the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 240 กฎหมายบังคับใช้ไม่ได้เมื่อทุกคนเป็นอาชญากรกันหมด

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าทหารในกองกำลังส่วนตัวคงมีไม่มากนัก แต่เขาคิดผิดไปแล้ว หลังจากรวมพล ทหารมีจำนวนเยอะกว่ากองพลรบหนึ่งของสมาคมอีก หลี่ชิงเจิ้นถามไปทั่ว แล้วพบว่าทหารกองกำลังส่วนตัวพวกนี้มาจากหลายป้อมปราการของสมาคมตระกูลหลี่

กองกำลังส่วนตัวจากป้อมปราการทั้งหลายเหล่านี้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายทหารที่ชื่อว่าหลี่อันจวิน เขาเป็นคนในตระกูลหลี่ ทั้งทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองของป้อมปราการ 107 ด้วย ส่วนนายทหารที่ดูแลกองกำลังส่วนตัวของป้อมปราการ 108 มีชื่อว่าหลิวไท่อวี่

ตอนนี้ทหารกองกำลังส่วนตัวจากป้อมปราการอื่นๆ รวมพลกับครบแล้ว หลิวไท่อวี่มองกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ซึ่งเป็นทหารหน่วยเดียวตรงหน้า ส่วนทหารหน่วยๆ ยังไม่โผล่มาให้เห็นเลย…

หลิวไท่อวี่มองหลี่ชิงเจิ้ง “ระหว่างทางมาเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

หลี่ชิงเจิ้งยืนตัวตรงตอบ “ระหว่างทางมาไม่มีอะไรผิดปกติครับ หน่วยรบที่แปดแห่งกองพันเหล็กที่สองรวมพลในเวลา รอรับคำสั่งต่อไปครับ! ผม…”

“พอๆ แค่นั้นแหละ” หลิวไท่อวี่โบกมืออย่างรำคาญใจ บอกเลิกแถว “คิดว่าแค่นี้ยังวุ่นวายไม่พอหรือไง แค่ยืนเงียบๆ ไปก็พอ!”

พูดจบหลิวไท่อวี่ก็หันตัวเดินจากไป ไม่รู้ว่าเขาไปไหน

มีคนในหน่วยกระซิบว่า “พวกที่ตามหลังเรามาสู้กันหรือยังไงนะ”

“คิดว่านะ คงกำลังวุ่นกับการขโมยคนจากหน่วยอื่นอยู่” หลี่ชิงเจิ้งพูดอย่างขวยเขิน

เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “แบบนี้ก็ดีสิ ทุกคนก็รู้ ถ้าทุกคนเป็นอาชญากรกันหมด ก็บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ ถ้าทุกป้อมสังเกตการณ์ต่อสู้กันแบบนี้ ก็ไม่ต้องลงทงลงโทษอะไรแล้ว”

ที่ทหารจากป้อมสังเกตการณ์อื่นกล้าทำเช่นนี้ก็เพราะเข้าใจความจริงข้อนี้ไม่ต่างกัน ในเมื่อสมาคมตระกูลหลี่ต้องการคนไปสู้ในสงคราม พวกเขาย่อมไม่เปลืองแรงจัดการทุกคนใช่ไหมล่ะ

ตอนนั้นเอง มีคนหันมาหาเริ่นเสี่ยวซู่แล้วว่า “หัวหน้าหน่วยคาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่แล้วสินะ คุณคิดสร้างความวุ่นวายจนสุดท้ายก็นำกฎมาใช้ลงโทษผู้กระทำผิดทุกคนไม่ได้”

เริ่นเสี่ยวซู่กระแอม “ไม่เลวไช่ไหมล่ะ ทุกอย่างอยู่ในการคำนวณของฉันหมดแล้ว”

แต่ทันใดนั้น เฉินอู๋ตี๋ก็โพล่ง “อาจารย์ของข้าไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอก”

เริ่นเสี่ยวซู่มองเฉินอู๋ตี๋แล้วพูดอะไรไม่ออก “…”

ที่จริงการจัดการกองกำลังส่วนตัวก็ยุ่งเหยิงมาตลอด และตอนนี้ยิ่งขยายกำลังพลไปอีก มันยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่

กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยไปที่ป้อมสังเกตการณ์อื่นมาก่อน ถ้าพวกเขาไป คงได้รู้แล้วว่ามีป้อมสังเกตการณ์มากมายที่มีคนไม่เต็มหน่วย หัวหน้าหน่วยบางคนถึงกำลังตั้งใจปลอมแปลงเลขสมาชิกหน่วยเพื่อขอเสบียงจากสมาคมเพิ่ม แต่สุดท้ายก็ลงเอยถูกเรียกให้ร่วมสงครามแบบไม่ทันตั้งตัว

ถ้าเบื้องบนรู้ว่าพวกเขาปลอมแปลงตัวเลขล่ะก็ คงไม่ได้โดนลงโทษแบบธรรมดาแน่นอน อาจจะมีคนถูกประหารชีวิตเป็นการเตือนคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ จึงมีผู้ที่คิดอยากกวนให้เรื่องวุ่นวายนี้วุ่นวายกว่าเดิม

ขณะที่หลิวไท่หยวนออกไปตามทหารกองกำลังส่วนตัวที่เหลือด้วยตัวเอง ทหารกองกำลังส่วนตัวจากป้อมปราการอื่นๆ ก็ออกเดินทางแล้ว มีแต่ป้อมปราการ 108 ที่ยังถูกทิ้งท้าย

พวกเขาควรมารวมพลและรายงานตัวตอนเจ็ดโมงเช้า แต่นี่ก็เกือบเย็นแล้ว…

และตลอดเวลานี้ ไม่มีใครสนในกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่เลย ทั้งหน่วยเดินไปมาได้ตามใจอย่างกับปล่อยฝูงแกะเล็มหญ้า เริ่นเสี่ยวซู่พาทุกคนกลับเมืองน้อยไปซื้อแผ่นแป้งไส้ไข่กินกัน เป็นหลี่ชิงเจิ้งเลี้ยง

พอตกเย็น หลิวไท่อวี่ก็กลับมาพร้อมกับทหารกองใหญ่ ทหารกองกำลังส่วนตัวพวกนี้หน้าบวมช้ำคล้ำเขียวกันหมด ที่น่าตกใจที่สุดคือหน่วยทหารหลายกลุ่มหายไปแล้ว..

เสื้อผ้าของพวกเขาส่วนใหญ่ฉีกขาด บางคนถึงกับรองเท้าหายไป มีแค่หน่วยของเริ่นเสี่ยวซู่ที่ยังพอดูมีราศีอยู่

กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่คือหน่วยรบที่แปดของกองพันเหล็กที่สอง มันน่าจะมีหน่วยก่อนหน้านี้อีกเจ็ดหน่วย แต่ว่าหน่วยรบที่หกนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ทหารทุกคนในหน่วยล้วนถูกหน่วยอื่นขโมยตัวไปหมดสิ้น ขนาดตัวหัวหน้าหน่วยเองยังถูกลักพาไป…

ตอนนี้หลิงไท่อวี่ไม่ได้พูดถึงบทลงโทษอะไร ช่วงเวลาปกติ เขามีแต่จะยึดส่วนแบ่งอาหารจากทุกคน ไม่ได้สนใจหน้าที่การงานทหารอะไรเลย และแล้วเขาก็ได้รับรสน้ำมือของตัวเองแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่ลองนับคร่าวๆ ตอนนี้มีทหารเต็มหน่วยอยู่สามสิบสามกลุ่ม สรุปคือตอนนี้มีทหารอยู่ประมาณพันนาย

หลิวไท่อวี่ยืนอยู่หน้าทุกคน และกล่าวว่า “ช่วงสงบสุข สมาคมเลี้ยงดูทุกคน ดั่งคำว่า เลี้ยงกำลังพลพันวันเพื่อใช้ในหนึ่งการรบ ตอนนี้ได้เวลาที่ทุกคนต้องรับใช้สมาคมแล้ว พวกเราจะมุ่งไปยังแนวหน้าที่เขาเทียนโถว เขาเฟิ่งอี๋ และเขาชวงหลง พวกเราจะสร้างฐานที่มั่นบนพื้นที่สูง กันการบุกโจมตีจากกองทัพของสมาคมตระกูลชิ่ง”

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปพักหนึ่ง ให้กองกำลังส่วนตัวไปสร้างฐานที่มั่นในพื้นที่สูง? จะส่งพวกเราไปตายหรือยังไง

ถึงการเลือกภูมิประเทศในการสู้รบที่ดีนั้นจะสร้างข้อได้เปรียบได้มาก แต่ลูกกระสุนปืนใหญ่สามารถสร้างผลกระทบอย่างแม่นยำในระยะไกล ต่อให้คุมพื้นที่สูงได้ ถ้าศัตรูมีของมากพอ พวกเขาแค่ถล่มทั้งพื้นที่ด้วยกระสุนปืนใหญ่เอาก็ได้

ในช่วงเวลานี้ ใครคอยป้องกันพื้นที่สูงต้องตายแน่นอน

ปกติสถานการณ์แบบนี้ คงต้องก่อสร้างป้อมสนามอย่างแข็งแกร่งไว้บนพื้นที่สูงสำหรับทำหน้าที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ แต่ประเด็นคือพวกเริ่นเสี่ยวซู่จะเอาเวลาไหนไปสร้างป้อมสนามกัน

ทุกคนในกองกำลังส่วนตัวเกิดความโกลาหลทันที ไม่มีอยากไปสละชีพโดยไม่ได้อะไรหรอก แต่ถึงทุกคนจะประท้วงไป ก็ไม่มีใครกล้าหนีอยู่ดี

หลิวไท่อวี่มีกองทหารคุ้มกันที่เขาไว้วางใจล้อมอยู่ มีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดสิบนาย อาวุธยุทโธปกรณ์ดีกว่าที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่ถือครอง

แต่กองกำลังพวกนี้ไม่ได้เชี่ยวชาญในการสงคราม ด้านหนึ่งรับผิดชอบความปลอดภัยของหลิวไท่อวี่ ด้านหนึ่งคอยจับตาหน่วยรบกองกำลังส่วนตัวว่าทำตามคำสั่งดีหรือไม่

หลิวไท่อวี่ยิ้ม “แต่ว่าหน้าที่รับผิดชอบยิ่งใหญ่ย่อมมีรางวัลใหญ่ตาม ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี หลังจากสงครามจบจะถูกบรรจุเข้ากองกำลังแห่งสมาคมตระกูลหลี่ นอกจากนั้นยังได้รางวัลอย่างงามด้วย อย่างน้อยที่สุดก็ได้สถานะพลเมืองป้อมปราการอย่างถูกกฎหมาย แถมยังจะได้เข้าไปใช้ชีวิตในป้อมปราการด้วยนะ”

ทหารบางรายพลันเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมา “พวกเราจะได้เข้าไปในป้อมเหรอครับ แถมได้รับสถานะพลเมืองของป้อมปราการด้วย?”

“ถามจริง?”

หลิวไท่อวี่ยิ้ม “ในฐานะผู้บัญชาการแห่งกองพันเหล็กที่สอง ไม่มีล้อเล่นหรอก มีคำสั่งจากทางเบื้องบนของสมาคมลงมาอย่างเป็นทางการแล้ว ทุกคนมั่นใจได้”

มีคนไม่น้อยรู้สึกตื่นเต้นยินดี ผู้อพยพส่วนใหญ่ไม่ได้มีความรู้มากนัก ว่ากันตามประวัติศาสตร์แล้ว คนเหล่านี้มักจะถูกผู้อื่นหลอกอยู่เสมอ ยิ่งตอนนี้มาอยู่รวมกันแล้วด้วย ยิ่งหลอกง่ายเข้าไปใหญ่

แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าทำไมหลิวไท่อวี่ถึงให้คำสัญญายิ่งใหญ่เช่นนี้ เป็นเพราะว่าทหารกองกำลังส่วนตัวนับพันที่นี่ไม่มีทางรอดชีวิตกลับมาได้น่ะสิ!

มีอีกหลายคนที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ปล่อยให้เพื่อนๆ ทหารคุยกันอย่างตื่นเต้นไป

ทันใดนั้นหลิวไท่อวี่ก็ปรบมือส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ “ขึ้นรถบรรทุก ได้เวลาเดินทางแล้ว”

รถออฟโรดของหลี่ไท่อวี่กับรถบรรทุกทหารคุ้มกันไม่ได้ขับนำหน้า แต่ทำหน้าที่กำกับดูแลอยู่หลังขบวน พวกเขาคอยจับตาว่าจะมีคนหนีกลางทางหรือไม่

เริ่นเสี่ยวซู่มองภาพนี้ผ่านกระจกหลังของรถบรรทุก พร้อมบอกกับหลี่ชิงเจิ้งว่า “เจ้าหลิวไท่อวี่นั่นขี้ขลาดตาขาว พอถึงเวลาต้องไม่กล้าออกไปสนามรบด้วยตัวเองแน่ แบบนั้นพวกเราคงมีช่องว่างฉวยโอกาสทำอะไรได้ตามใจ”

หลี่ชิงเจิ้งผงะ “นายคิดอะไรอยู่น่ะเสี่ยวซู่ อย่าเพิ่งรีบร้อนนะ”

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset