ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 704 งานเฉลิมฉลอง

เมื่อพวกเขามาถึงโอลเบียกันแล้วทุกคนก็เห็นว่ามีคนประมาณสิบกว่าคนยืนเฝ้าอยู่ตามถนน หลังจากที่รถกระบะขับผ่านไป ลุงเจ้าของร้านไอศกรีมก็มองผ่านกระจกมองหลัง เขาเห็นว่าพวกนั้นรีบหยิบมือถือออกมาเมื่อพวกเขาเห็นขบวนรถวิ่งผ่านไป  

 

 

ลุงร้านไอศกรีมสูดหายใจเข้าลึกแล้วตะโกนผ่านอินเตอร์คอม “เราโดนจับได้แล้ว เปลี่ยนแผน! เปลี่ยนแผนสองด่วน!”  

 

 

หลี่ว์ซู่ตะลึงไปเลย ไหนบอกว่าพวกเขาแค่จะผ่านมาที่นี่เฉยๆ ไง ทำไมถึงมีแผนหนึ่งแผนสองด้วย  

 

 

จากนั้นผู้คนที่อยู่หลังพวกเขาก็รีบขึ้นรถมาและตามพวกเขามาทันที และรถกระบะที่พวกเขานั่งมาก็รีบเร่งความเร็วขึ้น พวกคุณลุงและคุณป้าเริ่มจะแข่งรถกันบนทางหลวงแห่งนี้แล้ว หลี่ว์ซู่รู้สึกไม่ค่อยดีเลย  

 

 

เขานั่งอยู่บนรถกระบะของคุณลุงขายไอศกรีม คุณลุงคนนี้ควรที่จะขายไอศกรีมไปแล้วหยอดมุกใส่คุณป้าที่ขายหมูหันไปพลางๆ สิ ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้นะ  

 

 

เขารู้สึกเหมือนกับว่าชะตาของเขาเป็นลาป่าที่ต้องวิ่งหนีไปเรื่อยๆ และไม่รู้จะต้องหนีไปถึงไหน  

 

 

“พวกเขาอยู่ข้างหลังเรา ฉันสะบัดพวกมันไม่หลุด” คุณป้าคนหนึ่งพูดขึ้นมาผ่านอินเตอร์คอม  

 

 

“ไม่เป็นไร ถ้าสะบัดพวกมันออกไม่หลุดก็อย่าให้พวกมันมาใกล้เรามาก!” คุณลุงหยิบแว่นกันแดดออกมาจากตู้เก็บของและใส่มัน เขาพูดอย่างกระตืนรือร้น “พวกมันก็ต้องกลัวตายกันบ้างล่ะ เรามียอดฝีมือนั่งมาด้วย ตราบใดที่เราไปถึงที่หมายได้ พวกมันก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก”  

 

 

รถกระบะเร่งข้างหน้าไปตามทางหลวง พวกเขาเหมือนกับฮีโร่ที่ใครๆ ก็สามารถเจอในชีวิตประจำวันได้  

 

 

“เราจะไปไหนกันครับลุง” หลี่ว์ซู่ถามออกไป  

 

 

“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง โห อย่างกับว่าเราอยู่ในหนังเรื่อง 300 เลย!”  

 

 

คุณลุงตอบกลับมาอย่างดุเดือด หลี่ว์ซู่ได้ยินก็เงียบไป จริงอย่างที่ลุงว่า รู้สึกอย่างกับตัวเองอยู่ในหนังสปาร์ตาเลย  

 

 

ถ้ามีคนมาบอกเรื่องนี้กับหลี่ว์ซู่ตอนที่อยู่ในสถานการณ์ธรรมดาล่ะก็หลี่ว์ซู่จะอารมณ์เสียแน่ๆ เลย เขาอยากจะเป็นคนกุมชะตาตัวเองมากกว่า  

 

 

กลุ่มคุณลุงคุณป้ารู้ว่าพวกเขาอยากจะไปดูโบสถ์เซนต์พอลในโอลเบียซึ่งเป็นปลายทางที่พวกเขาควรจะไปกัน แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมาแล้วหยุดถามออกไปแล้ว เขารู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ต่อสู้เพียงคนเดียว  

 

 

มีคนอีกตั้งหลายคนพร้อมใจจะช่วยเขาทุกครั้งที่เขารู้สึกว่าโลกนี้มันทั้งน่ารังเกียจและเย็นชา ก็จะมีผู้คนใจดีมีน้ำใจปรากฏตัวขึ้นมาทุกที  

 

 

คอรัลซบหลี่ว์ซู่อย่างอ่อนแรง เธอไม่สนหรอกว่าพวกเขาจะไปไหน ร่างกายของเธอเริ่มอ่อนแอลงทุกทีแล้ว เหมือนกับว่าเธอไม่สามารถรู้สึกได้ถึงลมพัดเข้ามาจากข้างนอกได้เลย  

 

 

“เมื่อคืนฉันฝันด้วยล่ะหลี่ว์ซู่” อยู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมา  

 

 

เสียงของเธอเบามาก และดูเหมือนโลกทั้งโลกของเธอก็จะอ่อนแอลงไปด้วย หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียงเบาๆ ของเธอ  

 

 

เขาถามออกไปอย่างใจเย็น “ฝันว่าอะไรเหรอ”  

 

 

“ฝันว่าเจอบ้านหลังหนึ่งแล้วประตูมันปิดอยู่ พอฉันหันหลังไปก็เห็นโซฟาหลังใหญ่ที่กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งห้องนั่งเล่น มีแสงอุ่นๆ ส่องมา มีเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ด้วย มีเสียงใครสักคนกำลังทำคัสเซอโรลจากในครัว กลิ่นซุปหอมคลุ้งไปทั่วห้องเลยนะ  

 

 

“แล้วมันกำลังจะตกกลางคืนแล้ว ข้างนอกนั่นมีโคมไฟแขวนอยู่ทั่วเมือง จากนั้นประตูก็เปิดออก นายยืนอยู่ในความหนาวเย็นและยิ้มให้ฉันจากนั้นก็พูดว่า ‘ฉันกลับถึงบ้านแล้ว’ ฉันเดินไปหานายแล้วกอดนายไว้ เหมือนกับว่าฉักกำลังกอดโลกทั้งใบไว้เลย”  

 

 

“ฉันกลัวนิดหน่อย เพราะมีเสียงกุงเนียร์ร้าวดังขึ้นมาเหมือนกับว่าดังขึ้นมาจากเหวลึก แต่ฉันไม่ได้กลัวพวกมันหรอกนะ แค่มีเสียงร้าวขึ้นมา ฉันก็เลย…”  

 

 

คอรัลพูดจบก็ผล็อยหลับไป ลมหายใจของเธอหนักหน่วงแต่ก็ฟังดูอ่อนแรง  

 

 

หลี่ว์ซู่คลายมือของตัวเองออก เธอพูดอะไรแบบนี้ออกมาอย่างกับว่าอยากจะบอกลาเลย…  

 

 

ในขณะเดียวกันเฉาชิงฉือ เฉินจู่อาน และคนอื่นๆ ก็มาถึงโอลเบียกันแล้ว พวกเขามองคนที่อยู่ที่นี่แล้วก็รีบเดินเข้าไปหาพวกเขา ดูเหมือนว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น  

 

 

คนเหล่านั้นเดินไปตามถนน และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจัดงานเฉลิมฉลองและเปลี่ยนแถวนี้ให้กลายเป็นถนนที่วุ่นวาย  

 

 

“พวกเขาทำอะไรกันน่ะ” เฉินจู่อานอึ้ง “เรามาผิดที่กันอีกแล้วเหรอ เราต้องกลับไปอีกหรือเปล่าเนี่ย”  

 

 

ตู้ม!  

 

 

หลังจากผ่านไปสิบวินาที เฉินจู่อานก็ยืนขึ้นอีกรอบหนึ่ง เขาเปียกโชกไปทั้งตัว เขาตามเฉาชิงฉือไปแล้วตะโกนว่าเธอ  

 

 

“ฉันแค่ล้อเล่นเฉยๆ! รู้จักมุกตลกหรือเปล่าเนี่ย”  

 

 

เฉาชิงฉือไม่ได้สนใจเขาเลย เธอมองคนคนหนึ่งในฝูงชนแล้วพูดออกมา “ตามเขาไป บางทีเขาอาจจะรู้คำตอบก็ได้ อย่าให้หลุดล่ะ”  

 

 

เมื่อเธอพูดจบแล้วเธอก็เห็นเฉินจู่อานพาเฉิงชิวเฉี่ยวและหันโหยวเข้าไปหาคนคนนั้น แต่เขากลับไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวเข้าโจมตีจากข้างหน้าและข้างหลังทำให้คนคนนั้นหมดสติไป  

 

 

เฉินจู่อานสบโอกาสช่วงชุลมุนนั้นเพื่อทิ้งร่างของคนคนนั้นลงไปในถังขยะ เขายกหูฟังสีขาวในมือขึ้นมาอย่างดีใจ  

 

 

เฉาชิงฉือเงียบไป “เข้าใจที่พวกเขาพูดด้วยเหรอ”  

 

 

เฉินจู่อานใส่หูฟังแล้วเขาก็ได้ยินคนพูดภาษาเยอรมัน เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง  

 

 

“น่าอายจริง!”  

 

 

เฉาชิงฉือตัดสินใจเดินเข้ามาในหมู่ฝูงชน “ตามคนพวกนั้นไป เดี๋ยวเราก็รู้เองว่าพวกเขากำลังจะทำอะไรกัน ตามฉันมา”  

 

 

…  

 

 

คอรัลหลับไปแล้วและเปลือกตาของเธอก็ขยับเป็นบางครั้ง หลี่ว์ซู่มองออกไปนอกหน้าต่าง และเห็นว่าเมฆสีขาวกำลังลอยถอยหลังกลับไป  

 

 

หลังจากผ่านไปสามสิบนาทีแล้วเขาก็ได้ยินเสียงเบสกับเสียงกีตาร์และเสียงกลองดังมาจากที่ไกลๆ ด้วย แถมยังมีเสียงผู้คนรวมตัวกันดึงอึ้งขึ้นมา  

 

 

หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย งั้นพวกคุณลุงคุณป้าพวกนี้จะไปเขาไปที่งานดนตรีอย่างนั้นเหรอ ใครบางคนที่อยู่รถคันข้างหลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาพวกเขา “เราอยู่ทางเหนือของโอลเบียกันแล้ว เป้าหมายยังอยู่ในสายตา”  

 

 

อย่างกับว่าพวกผู้บำเพ็ญจากทางเหนือของซาร์ดิเนียเข้ามาใกล้โอลเบียขึ้นทุกที พวกเขาเป็นเหมือนฉลามในมหาสมุทรที่ได้กลิ่นเลือดไกลมาจากหลายกิโลเมตร และฟันของพวกเขาก็แหลมคมมากด้วย  

 

 

นี่เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองของสัตว์ร้าย และพวกเขาจะเป็นเครื่องสังเวยที่ขาดไม่ได้ในการเฉลิมฉลอง จากนั้นพวกมันก็จะฆ่าและเข้ากัดกินเหยื่อ  

 

 

ตอนนี้รถที่ตามหลี่ว์ซู่มาก็เห็นว่าขบวนรถกระบะได้วิ่งเข้าไปในฝูงชนที่เทศกาลงานดนตรีแล้ว พวกเขาคิดว่าขบวนรถพวกนี้บ้าไปแล้วแน่ๆ พวกเขาขับชนพวกคนเดินถนนอย่างไม่ระวังกันเลย อยากตายกันหรืออย่างไรนะ  

 

 

แต่พวกคนที่กำลังฟังดนตรีกันอยู่นั้นกลับเปิดทางออกให้รถกระบะได้ขับผ่านไป จากนั้นพวกเขาก็กลับมารวมตัวกันใหม่และปิดทางรถอื่นๆ ที่จะเข้ามา ทำตัวเหมือนเป็นกำแพงมนุษย์  

 

 

อย่างกับว่าพวกเขาได้ซักซ้อมกันมาก่อนหน้าแล้ว พวกที่ตามหลี่ว์ซู่และคอรัลเข้ามารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังมองการแสดงที่น่าทึ่งมากๆ อยู่  

 

 

พวกคนพวกนี้ทำงานร่วมกันได้ดีขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ!  

 

 

“ทำบ้าอะไรกันวะ!” คนคนหนึ่งที่ตามหลี่ว์ซู่และคอรัลตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้ว และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เขาตามเป้าหมายไปไม่ทัน  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset