เมื่อพวกเขามาถึงโอลเบียกันแล้วทุกคนก็เห็นว่ามีคนประมาณสิบกว่าคนยืนเฝ้าอยู่ตามถนน หลังจากที่รถกระบะขับผ่านไป ลุงเจ้าของร้านไอศกรีมก็มองผ่านกระจกมองหลัง เขาเห็นว่าพวกนั้นรีบหยิบมือถือออกมาเมื่อพวกเขาเห็นขบวนรถวิ่งผ่านไป
ลุงร้านไอศกรีมสูดหายใจเข้าลึกแล้วตะโกนผ่านอินเตอร์คอม “เราโดนจับได้แล้ว เปลี่ยนแผน! เปลี่ยนแผนสองด่วน!”
หลี่ว์ซู่ตะลึงไปเลย ไหนบอกว่าพวกเขาแค่จะผ่านมาที่นี่เฉยๆ ไง ทำไมถึงมีแผนหนึ่งแผนสองด้วย
จากนั้นผู้คนที่อยู่หลังพวกเขาก็รีบขึ้นรถมาและตามพวกเขามาทันที และรถกระบะที่พวกเขานั่งมาก็รีบเร่งความเร็วขึ้น พวกคุณลุงและคุณป้าเริ่มจะแข่งรถกันบนทางหลวงแห่งนี้แล้ว หลี่ว์ซู่รู้สึกไม่ค่อยดีเลย
เขานั่งอยู่บนรถกระบะของคุณลุงขายไอศกรีม คุณลุงคนนี้ควรที่จะขายไอศกรีมไปแล้วหยอดมุกใส่คุณป้าที่ขายหมูหันไปพลางๆ สิ ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้นะ
เขารู้สึกเหมือนกับว่าชะตาของเขาเป็นลาป่าที่ต้องวิ่งหนีไปเรื่อยๆ และไม่รู้จะต้องหนีไปถึงไหน
“พวกเขาอยู่ข้างหลังเรา ฉันสะบัดพวกมันไม่หลุด” คุณป้าคนหนึ่งพูดขึ้นมาผ่านอินเตอร์คอม
“ไม่เป็นไร ถ้าสะบัดพวกมันออกไม่หลุดก็อย่าให้พวกมันมาใกล้เรามาก!” คุณลุงหยิบแว่นกันแดดออกมาจากตู้เก็บของและใส่มัน เขาพูดอย่างกระตืนรือร้น “พวกมันก็ต้องกลัวตายกันบ้างล่ะ เรามียอดฝีมือนั่งมาด้วย ตราบใดที่เราไปถึงที่หมายได้ พวกมันก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
รถกระบะเร่งข้างหน้าไปตามทางหลวง พวกเขาเหมือนกับฮีโร่ที่ใครๆ ก็สามารถเจอในชีวิตประจำวันได้
“เราจะไปไหนกันครับลุง” หลี่ว์ซู่ถามออกไป
“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง โห อย่างกับว่าเราอยู่ในหนังเรื่อง 300 เลย!”
คุณลุงตอบกลับมาอย่างดุเดือด หลี่ว์ซู่ได้ยินก็เงียบไป จริงอย่างที่ลุงว่า รู้สึกอย่างกับตัวเองอยู่ในหนังสปาร์ตาเลย
ถ้ามีคนมาบอกเรื่องนี้กับหลี่ว์ซู่ตอนที่อยู่ในสถานการณ์ธรรมดาล่ะก็หลี่ว์ซู่จะอารมณ์เสียแน่ๆ เลย เขาอยากจะเป็นคนกุมชะตาตัวเองมากกว่า
กลุ่มคุณลุงคุณป้ารู้ว่าพวกเขาอยากจะไปดูโบสถ์เซนต์พอลในโอลเบียซึ่งเป็นปลายทางที่พวกเขาควรจะไปกัน แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมาแล้วหยุดถามออกไปแล้ว เขารู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ต่อสู้เพียงคนเดียว
มีคนอีกตั้งหลายคนพร้อมใจจะช่วยเขาทุกครั้งที่เขารู้สึกว่าโลกนี้มันทั้งน่ารังเกียจและเย็นชา ก็จะมีผู้คนใจดีมีน้ำใจปรากฏตัวขึ้นมาทุกที
คอรัลซบหลี่ว์ซู่อย่างอ่อนแรง เธอไม่สนหรอกว่าพวกเขาจะไปไหน ร่างกายของเธอเริ่มอ่อนแอลงทุกทีแล้ว เหมือนกับว่าเธอไม่สามารถรู้สึกได้ถึงลมพัดเข้ามาจากข้างนอกได้เลย
“เมื่อคืนฉันฝันด้วยล่ะหลี่ว์ซู่” อยู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมา
เสียงของเธอเบามาก และดูเหมือนโลกทั้งโลกของเธอก็จะอ่อนแอลงไปด้วย หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียงเบาๆ ของเธอ
เขาถามออกไปอย่างใจเย็น “ฝันว่าอะไรเหรอ”
“ฝันว่าเจอบ้านหลังหนึ่งแล้วประตูมันปิดอยู่ พอฉันหันหลังไปก็เห็นโซฟาหลังใหญ่ที่กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งห้องนั่งเล่น มีแสงอุ่นๆ ส่องมา มีเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ด้วย มีเสียงใครสักคนกำลังทำคัสเซอโรลจากในครัว กลิ่นซุปหอมคลุ้งไปทั่วห้องเลยนะ
“แล้วมันกำลังจะตกกลางคืนแล้ว ข้างนอกนั่นมีโคมไฟแขวนอยู่ทั่วเมือง จากนั้นประตูก็เปิดออก นายยืนอยู่ในความหนาวเย็นและยิ้มให้ฉันจากนั้นก็พูดว่า ‘ฉันกลับถึงบ้านแล้ว’ ฉันเดินไปหานายแล้วกอดนายไว้ เหมือนกับว่าฉักกำลังกอดโลกทั้งใบไว้เลย”
“ฉันกลัวนิดหน่อย เพราะมีเสียงกุงเนียร์ร้าวดังขึ้นมาเหมือนกับว่าดังขึ้นมาจากเหวลึก แต่ฉันไม่ได้กลัวพวกมันหรอกนะ แค่มีเสียงร้าวขึ้นมา ฉันก็เลย…”
คอรัลพูดจบก็ผล็อยหลับไป ลมหายใจของเธอหนักหน่วงแต่ก็ฟังดูอ่อนแรง
หลี่ว์ซู่คลายมือของตัวเองออก เธอพูดอะไรแบบนี้ออกมาอย่างกับว่าอยากจะบอกลาเลย…
ในขณะเดียวกันเฉาชิงฉือ เฉินจู่อาน และคนอื่นๆ ก็มาถึงโอลเบียกันแล้ว พวกเขามองคนที่อยู่ที่นี่แล้วก็รีบเดินเข้าไปหาพวกเขา ดูเหมือนว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
คนเหล่านั้นเดินไปตามถนน และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจัดงานเฉลิมฉลองและเปลี่ยนแถวนี้ให้กลายเป็นถนนที่วุ่นวาย
“พวกเขาทำอะไรกันน่ะ” เฉินจู่อานอึ้ง “เรามาผิดที่กันอีกแล้วเหรอ เราต้องกลับไปอีกหรือเปล่าเนี่ย”
ตู้ม!
หลังจากผ่านไปสิบวินาที เฉินจู่อานก็ยืนขึ้นอีกรอบหนึ่ง เขาเปียกโชกไปทั้งตัว เขาตามเฉาชิงฉือไปแล้วตะโกนว่าเธอ
“ฉันแค่ล้อเล่นเฉยๆ! รู้จักมุกตลกหรือเปล่าเนี่ย”
เฉาชิงฉือไม่ได้สนใจเขาเลย เธอมองคนคนหนึ่งในฝูงชนแล้วพูดออกมา “ตามเขาไป บางทีเขาอาจจะรู้คำตอบก็ได้ อย่าให้หลุดล่ะ”
เมื่อเธอพูดจบแล้วเธอก็เห็นเฉินจู่อานพาเฉิงชิวเฉี่ยวและหันโหยวเข้าไปหาคนคนนั้น แต่เขากลับไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวเข้าโจมตีจากข้างหน้าและข้างหลังทำให้คนคนนั้นหมดสติไป
เฉินจู่อานสบโอกาสช่วงชุลมุนนั้นเพื่อทิ้งร่างของคนคนนั้นลงไปในถังขยะ เขายกหูฟังสีขาวในมือขึ้นมาอย่างดีใจ
เฉาชิงฉือเงียบไป “เข้าใจที่พวกเขาพูดด้วยเหรอ”
เฉินจู่อานใส่หูฟังแล้วเขาก็ได้ยินคนพูดภาษาเยอรมัน เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง
“น่าอายจริง!”
เฉาชิงฉือตัดสินใจเดินเข้ามาในหมู่ฝูงชน “ตามคนพวกนั้นไป เดี๋ยวเราก็รู้เองว่าพวกเขากำลังจะทำอะไรกัน ตามฉันมา”
…
คอรัลหลับไปแล้วและเปลือกตาของเธอก็ขยับเป็นบางครั้ง หลี่ว์ซู่มองออกไปนอกหน้าต่าง และเห็นว่าเมฆสีขาวกำลังลอยถอยหลังกลับไป
หลังจากผ่านไปสามสิบนาทีแล้วเขาก็ได้ยินเสียงเบสกับเสียงกีตาร์และเสียงกลองดังมาจากที่ไกลๆ ด้วย แถมยังมีเสียงผู้คนรวมตัวกันดึงอึ้งขึ้นมา
หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย งั้นพวกคุณลุงคุณป้าพวกนี้จะไปเขาไปที่งานดนตรีอย่างนั้นเหรอ ใครบางคนที่อยู่รถคันข้างหลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาพวกเขา “เราอยู่ทางเหนือของโอลเบียกันแล้ว เป้าหมายยังอยู่ในสายตา”
อย่างกับว่าพวกผู้บำเพ็ญจากทางเหนือของซาร์ดิเนียเข้ามาใกล้โอลเบียขึ้นทุกที พวกเขาเป็นเหมือนฉลามในมหาสมุทรที่ได้กลิ่นเลือดไกลมาจากหลายกิโลเมตร และฟันของพวกเขาก็แหลมคมมากด้วย
นี่เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองของสัตว์ร้าย และพวกเขาจะเป็นเครื่องสังเวยที่ขาดไม่ได้ในการเฉลิมฉลอง จากนั้นพวกมันก็จะฆ่าและเข้ากัดกินเหยื่อ
ตอนนี้รถที่ตามหลี่ว์ซู่มาก็เห็นว่าขบวนรถกระบะได้วิ่งเข้าไปในฝูงชนที่เทศกาลงานดนตรีแล้ว พวกเขาคิดว่าขบวนรถพวกนี้บ้าไปแล้วแน่ๆ พวกเขาขับชนพวกคนเดินถนนอย่างไม่ระวังกันเลย อยากตายกันหรืออย่างไรนะ
แต่พวกคนที่กำลังฟังดนตรีกันอยู่นั้นกลับเปิดทางออกให้รถกระบะได้ขับผ่านไป จากนั้นพวกเขาก็กลับมารวมตัวกันใหม่และปิดทางรถอื่นๆ ที่จะเข้ามา ทำตัวเหมือนเป็นกำแพงมนุษย์
อย่างกับว่าพวกเขาได้ซักซ้อมกันมาก่อนหน้าแล้ว พวกที่ตามหลี่ว์ซู่และคอรัลเข้ามารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังมองการแสดงที่น่าทึ่งมากๆ อยู่
พวกคนพวกนี้ทำงานร่วมกันได้ดีขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ!
“ทำบ้าอะไรกันวะ!” คนคนหนึ่งที่ตามหลี่ว์ซู่และคอรัลตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้ว และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เขาตามเป้าหมายไปไม่ทัน