ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 703 ทางลัดที่เร็วที่สุดของจุดสองจุดก็คือเส้นตรง

เฉาชิงฉือวิเคราะห์ข้อมูลจากหน่วยขาวกรองมาโดยตลอดตั้งแต่ขึ้นเรือไวกิ้งมา อย่างกับว่าเธอกำลังกรองข้อมูลที่จะต้องได้ใช้อยู่  

 

 

ส่วนเฉินจู่อาน เฉิงชิวเฉี่ยว และหันโหยวก็ชินกับการที่เธอเงียบไม่พูดไม่จาเป็นปกติอย่างนี้อยู่แล้ว  

 

 

หันโหยวเป็นสมาชิกใหม่ แต่ถือว่าเก่งใช้ได้ เขาอยู่ระดับ B และได้ทำภารกิจทางทหารมาหลายอย่างตามเขตแดนของประเทศ เขาเป็นคนดื้อรั้นเหมือนกับเกาเสินอิ่น  

 

 

ก่อนที่ภารกิจจะเริ่ม หันโหยวเคยคิดว่าพวกระดับ A ทุกคนก็เป็นพวกชั้นสูงที่เอาแต่ใจกันหมด และคนที่เติบโตมาท่ามกลางความยากลำบากอย่างเขาเท่านั้นถึงจะแบกรับความรับผิดชอบของเครือข่ายฟ้าดินได้ แต่เขาก็เพิ่งมาเข้าใจทีหลังว่าคนอย่างเขาและพวกหัวกะทินั้นแตกต่างกันจริงๆ เพราะพวกนั้นจะต้องไปทำภารกิจที่เสี่ยงมากๆ และพวกคนเก่งของหัวกะทิจริงๆ ถึงจะรอดชีวิตมาได้  

 

 

หันโหยวถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “พี่จู่อาน ใครคือพี่หลี่ว์ซู่ที่พี่พูดถึงกันเหรอครับ พี่รู้จักเขาเหรอ แล้วเขาเป็นพวกหัวกะทิระดับ A ด้วยหรือเปล่า”  

 

 

“นายไม่เคยได้ยินชื่อพี่ซู่มาก่อนงั้นเหรอ” เฉิงชิวเฉี่ยวตกใจ  

 

 

“ก็คุ้นๆ อยู่นะครับ” จริงๆ แล้วหันโหยวอยากจะถามออกไปว่าใครน่ะ เขาต้องรู้จักด้วยเหรอ แต่ดูจากหน้าของเฉิงชิวเฉี่ยวแล้วมันคงจะน่าอายมากถ้าไม่รู้จักคนคนนี้  

 

 

จากนั้นเฉิงชิวเฉี่ยวก็ตบหน้าผากเมื่อคิดอะไรออก “อ๋อ ใช่สิ เรื่องที่โบราณสถานลบนัวร์ไม่ได้ออกข่าวสาธารณะทั่วไปนี่ แต่นายก็คงเคยเห็นเขามาก่อนแหละ เขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มระลอกทองแดง!”  

 

 

“ให้ตายเถอะ!” หันโหยวทึ่ง  

 

 

พวกกลุ่มระลอกทองแดงนั้นแตกไปเมื่อโบราณสถานปิดตัวลง แต่ตำนานก็ยังคงกล่าวขานไปทั่วห้องเต้าหยวน  

 

 

เดี๋ยวนี้ชื่อเสียงของพวกเขาเปรียบเทียบได้เหมือนกับพวกหัวกะทิระดับ A เลย พวกเขาเป็นกลุ่มที่น่ารำคาญแต่แข็งแกร่งมาก แล้วพวกเขาก็วิ่งไปช่วยคนอื่นเมื่อตกอยู่ในอันตรายในโบราณสถาน  

 

 

“เป็นเขานั่นเอง” หันโหยวพูดด้วยความตื่นเต้น “พี่สนิทกับเขาไหมครับ แนะนำให้ผมรู้จักหน่อยได้ไหม”  

 

 

“ก็อยากอยู่นะ แต่ว่าหัวหน้าของเราหนีตามไปกับแฟนเขาแล้ว…” เฉินจู่อานที่นอนอยู่บนเก้าอี้ริมสระมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างเศร้าโศก  

 

 

“ทุกหน่วยบนเกาะกำลังตามหาเขาอยู่” เฉิงชิวเฉี่ยวพูด “ฉันชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าเขายังจะมีชีวิตอยู่ตอนเราไปถึงหรือเปล่า พูดก็พูดเถอะ เราคงไปช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว ถ้าพี่ซู่จัดการเรื่องนี้ไม่ได้แล้วเราก็คงทำไม่ได้เหมือนกันแหละ”  

 

 

เขาหันไปมองเฉาชิงฉือเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ  

 

 

หลี่ว์ซู่คงจะเป็นระดับ B อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่เฉิงชิวเฉี่ยวเชื่อว่าเฉาชิงฉือก็ได้ผ่านอะไรแบบนั้นมาเหมือนกัน  

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพที่มีแล้ว เฉาชิงฉือเป็นคนที่พิเศษมากในหมู่หัวกะทิระดับ A ด้วยกัน มีบางคนที่เหมือนๆ กับเธอบ้าง และพวกเขาก็ถูกเรียกว่าเป็น ‘สุดยอดหัวกะทิ’ กันอยู่ลับๆ ด้วย  

 

 

พวกเขาได้ฉายานี้มาจากคุณสมบัติที่แสดงออกมาตอนไปทำภารกิจและตลอดการฝึกฝน เฉินจู่อานยังมองขึ้นไปบนฟ้าอยู่  

 

 

“พอเราไปถึงก็คงจะสายไปแล้วก็ได้ ทำไมพี่ซู่ถึงไม่รอพวกเรานะ เขาสร้างศัตรูได้ถึงหมื่นคนแล้วมั้ง ถึงจะฟังดูน่าเศร้าก็เถอะ แต่จะมีใครในรุ่นเราที่ทำได้เท่าเขาบ้าง นี่ไม่ได้พูดเกินไปเลยนะว่าเขาอาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้ว จะเป็นรองก็แต่พวกราชันฟ้าเท่านั้นแหละ”  

 

 

“เราจะกระโดดลงทะเลกัน” อยู่ๆ เฉาชิงฉือก็ยืนขึ้นแล้วพูดออกมา  

 

 

“จะบ้าไปแล้วเหรอ ทำไมเราต้องกระโดดลงทะเลกันด้วย” เฉินจู่อานตกใจ  

 

 

“กว่าเรือไวกิ้งจะไปถึงฮอลแลนด์ก็คงใช้เวลาสักพักเลย แต่เราจะประหยัดเวลามากถ้าเข้าทะเลเมดิเตอเรเนียนไปทางช่องแคบยิบรอลตาร์แล้วก็ว่ายน้ำไปซาร์ดิเนีย” เฉาชิงฉืออธิบายอย่างใจเย็น “ทางลัดที่เร็วที่สุดของจุดสองจุดก็คือเส้นตรงนี่แหละ”  

 

 

“ก็เข้าใจที่คิดอยู่หรอก แต่เราจะต้องว่ายน้ำไปถึงสองร้อยกิโลเมตรเลยนะ!” เฉินจู่อานอึ้งมาก  

 

 

“แล้วมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ” เฉาชิงฉือตอบกลับหน้าตาย เธอเริ่มจะเก็บของของตัวเองแล้ว “เดี๋ยวฉันจะเก็บกระเป๋าของพวกเราไว้ในช่องเก็บของล่องหนของฉันไว้ ยศทหารของฉันต่ำกว่าแค่หลี่ว์ซู่เท่านั้น งั้นนี่ก็เป็นคำสั่ง ไปกันได้แล้ว”  

 

 

เธอไม่ได้ล้อเล่นจริงด้วย!  

 

 

“งั้นถ้าพวกเราว่ายน้ำกันไม่เป็นล่ะ” เฉินจู่อานถามอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเขาก็โดนดึงคอเสื้อขึ้นไป แล้วโดนเหวี่ยงลงไปในทะเล เธอแข็งแกร่งกว่าระดับ C อย่างเขามาก  

 

 

“อ๊า!”  

 

 

ตู้ม!  

 

 

พวกผู้โดยสารบนเรือสำราญเข้ามามุงดูว่าเกิดอะไรขึ้น หันโหยวและเฉิงชิวเฉี่ยวมองหน้ากันอย่างลังเล เมื่อเฉาชิงฉือมองหน้าพวกเขาอย่างน่ากลัวและเฉิงชิวเฉี่ยวก็ยอมทันที “เดี๋ยวเรากระโดดลงไปกันเองได้…”  

 

 

เฉาชิงฉือเก็บของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และเธอก็มองทางจากตรงนี้ไปซาร์ดิเนีย เธอมีแววตาฉายความกังวลเล็กน้อย ถึงการสู้ศัตรูกว่าหมื่นคนจะฟังดูเท่ดี แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็กำลังอยู่ในอันตราย เธอหวังว่ายังจะไม่สายเกินไปนะ  

 

 

หลังจากที่พวกเขาว่ายน้ำกันมาทั้งวัน ในที่สุดก็เห็นชายฝั่งบนบกกันเสียที เฉินจู่อานรู้สึกว่าแขนขาของเขาเริ่มซีดและบวมหลังจากว่ายน้ำมาเป็นเวลานานแล้ว  

 

 

“ในที่สุด!” เฉินจู่อานมีความสุขขึ้นมาทันที การว่ายน้ำติดต่อกันยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ  

 

 

เมื่อพวกเขาขึ้นฝั่งกันมาแล้วเฉาชิงฉือก็ถามคนที่เดินผ่านไปมาด้วยภาษาอังกฤษ “ที่นี่ซาร์ดิเนียหรือเปล่าคะ”  

 

 

“ที่นี่คอร์ซิก้า ซาร์ดิเนียอยู่ทางใต้นะ” คนคนนั้นตอบกลับมาด้วยความงุนงง  

 

 

เฉินจู่อานหายใจติดขัด เขามองหน้าเฉาชิงฉือแล้วบ่นออกมา  

 

 

“ก็จริงนะที่ทางลัดที่เร็วที่สุดของจุดสองจุดก็คือเส้นตรง แต่เธอไม่ได้ไปตามเส้นตรงเลย อ๊า!!!”  

 

 

ตู้ม!  

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวและหันโหยวพยายาฉีกยิ้มประจบออกมา  

 

 

“เราจะกระโดดแล้วจ้า กำลังจะกระโดดแล้ว”  

 

 

คอร์ซิก้าไม่ได้อยู่ไกลจากซาร์ดิเนียเลย ถ้าพวกเขาไปถูกทางแล้วก็คงจะไปถึงเมืองโอลเบียซึ่งเป็นเมืองทางเหนือของซาร์ดิเนียในอีกหนึ่งชั่วโมง!  

 

 

…  

 

 

ในขณะเดียวกันหลี่ว์ซู่และคอรัลก็นั่งอยู่บนรถกระบะ ในรถมีการสื่อสารแบบอินเตอร์คอมติดตั้งอยู่ด้วย ราวกับว่าพวกเขากำลังนั่งอยู่บนขบวนรถขององค์กรอยู่ เจ้าของร้านไอศกรีมเหลือบมองมาทางเขาแล้วยิ้มออกมา  

 

 

“ส่งของทางไกลมันน่าเบื่อมากเลยนะ พวกเราก็เลยมีอินเตอร์คอมไว้เพื่อคลายเครียดน่ะ พวกเราจะพูดคุยกันหรือร้องเพลงให้กันฟังเพื่อฆ่าเวลาก็ได้”  

 

 

นี่เป็นเหมือนกับวัฒนธรรมท้องถิ่นของที่นี่ คนซาร์ดิเนียมีความสุขกันตลอดก็เพราะพวกเขาสรรหาความสุขกันได้ในชีวิตประจำวัน ความสงบสุขของโลกคงจะหาไม่ยากนักถ้าคนทั้งโลกเป็นแบบพวกเขา  

 

 

คนบางคนคงจะเถียงว่าคนซาร์ดิเนียมีพวกคาร์เทลปกป้องนี่ถึงได้มีความสุขกันมาตลอดขนาดนั้น แต่หลี่ว์ซู่ไม่เห็นด้วย มันก็เหมือนเป็นคำถามเดิมๆ ว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน คาร์เทลเป็นหนึ่งในประชากรด้วยเหมือนกัน ก็เลยอธิบายได้ว่าทำไมพวกสมาชิกถึงมีความสุข ถึงแม้พวกเขาจะแสดงออกมาแปลกๆ บ้างก็เถอะ  

 

 

“พ่อหนุ่ม ลองร้องเพลงภาษาจีนให้เราฟังหน่อยได้ไหม เราชอบวัฒนธรรมของทางตะวันออกนะ ดูลึกลับดี” คนขายไอศกรีมถามยิ้มๆ พวกคนขับรถคนอื่นๆ ก็ตอบผ่านอินเตอร์คอมกลับมาอย่างเห็นด้วยเหมือนกัน และคอรัลเองก็มองหน้าหลี่ว์ซู่ด้วยความคาดหวัง  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ไม่เคยร้องเพลงอื่นๆ นอกจากเพลงดาวดวงน้อยมาก่อน เพราะเขาไม่มีเวลาจะหางานอดิเรกทำมาตั้งแต่สมัยเมื่อก่อน และเพลงที่ว่านี่ก็ดูเด็กไปสำหรับอายุเขาด้วย แต่เขาก็เริ่มร้องเพลงออกมาท่ามกลางสายตาที่คอรัลจ้องมองมา “เขาอาศัยอยู่บนที่ราบสูง พ่อของเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่…”  

 

 

เขารู้ว่าเขาร้องเนื้อเพลงผิดไปหมด แต่พวกคนอื่นๆ ก็นั่งฟังกันอย่างสนุกสนาน จนในที่สุดขบวนรถก็มาถึงเมืองโอลเบียท่ามกลางเสียงร้องเพลงและเสียงหัวเราะ  

 

 

ท้องฟ้าดูแจ่มใสในเวลาบ่ายสามโมงสิบสี่นาที เมื่อพวกเขามาถึงเมืองโอลเบียกันแล้ว หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกได้ถึงอันตรายทันที อย่างที่คิดไว้เลย ศัตรูรออยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset