ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 841 ภัยธรรมชาติ พระไตรปิฎกแห่งน้ำตกทราย!

ก่อนสงครามเริ่ม หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปหาห่าวจื้อเชาและถามเขาว่าเธอจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ในตอนแรกเขาอยากจะปฏิเสธเธอ เพราะถึงแม้เธอจะแข็งแกร่งกว่าเขา แต่เครือข่ายฟ้าดินก็ไม่ได้สิ้นหวังถึงขนาดต้องให้เด็กสาวอายุสิบสองเข้าร่วมในสงคราม

 

 

แต่เขาไม่คิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะไม่สำนึกบุญคุณ “หลี่ว์ซู่บอกว่าเขาจะช่วยเธอสู้ ดังนั้นเขาจึงสู้ จนกว่าเขาจะกลับมา ฉันจะช่วยเธอสู้ในส่วนของเขาเอง”

 

 

อาจจะดูเหมือนว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่เป็นคนนอก แต่ห่าวจื้อเชารู้ดีว่าถึงแม้พวกเขาจะพูดเช่นนั้น แต่พวกเขาไม่มีทางปฏิบัติต่อเครือข่ายฟ้าดินเหมือนเป็นคนนอกอย่างแน่นอน

 

 

ห่าวจื้อเชารู้จักพวกเขาดี เด็กกำพร้าสองคนนี้ปกป้องตัวเองจากโลกภายนอก แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายฟ้าดินแล้ว

 

 

“ตอนนี้สิ่งที่เรากังวลก็คือน่าจะยังมีผู้มีพลังธาตุดินระดับ B อยู่ในหมู่ผู้บำเพ็ญชาวต่างชาติ เพราะจากข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่เราได้รับมาบอกว่า หลังจากหลี่ว์ซู่ฆ่าแอนโทนีและผู้นำของกลุ่มนั้นแล้ว ยังคงมีผู้มีพลังธาตุดินอีกสองคนที่ปะปนอยู่ในผู้มีพลังระดับ B สี่สิบคนนั้น ฉันกังวลว่าเราจะรับมือพวกนั้นไม่ไหว” ห่าวจื้อเชาไม่อาจวางใจได้

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้และพูดว่า “ถ้าพวกนั้นกล้าเข้ามา พวกนั้นก็จะได้ตายอยู่ที่นี่”

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้พูดเกินไป จอห์นสันเองก็มีพลังธาตุดินเช่นกัน และถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีพลังเสกสรรที่ค่อนข้างอ่อนแอ แต่ตอนนี้แอนโทนีกลายเป็นระดับ B ขั้นสูงที่สามารถชดเชยช่องว่างในการต่อสู้ของเขาได้แล้ว เมื่อสงครามเริ่มขึ้น หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็พยายามค้นหาพวกผู้มีพลังธาตุดินระดับ B และหนึ่งในนั้นก็เป็นหนึ่งในคนสิบกว่าคนที่เธอเพิ่งฆ่าไป

 

 

หลังจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จุดประกายกลุ่มดาวกลุ่มที่สี่ ก็มีหลุมดำหลุมหนึ่งที่ไม่ได้ถูกครอบครองโดยวิญญาณ เธอเคยบอกหลี่ว์ซู่ว่าเธออยากจะลองใช้วิญญาณระดับ A และคงจะดีที่สุดถ้าหากว่าเป็นวิญญาณของหัวหน้าบาทหลวง ไม่เป็นไรเลยถ้าเขาอ่อนแอกว่า แต่เขากลับน่ารำคาญ ดังนั้นพวกเขาถึงต้องการเก็บวิญญาณของเขาเป็นสิ่งแรก…

 

 

ในตอนนั้นอาจจะดูเหมือนพวกเขาพูดเล่น แต่ลึกๆ แล้วพวกเขาค่อนข้างจริงจัง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรที่จะกักขังวิญญาณของหัวหน้าบาทหลวงเอาไว้…

 

 

แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่มีวิญญาณของหัวหน้าบาทหลวง แต่เธอก็สามารถดึงเอาจากผู้มีพลังธาตุดินระดับ B ก็ได้!

 

 

ตอนที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังเป็นระดับ C เธอใช้เวลาถึงสามวันในการเสกสรรวิญญาณของจอห์นสัน แต่ตอนนี้เธอเลื่อนขั้นเป็นระดับ B แล้ว เธอต้องการเวลาแค่สามชั่วโมงเท่านั้น

 

 

นี่คือกลยุทธ์ที่เธอคิดเอาไว้ ถ้าเธอหาผู้มีพลังธาตุดินระดับ B ได้ในทันที เธอก็จะสามารถควบคุมผู้มีพลังธาตุดินระดับ B สามคน และเริ่มต้นการสังหารหมู่ที่ใต้ดินได้หลังจากนั้นสามชั่วโมง

 

 

เธอมีผู้มีพลังธาตุดินสามคน ตัวเธอเองก็เป็นระดับ B เช่นกัน ถ้าผู้มีพลังระดับ B ร่วมมือกันถึงสี่คน พวกผู้มีพลังธาตุดินที่อยู่ใต้ดินก็คงไม่มีโอกาสรอด

 

 

การร่วมมือกันของระดับ B ถึงสี่คนถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะขนาดทั้งเครือข่ายฟ้าดินเองก็มียอดฝีมือระดับ B เพียงสิบเก้าคนเท่านั้น…

 

 

ถ้าพวกองค์กรใหญ่เข้าร่วมสงครามด้วยตัวเอง พวกเขาอาจจะสามารถเพ่งเป้าไปที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้ แต่อย่างไรหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ต้องพบกับความลำบากมากมายที่ใต้ดิน แต่ทางฝั่งองค์กรใหญ่กลับดูจะได้รับความยุ่งยากกว่า เพราะการพยายามฆ่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีแต่จะส่งผลให้พวกเขาต้องสูญเสียมากกว่า

 

 

เมื่อพวกผู้บำเพ็ญลับเห็นว่าไม่สามารถพึ่งพวกผู้มีพลังธาตุดินได้อีกต่อไป พวกเขาจึงได้แต่ต้องเดินหน้าต่ออย่างไม่เต็มใจ หากพวกเขาต้องการมีชีวิตรอด สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือทำตัวให้ชินกับสงคราม ในความสับสนวุ่นวายของสงคราม พวกผู้บำเพ็ญลับไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมือกัน

 

 

เบื้องหน้าของพวกเขาคือป้อมปราการสูงตระหง่าน แต่เบื้องหลังมีสมาชิกหลายพันคนจากองค์กรใหญ่ที่คอยควบคุมการสู้รบ และนี่น่าจะเป็นการควบคุมที่มากที่สุดในช่วงสงครามในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการฝึกบำเพ็ญ ในอนาคตคงไม่มีอะไรแบบนี้ให้เห็นอีก

 

 

ผู้บำเพ็ญลับที่อยู่ตรงกลางรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเผาด้วยไฟนรก

 

 

ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ผู้มีพลังธาตุไฟ ธาตุแสง และธาตุโลหะ กำลังใช้ความสามารถของพวกเขาในการโจมตีผู้บำเพ็ญของเครือข่ายฟ้าดินที่อยู่บนกำแพง ผู้มีพลังสายพละกำลังก็กำลังพยายามทำลายกำแพงเช่นกัน

 

 

ผู้บำเพ็ญลับบางคนรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด พวกเขาพยายามหลบหนี แต่ก็ไม่อาจหนีจากการฆ่าที่โหดร้ายของพวกองค์กรใหญ่ได้

 

 

ทหารในชุดเกราะทองแดงเข่นฆ่าพวกผู้บำเพ็ญลับด้วยใบหน้าเย็นชา แต่คนพวกนี้มีมากเกินไปจนดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

เฉินจู่อานถอดหมวกเกราะและเช็ดเลือดออกจากใบหน้า “คนพวกนี้เยอะเหมือนตั๊กแตน! จู่ๆ ก็เกิดไม่กลัวตายขึ้นมางั้นเหรอ เราต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะกำจัดคนพวกนี้ได้หมด”

 

 

เฉิงชิงเฉี่ยวพูดอย่างไม่ปิดบังด้วยน้ำเสียงบ้ำระห่ำ “หลังสงครามครั้งนี้จบลง ผมต้องฝันร้ายไปอีกหลายปีแน่!”

 

 

“ถ้าเราฝันร้ายแล้วจะทำไม? เราก็แค่ฆ่าทุกคนที่กล้าเข้ามา!” เฉินจู่อานสวมหมวกกลับเข้าไปและเริ่มต้นต่อสู้ป้องกันป้อมปราการอีกครั้ง

 

 

ในตอนนี้ทุกคนตระหนักได้แล้วว่าพื้นดินหยุดการระเบิดลงแล้ว

 

 

ตอนที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังต่อสู้ มีเสียงระเบิดดังขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว แต่หลังจากนั้นเสียงระเบิดครั้งใหญ่ก็หยุดลง ตอนนี้มีเพียงความเงียบเท่านั้น

 

 

เฉินจู่อานกระซิบ “ฉันหวังว่าเสี่ยวอวี๋จะปลอดภัย เธอจะบาดเจ็บไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอล่ะก็ พี่ซู่จะต้องคลั่งแน่ๆ!”

 

 

เขาตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อคิดไปถึงเรื่องนี้ เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นอย่างไรหากเขาเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาจริงๆ

 

 

“เดี๋ยว! ดูนั่นสิ!” ใครคนหนึ่งตะโกน!

 

 

มีเสียงคำรามทื่อๆ ดังมาจากที่ไกลๆ…

 

 

เครือข่ายฟ้าดินตัดต้นไม้ในระยะห่างออกไปเพียงสองกิโลเมตรเพื่อเพิ่มขอบข่ายการมองเห็น แต่ป่าอยู่ไกลออกไปมากกว่านั้น

 

 

แต่ถึงอย่างนั้นทหารในชุดเกราะทองแดงก็ยังคงพยายามมองไปยังที่ไกลๆ ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นพายุฝุ่นและเศษผงฟุ้งขึ้นหลังจากเสียงคำราม หลังจากนั้นพื้นดินขนาดหนึ่งตารางกิโลเมตรก็เริ่มยุบลงไป!

 

 

และขณะที่พื้นดินกำลังยุบลงไป เม็ดทรายและดินรอบๆ ก็เริ่มไหลลงกลบฝังหลุมเหมือนกับน้ำตก

 

 

เมื่อพื้นดินกลับมาราบเรียบเหมือนอย่างเก่า ผู้คนที่เคยยืนอยู่ตรงนั้นก็หายไป

 

 

มันเหมือนเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ฝังพวกผู้มีพลังไว้ข้างใต้!

 

 

“นั่นใช่พระไตรปิฎกแห่งน้ำตกทรายในตำนานหรือเปล่า… อย่าบอกนะว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก้าวขึ้นสู่ระดับ A แล้ว นี่มันโกงนี่!” เฉินจู่อานร้องตะโกนอย่างตกใจ

 

 

ไม่ใช่แค่เฉินจู่อานที่ตกใจ แต่ทั่วทั้งสนามรบต่างก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน ฉากเมื่อครู่ที่น่ากลัวไม่ต่างจากภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้น คือผลจากการร่วมมือกันระหว่างหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และผู้มีพลังธาตุดินอีกสามคนหลังจากที่เธอเสกสรรวิญญาณที่สามได้สำเร็จ!

 

 

มันเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันตนเองจากสิ่งนี้ ก็เหมือนกับภัยธรรมชาติจริงๆ!

 

 

จู่ๆ เฉินจู่อานก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง “นั่นคือเขดแดนของพวกองค์กรใหญ่… แล้วทำไมเสี่ยวอวี๋ถึงไปอยู่ที่นั่น”

 

 

แต่ในชั่วขณะต่อมาเฉินจู่อานก็เข้าใจ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่มีทางลงมือโดยไม่มีจุดประสงค์ เธอโจมตีสมาชิกขององค์กรใหญ่ที่มีหน้าที่ควบคุมการโจมตี เธอต้องการสร้างเส้นทางหลบหนีให้กับพวกผู้บำเพ็ญลับ

 

 

พวกผู้บำเพ็ญลับมีจำนวนมากเกินไป ถึงแม้ว่าคนพวกนั้นอาจจะอ่อนแอและไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่พวกเขาก็สามารถสร้างปัญหาใหญ่ให้เครือข้ายฟ้าดินได้

 

 

ตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋สร้างทางเลือกอีกทางหนึ่งให้พวกเขาแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่มีทางให้หลบหนีจึงเลือกได้เพียงเส้นทางแห่งความตาย ตอนนี้พวกเขาจะสามารถหนีไปได้หรือไม่

 

 

หลังจากพระไตรปิฎกแห่งน้ำตกทรายผ่านพ้นไป จู่ๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ปรากฏขึ้นบนพื้น แม้ในช่วงเวลาเช่นนี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ไม่ลืมที่จะแสดงความรู้สึกออกมา…

 

 

เหล่าผู้บำเพ็ญลับที่กำลังจะโจมตีป้อมปราการ จู่ๆ ก็วิ่งเข้าหาหนทางหลบหนีกันอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้คนพวกนี้กลายไปเป็นปัญหาของพวองค์กรใหญ่แล้ว!

 

 

ห่าวจื้อเชาเฝ้ามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ และจู่ๆ เขาก็หัวเราะ “ฉันไม่เคยคิดถึงการสร้างทางหนีให้พวกผู้บำเพ็ญลับเลย พวกเขาจะวิ่งเข้าหาเส้นทางนั้นราวกับว่าพวกเขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป พี่น้องคู่นี้ประหลาดจริงๆ ฉันรอคอยให้หลี่ว์ซู่กลับมาที่สนามรบไม่ไหวแล้ว”

 

 

ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ ห่าวจื้อเชาก็รู้สึกว่าพี่น้องคู่นี้ฆ่าเพื่อความอยู่รอด ท้ายที่สุดแล้วหลี่ว์ซู่ก็ไม่ธรรมดาเลย

 

 

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเนี่ยถิงถึงบอกว่าทุกอย่างจะคุ้มค่า

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset