ขอบเขตของสงครามถูกจำกัดอยู่ที่ภูเขาจั่งไป๋เท่านั้น ราวกับว่าทุกองค์กรเห็นด้วยว่าการต่อสู้นี้ไม่ควรส่งผลกระทบไปในบริเวณกว้าง
พวกเขาประกาศสิ่งที่ต้องการอย่างชัดเจน ก็คือพวกเขาต้องการสมบัติของเผ่าโบราณอี๋ที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาหลังแนวกระบี่เท่านั้น
ขุมทรัพย์แห่งฟ้าดินนั้นจะตกเป็นของผู้ที่คู่ควร แล้วทำไมพวกเขาจึงจะปล่อยให้ขุมทรัพย์อยู่ในเมืองของเครือข่ายฟ้าดินเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นล่ะ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ต้องแข่งขันเอาทรัพยากรการบำเพ็ญที่โบราณสถานในต่างประเทศเหมือนกันไม่ใช่เหรอ
แต่พวกเขาทุกคนก็ตระหนักดีว่าไม่ควรที่จะทำให้การต่อสู้นี้ลุกลามไปบริเวณหมู่บ้านอื่น บางคนได้กำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บำเพ็ญลับล่วงละเมิดพรมแดนของภูเขาด้วย
ถ้าพวกผู้บำเพ็ญลับเข้ามาฆ่าและปล้นพวกชาวบ้านขึ้นมาล่ะ เนี่ยถิงต้องโกรธจัดแน่ๆ!
เพราะฉะนั้นสงครามขนาดเล็กก็เป็นที่ยอมรับได้ เพราะทุกคนก็ต่างโหยหาความลับและสมบัติของเผ่าโบราณอี๋ทั้งนั้น แต่ไม่มีใครอยากจะสู้อย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่มีองค์กรไหนที่อยากจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับเนี่ยถิงหรอก
ที่จริงแล้วองค์กรอื่นๆ กำลังทำให้สงครามครั้งนี้ดูเหมือนสงครามน้อยลงเพื่อไม่ให้เนี่ยถิงโกรธอยู่ต่างหาก…
องค์กรทั้งหลายได้ตั้งสำนักงานใหญ่ที่ท่าเรืออาร์เตม และพวกเขายังแข่งขันกันเพื่ออำนาจในกล่าวคำปราศรัยเช่นกัน พวกกลุ่มนกกระจอกแดงที่เป็นกลุ่มในพื้นที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนนต่อกลุ่มที่ใหญ่กว่าอย่างกลุ่มแก่นความเชื่อและกลุ่มฟีนิกซ์ เพราะพวกเขาได้เสียกำลังคนที่สำคัญไปมากตั้งแต่การต่อสู้กับหมีขาวคราวที่แล้ว และพวกเขาก็ไม่มีคนระดับ A อยู่ในกลุ่มอยู่แล้วด้วย
อย่างไรก็ตามการตายของผู้นำของหมีขาวยังเป็นเรื่องปริศนาอยู่สำหรับกลุ่มนกกระจอกแดง พอพวกเขาอยากจะวางแผนกำจัดตัวอันตรายต่อกลุ่มของเขาแล้ว อยู่ๆ ศพของผู้นำกลุ่มหมีขาวมาโผล่อยู่กลางป่าเสียอย่างนั้น…
ในตอนนั้นกลุ่มนกกระจอกแดงตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการฆ่าเพราะเป็นบริเวณในการควบคุมของพวกเขา แต่เมื่อตามร่องรอยการต่อสู้แล้วก็กลับพบว่านั่นไม่ใช่การต่อสู้ที่สูสีเท่าไหร่ อีกอย่างตรงนั้นยังมีรอยเท้าของคนแค่สองคนด้วย ซึ่งน่าจะเป็นรอยเท้าของผู้นำกลุ่มหมีขาวและอีกรอยเท้าหนึ่งเป็นรอยเท้าของเด็ก…
สถานการณ์ที่สำนักงานใหญ่ในท่าเรืออาร์เตมก็น่าสนใจมากเช่นกัน องค์กรหลายๆ องค์กรไม่ยอมเข้าไปในตึก เพราะกลัวว่าเนี่ยถิงจะบินผ่านมาฆ่าทุกคนในตึกทิ้งหมด เพราะฉะนั้นพวกเขาขออยู่แยกกันดีกว่า
อีกอย่างก็มีผู้นำองค์กรหลายคนหายตัวไปหลังจากมาถึงที่ท่าเรืออาร์เตมแล้ว โดยไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปซ่อนตัวที่ไหน
ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาจะต้องลงทุนกับการต่อสู้นี้มาก ก่อนอื่นคือพวกเขาจะต้องหาเหตุผลเหมาะๆ มาอธิบายการเข้ามาภูเขาจั่งไป๋แห่งนี้ พวกเขาอ้างว่ามันเป็นสิทธิ์ของพวกเขาที่จะมาที่ภูเขาจั่งไป๋ เพราะเครือข่ายฟ้าดินเองก็ขนเอาทรัพยากรในโบราณสถานจากต่างประเทศไปเหมือนกัน อย่างตอนโบราณสถานเกาะช้างนั่นไง
เพราะฉะนั้นพวกเขาก็ต้องจับตามองสมาชิกของกลุ่มตัวเองไม่ให้ไปก่อเรื่องในบริเวณของเครือข่ายฟ้าดิน เพราะไม่อย่างนั้นเหตุผลของพวกเขาที่คิดกันมาอย่างดีอาจจะพังทลายไปได้ง่ายๆ ถ้าพวกเขาทำเครือข่ายฟ้าดินโกรธเข้าและพวกเครือข่ายฟ้าดินก็อาจจะประกาศสงครามตรงนั้นเลยก็ได้ องค์กรทั้งหลายจึงได้ส่งกองกำลังที่มีคนไม่มาก เพื่อทำให้เครือข่ายฟ้าดินหมดกำลังแทนที่จะเปิดฉากการต่อสู้ครั้งใหญ่
แต่อย่างไรก็ตามการสู้แบบกลุ่มก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพสำหรับผู้บำเพ็ญเท่าไหร่เนื่องจากจะไปทำให้แต่ละคนแสดงพลังออกมาไม่เต็มที่
ท้ายที่สุดแล้วผู้นำองค์กรจะต้องหาที่หลบกำบังให้ลับที่สุด เพื่อที่เครือข่ายฟ้าดินจะไม่มาเจอแล้วฆ่าพวกเขาทิ้ง
อีกอย่างเครือข่ายฟ้าดินนั้นก็มีสายลับอยู่ทั่วโลก พวกเขาจะไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าสมาชิกทั้งหลายที่พวกเขามีอยู่จะเชื่อถือได้ทุกคน
นอกจากนี้การรวมตัวกันขององค์กรขนาดใหญ่ทั้งหลายก็ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันเสียทีเดียว พวกเขามาอยู่ด้วยกันเพราะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และแต่ละองค์กรก็มีแผนลับที่ซ่อนไว้อยู่เช่นกัน
แต่หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เริ่มวุ่นวายเพราะกลุ่มฟีนิกซ์และกลุ่มแก่นความเชื่อประกาศแข่งขันกันเป็นผู้นำขององค์กรทั้งหลาย
ถึงแม้ว่าเครือข่ายฟ้าดินจะเสียเปรียบด้านจำนวนในขณะที่พวกเขายืนหยัดต่อสู้กับโลกทั้งใบ แต่สมาชิกทั้งหลายก็ยืนหยัดอยู่ร่วมกันและระเบียบวินัยในองค์กรของพวกเขาก็เหนือกว่ากลุ่มสหภาพระดับโลกที่ร่วมมือกันเสียอีก
ตอนแรกกลุ่มสหภาพต้องการจะส่งผู้บำเพ็ญระดับ C ออกไปทดสอบก่อน เพราะพวกเขาเชื่อว่าสงครามอันดุเดือดคงไม่เกิดขึ้นโดยทันทีแน่
แต่ในการต่อสู้ขนาดเล็กที่ว่านั้นก็มีโยวหมิงอวี่และหลี่อีเสี้ยวนำกำลังคนบุกเข้าป่าไปสู้ คู่ต่อสู้คงจะเหลือรอดอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น ถ้ากลุ่มฟีนิกซ์ไม่เข้าไปซุ่มโจมตีน่าหลานเชวี่ยเสียก่อน ซึ่งทำให้เครือข่ายฟ้าดินต้องถอยกลับมาอยู่ในตำแหน่งตั้งรับก่อน
และครั้งนั้นเององค์กรใหญ่ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าเครือข่ายฟ้าดินไม่ได้ต้องการจะมาเสียเวลากับพวกเขาเลย เพราะเครือข่ายฟ้าดินได้ส่งทีมที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาสู้ในการต่อสู้ครั้งแรกแบบนี้
และเครือข่ายฟ้าดินก็ประกาศอย่างชัดเจนเลยว่าพวกเขาพร้อมต่อสู้ในสงคราม และไม่สนใจว่าองค์อื่นๆ จะพร้อมด้วยหรือเปล่า
พวกนักสู้มืออาชีพทั้งหลายก็เลยต้องเข้าไปต่อสู้ก่อนที่พวกผู้บำเพ็ญลับจะถูกกำจัดไปหมดเสียอีก
ในตอนนั้นเองกลุ่มคนธรรมดาก็ถูกอพยพออกไปจากภูเขาจั่งไป๋ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญที่เตรียมสู้อย่างดุเดือดแล้ว กองทัพแนวหน้าของเครือข่ายฟ้าดินและองค์กรต่างประเทศสู้กันในระยะประชิด ทำให้มีการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
น่าเสียดายที่เครือข่ายฟ้าดินเสียเปรียบในด้านของตำแหน่งการต่อสู้เพราะมีจำนวนนักสู้ที่น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้กองทัพแนวหน้าถูกตีเข้ามาจนถึงบริเวณตรงกลางของภูเขาจั่งไป๋แล้ว ในขณะเดียวกันองค์กรต่างประเทศทั้งหลายก็จับจองพื้นที่อยู่รอบๆ ยอดเขา ทุกคืนจะมีกองไฟถูกจุดอยู่บริเวณเนินลาด และมีคนหน้าใหม่เข้ามาร่วมกลุ่มอยู่ทุกวันโดยที่คนเก่าเข้ามานั้นต่างล้มตายกันในป่าไปแล้ว
…
กลุ่มของผู้บำเพ็ญที่นำโดยกลุ่มนกกระจอกแดงกำลังเดินสำรวจในป่า พวกเขาแอบเข้ามาในป่านี้ได้สองวันแล้ว โชคดีที่พวกเขายังไม่เจอสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินเลย
ภูเขาจั่งไป๋มีความยาวจากเหนือจรดใต้ประมาณสามร้อยสิบกิโลเมตร และกว้างจากตะวันออกไปตะวันตกประมาณสองร้อยกิโลเมตร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ยากมากที่กองทหารทั้งหลายจะเดินมาพบกันได้ในดินแดนอันกว้างใหญ่นี้
กลุ่มนี้เดินมาถึงป่าที่เปิดกว้างแล้ว หัวหน้ากลุ่มมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วพูดว่า “ตั้งแคมป์กันที่นี่คืนนี้แล้วกัน ระวังพวกศัตรูที่อาจแอบซุ่มอยู่เสมอ! สมาชิกเครือข่ายฟ้าดินเก่งการใช้มีดบินมากและเราก็ป้องกันการโจมตีนั้นได้ยากด้วย…เดี๋ยวนะ อีกสองคนหายไปไหน!”
แล้วทันใดนั้นเองเขาก็เห็นแขนสองข้างยื่นออกมาจากหลังต้นไม้และล็อกคอคนของเขาไว้ แขนนั้นบิดจนคอของชายคนนั้นหักเหมือนแป้งเกลียวทอด
ทั้งทีมมีสิบคน แต่พวกเขาเสียกำลังคนไปแล้วกว่าสามคนก่อนที่จะได้เห็นศัตรูเสียอีก
มีเสียงสวบสาบของใบไม้บนพื้นดังขึ้น แล้วพวกเขาก็เห็นเส้นสีเทาหลายร้อยเส้นวิ่งอยู่บนพื้น