกเดินอีกครั้ง หลิวไท่อวี่ลอบดื่มเหล้าที่ฐานปฏิบัติการหน้า เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าขนาดนายทหารที่ทำหน้าที่ดูแลกองกำลังส่วนตัวยังดื่มสุราในเวลารบเช่นนี้ กองทัพของสมาคมตระกูลหลี่จะมีศักยภาพแค่ไหนกันเชียว
ตอนออกเดินทางอีกครั้ง เริ่นเสี่ยวซู่ยืนกรานจะขับรถต่อเอง เพียงกล่าวว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน คิดจะใช้โอกาสนี้ขับรถให้เก่ง
ตอนมาถึงที่นี่ช่วงเช้า ทุกคนยังหัวเราะเฮฮากันอยู่ตรงท้ายรถบรรทุก แต่พอตกบ่าย ไม่มีใครกล้าปริปาก ตัวสั่นหงกๆ อยู่ท้ายรถ มือคว้าราวจับแน่น
เริ่นเสี่ยวซู่เหยียบคั่นเร่งจนมาโผล่หน้าขบวนในเวลาไม่นาน เขานั่งบนเบาะ คุมพวงมาลัยอย่างมุ่งมั่น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ขับรถ เป็นความรู้สึกที่แจ่มว้าวมาก
หลี่ชิงเจิ้งที่นั่งอยู่ข้างๆ หน้าซีดขาว เขาพูด “หัวหน้าหน่วย หน้าหนาวพื้นลื่น ถ้าขับไวไป พอเหยียบเบรกจะทำรถคว่ำเอาได้นะ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วว่า “คือถ้าไม่เหยียบเบรกก็ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
หลี่ชิงเจิ้ง “???”
หลังจากหลี่ชิงเจิ้งใช้เวลาห้านาทีสงบสติอารมณ์ เขาก็พูดอย่างจริงจังว่า “หัวหน้าหน่วย ให้ฉันขับแทนดีกว่าไหม กลัวว่าหัวหน้าจะเหนื่อยไปน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่โดนทหารคนอื่นๆ โน้มน้าวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่งยวดจนในที่สุดก็มานั่งข้างคนขับแทน แต่กระนั้นเขาก็ยังอารมณ์ดีไม่สร่าง อย่างไรการขับรถเป็นถือเป็นทักษะช่วยชีวิตในแดนรกร้าง
เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวถามพระราชวังในห้วงจิต “ทักษะการขับรถของฉันอยู่ระดับไหนน่ะ ฉันขับดีจะตาย ไม่ระดับสูงก็ระดับกลางใช่ไหม”
เสียงจากพระราชวังกล่าว [ไม่ตรวจพบว่าร่างต้นมีทักษะการขับรถใดๆ]
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่พอใจ “โกหกซึ่งหน้าอะไรขนาดนั้น ฉันจะไม่มีทักษะได้ยังไง ฉันเพิ่งขับรถไปเนี่ย จะตัดสินอะไรก็ขอให้มีหลักการพื้นฐานหน่อยสิ…ต่อให้พูดว่าฉันอยู่ระดับพื้นฐานก็ยังรับได้นะ!”
ทันใดนั้น หลี่ชิงเจิ้งก็ว่า “หัวหน้า ข้างหน้ามีเรื่องแน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่มองไป ก็เห็นนายทหารในเครื่องแบบสมาคมตระกูลหลี่ยืนอยู่เบื้องหน้า ดูเหมือนว่าจะมีทหารอีกไม่น้อยด้วย
“อยู่ในรถไป” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “เราเป็นแค่ทหารธรรมดา ปล่อยให้หลิวไท่อวี่จัดการ”
รถออฟโรดของหลิวไท่อวี่เร่งเครื่องนำขึ้นมา นายทหารตรงหน้าหลิวไท่อวี่เชิดหน้าเขื่องโขพูด “รถบรรทุกทุกคันจะถูกยึดไปใช้งาน ให้คนของนายออกมาให้หมด”
หลิวไท่อวี่งุนงง “พวกเราถูกสั่งให้ไปแนวหน้าที่เขาเฟิ่งอี๋ให้ไวที่สุด ถ้าเอารถบรรทุกให้นายหมด พวกเราจะไปที่นั่นยังไง”
“ไม่ใช่เรื่องของฉัน” นายทหารแค่นเสียง ระหว่างที่พูดกันนี้ เส้นเลือดบนหน้าเขาก็ปรากฏเป็นเส้นสีเงินราวกับมีอะไรบางอย่างเปล่งแสงอยู่ใต้นั้น “ทุกคนลงมาจากรถบรรทุกให้หมด!”