ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 558 เริ่มการเจรจา

ตอนที่ 558 เริ่มการเจรจา

 

 

หลังกลุ่มทวยเทพที่เคยอยู่จุดสูงสุดของบรรดาองค์กรของผู้บำเพ็ญล่มสลายไป เทศกาลปีใหม่นี้ดูจะสงบสุขอย่างที่หาได้ยากยิ่งในโลกของการบำเพ็ญ

 

 

ตรุษจีนใกล้มาถึงแล้ว พวกผู้บำเพ็ญข้างนอกสังเกตว่าเครือข่ายฟ้าดินนั้นดูเงียบผิดปกติ แต่คนที่เข้าใจเครือข่ายฟ้าดินดีจะรู้ว่าพวกเขากำลังเตรียมเชือดหมูเชือดแกะเพื่อเตรียมพร้อมเข้าตรุษจีนกันอยู่

 

 

ในนาทีนี้พวกผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่อยู่ในเมืองลั่วตื่นเต้นกันมาก หกตระกูลใหญ่ที่มีพลังอำนาจพยายามต่อสู้เพื่อแย่งสถานที่แห่งนี้กัน ใครจะเป็นผู้ชนะในครั้งนี้นะ

 

 

ขณะนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ตามปกติแล้วนักเรียนม.ปลายปีสองควรจะไปโรงเรียนเพื่อเรียนเพิ่ม แต่หลี่ว์ซู่กลับไม่ได้ไป

 

 

เสี่ยวอวี๋เองก็ไม่อยู่บ้านเหมือนกัน หลี่ว์ซู่เองร้องเพลงดาวดวงน้อยไปทั้งคืนแล้ว จากนั้นตอนตีสามเขาก็เริ่มฝึกกระบี่ เขาควบคุมกระบี่ดีขึ้นทุกครั้งที่เหวี่ยงออกไปแต่ละครั้ง หลี่ว์ซู่ออกไปตลาดมืดด้วยรูปลักษณ์ปกติของเขาเพื่อไปหาอาวุธที่ใช้การไม่ได้แล้วจากพวกผู้บำเพ็ญลับอย่างเอาจริงเอาจัง

 

 

จนถึงตอนนี้ เพื่อเพิ่มพลังให้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ การซื้อซากอาวุธดูจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่า

 

 

หลี่ว์ซู่นั่งยองๆ ลงที่หน้าร้านขายของแผงลอยของผู้บำเพ็ญลับเพื่อดูซากอาวุธพังๆ แล้วให้ชัด “ซื้ออาวุธห้าชิ้นนี้ขายเท่าไหร่”

 

 

ผู้บำเพ็ญลับมองหน้าหลี่ว์ซู่แล้วก็รู้สึกไม่คุ้นตา เลยกะจะเล่นใหญ่เพื่ออัพราคาสินค้าสักหน่อย “ตำนานเล่าไว้ว่าอาวุธที่ฉันเจอชิ้นนี้สามารถเคลื่อนภูเขาและเติมน้ำในทะเลในสมัยเมื่อก่อนได้ด้วยนะ แต่ตอนนี้เจ้านี่กำลังรอเจอกับเจ้าของที่ถูกเลือกอยู่ ราคาอยู่ที่แสนหยวน หรือจะจ่ายเป็นศิลาวิญญาณก็ได้นะ”

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ลุกยืนขึ้นแล้วเดินจากไป ผู้บำเพ็ญคนนั้นจึงตะโกนไล่หลังหลี่ว์ซู่ไป “พ่อหนุ่มอาจจะเป็นเจ้าของผู้ถูกเลือกของมันก็ได้นะ! กลับมาก่อนพ่อหนุ่ม กลับมาซื้อหน่อยสักชิ้น!”

 

 

“ไม่เป็นไร ผมล่ะสงสัยว่าคุณมีของวิเศษที่ตื่นตากว่านี้บ้างไหม”

 

 

ผู้บำเพ็ญลับคนนั้นอึ้งพูดไม่ออก

 

 

[แต้มอารมณ์จากหวังจื้อกั๋ว +199…]

 

 

ท่านที่เคารพ นั่นท่านรึเปล่า…

 

 

ผู้บำเพ็ญลับคนนั้นรู้ว่าเขาไม่ใช่ท่านที่เคารพแน่นอน เพราะหน้าตาไม่เหมือนกัน แต่ดูจากกระบี่ที่ถือมาแล้ว เขาคิดว่าเขาน่าจะเคยพบคนคนนี้มาก่อน…

 

 

ในขณะที่หลี่ว์ซู่เดินเล่นทอดน่องอยู่นั้น หลี่อีเสี้ยวก็กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการตลาดมืดในหลุมหลบระเบิดให้พร้อม พอตกดึก ประตูหน้าที่ขึ้นสนิมนั่นก็เปิดออกกว้าง หลี่อีเสี้ยวไปต้อนรับแขกที่เข้ามาด้วยตนเอง “ขอบคุณมากครับที่มาไกลขนาดนี้ ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้ออกไปเจอทุกคน ผมเองก็ไม่มีชามาเสิร์ฟให้ทุกคนเสียด้วย เราเข้าเรื่องกันเลยไหมครับ”

 

 

พวกตัวแทนของแต่ตระกูลต่างพากันเงียบ หลี่อีเสี้ยวใช้น้ำเสียงอย่างตรงไปตรงมาเพื่อเข้าประเด็นหลัก เขาอยู่ในตำแหน่งที่จะมาคุยกันเรื่องนี้ก่อนจะเสนอชาให้ดื่มด้วยเหรอ

 

 

ขณะที่ทุกคนกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ หลี่อีเสี้ยวก็หันกลับไปพูดกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังด้วยเสียงเบา “เมื่อกี้ที่พูดไปโอเคไหมน่ะ ฉันไม่ได้เตรียมบทมาพูดเสียด้วยสิ!”

 

 

เขาทำเสียงเบาก็จริง แต่คนที่มาตระกูลใหญ่พวกนั้นได้ยินกันหมด…

 

 

บรรยากาศที่ดูจริงจังเมื่อครู่สลายหายไปหมดแล้ว ตระกูลใหญ่พวกนั้นมองชายหนุ่มที่อยู่หลังหลี่อีเสี้ยวด้วยความประหลาดใจ พวกเขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาคนนี้เป็นใคร

 

 

พวกเขาอยากจะส่งคนไปตรวจสอบดูเสียเหลือเกิน แต่ในเมื่อพวกเขามาอยู่ที่นี่กันหมดมันก็เลยสายไปแล้ว

 

 

แต่ละตระกูลส่งตัวแทนมากันแค่ตระกูลละสองถึงสามคนเท่านั้น พวกเขามองไปรอบๆ เพื่อหาเกาเสินไจ้จากตระกูลเกาที่ตอนนี้กลายเป็นคนดังในตลาดนี้ไปแล้ว เขาไปไหนกันนะ

 

 

ส่วนเกาเสินอิ่นเองก็จำหลี่ว์ซู่ได้ทันทีแต่ก็ไม่สนใจจะเข้าไปคุยด้วย ตอนนี้ตระกูลของเขาหาเกาเสินไจ้กันอยู่

 

 

ส่วนตระกูลอื่นก็หัวเราะเยาะใส่พวกเขาอย่างเหน็บแนม ทำไมพวกเขาถึงทำให้เรื่องยุ่งยากแบบนี้นะ ทำไมถึงไม่รู้ว่าคนในตระกูลตัวเองหายไปไหน

 

 

หลี่อีเสี้ยวไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระ เขาพาหกตระกูลใหญ่นี้มาได้และเขาก็เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วว่าจะเริ่มการเจรจาอย่างไร

 

 

พวกหกตระกูลใหญ่ต่างเหลือบมองกันราวกับว่าพวกเขามีข้อตกลงลับๆ ระหว่างกันอยู่ ตระกูลเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่เคยเจรจากันภายในมาก่อนอยู่แล้ว กลับกัน พวกเขาเคยร่วมมือกันในขอบเขตงานส่วนอื่นมาหลายครั้งแล้ว

 

 

ตอนที่พวกเขามาถึงหลุมหลบระเบิดแห่งนี้ ตัวแทนจากตระกูลใหญ่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะติดต่อกับอีกตระกูล คนนอกที่มองเข้ามาก็คิดว่าพวกเขาอาจจะไม่ลงรอยกัน แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นพันธมิตรกันภายในต่างหาก หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาละก็ สองตระกูลก็คงยอมร่วมมือกันเพื่อคุมตลาดมืด พวกเขายอมรับได้อยู่แล้ว!

 

 

มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อมีห้องนอนหนึ่งห้องที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของห้องอยู่หกคน ในท้ายที่สุดแล้วจะมีสถานที่เจ็ดแห่งถูกสร้างขึ้น ซึ่งตระกูลใหญ่เหล่านี้เริ่มคิดแล้วว่าจะทำกำไรได้อย่างไร พวกเขาจะต้องเอาจริงเอาจังเป็นร้อยเท่าในเรื่องนี้ยิ่งกว่าห้องนอนของหญิงสาวเสียอีก

 

 

ในสถานการณ์แบบนี้ การหาพันธมิตรเป็นแค่ตัวเลือกหนึ่งเท่านั้น และการหักหลังพันธมิตรก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ทำได้

 

 

“สัญญาณโทรศัพท์ในหลุมระเบิดนี้ค่อนข้างอ่อนหน่อยนะครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริง

 

 

สมาชิกจากตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งมองดูโทรศัพท์ของตัวเองและพบว่ามันไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว! พวกเขาดูหัวเสียมาก “ตลาดมืดของเธอนี่ไม่ค่อยได้เรื่องจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นงานหยาบเลยนะ! ถึงแม้จะอยู่ใต้ดินก็เถอะ แต่คงจะไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอกมั้งถ้าจะซื้ออุปกรณ์อะไรมาติดตั้งเสียหน่อย”

 

 

“อ้อ เรื่องนั้นเราก็ซื้ออุปกรณ์มาแล้วนะครับ” หลี่ว์ซู่ได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเศร้าตามไปด้วย

 

 

“งั้นถ้าซื้อมาแล้วทำไมถึงยังไม่มีสัญญาณอีกล่ะ”

 

 

“เราซื้ออุปกรณ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์มาน่ะ!”

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่ +666…]

 

 

[แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นมู่ +666…]

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเดินออกจากห้องไป เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการให้ตระกูลพวกนี้ติดต่อสื่อสารกันได้ ดังนั้นก็เลยต้องเตรียมการไว้เสียหน่อย เพราะถ้าเกิดมีตระกูลใดเอาข่าวไปปล่อยละก็คงรับมือยากแน่ๆ

 

 

เด็กคนหนึ่งในบรรดาตระกูลใหญ่อยากเดินออกจากห้องไปเพื่อแสดงความโกรธ แต่หลี่อีเสี้ยวก็รีบเข้ามาทำหน้าที่คนดีแล้วบอกว่า “ทุกคนอย่าโมโหกันไปเลยครับ เรื่องการเจรจาขายครั้งนี้นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ พวกเราต้องทำให้แน่ใจว่าทุกๆ คนจะเจรจากันได้อย่างเป็นธรรม หากพวกคุณเดินออกจากห้องไป ผลประโยชน์ก็อาจตกเป็นของตระกูลอื่นได้นะครับ”

 

 

เด็กคนนั้นหยุดขาที่กำลังจะก้าวออกไปแล้วพลิกตัวเดินวกกลับมาในห้อง ตอนนี้ก็อยู่กันพร้อมแล้วทั้งหมดหกตระกูล จะมีใครเดินออกไปตอนนี้ก็ได้ แต่คำถามคือถ้าเดินออกไปแล้วตระกูลอื่นๆ จะเดินออกไปตามพวกเขาด้วยหรือไม่

 

 

หลี่อีเสี้ยวเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูแล้วเฝ้าทางเข้าออกไว้ เจากนั้นก็ปล่อยให้หลี่ว์ซู่เป็นผู้เจรจากับแต่ละตระกูลเอง

 

 

หลังจากปรึกษากับหลี่อีเสี้ยวกันสองคนแล้ว หลี่ว์ซู่ก็เดินเข้าไปในห้องแรก เขามองหลี่อวิ๋นฉู่และทุกคนในห้องก่อนเปิดปากพูด “ผมเชื่อว่าท่านราชันฟ้าหลี่ได้อธิบายเงื่อนไขให้กับทุกคนแล้วนะครับ ผมเข้าใจถูกไหม พวกเรามีศิลาวิญญาณที่อยากนำมาขายให้ทุกคนก่อนที่เราจะออกไปจากตลาดมืดนี้อย่างปลอดภัย และราชันฟ้าหลี่ได้บอกให้ทุกๆ คนเอาอาวุธมาด้วยใช่ไหมครับ”

 

 

หลี่อวิ๋นฉู่ตอนนี้สงบลงแล้ว เรื่องท่าทีโกรธเคืองนั่นเป็นแค่การแสดงเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นเรื่องกำไรแล้วเขายอมมองข้ามอารมณ์ของตัวเอง หลี่อวิ๋นฉู่ตอนนี้กำลังดูว่าการทิศทางการคุยกันตอนนี้จะไปทางไหน ตระกูลใหญ่ทั้งหลายเองก็เพิ่งเริ่มต้นพร้อมๆ กัน แต่ตระกูลของพวกเขาเสียเปรียบเพราะเริ่มเป็นตระกูลแรก

 

 

ยกตัวอย่าง หากคนพวกนี้เสนอราคามาสามแสนห้าต่อศิลาวิญญาณหนึ่งเม็ดแล้ว หลี่ว์ซู่ก็คงไปบอกอีกตระกูลหนึ่งว่า ‘ตระกูลหลี่ให้ราคามาสี่แสนต่อหนึ่งเม็ด มีตระกูลไหนไหมที่จะให้มากกว่านี้’

 

 

ตระกูลหลี่เองเองนั่นแหละที่จะโดนแกง!

 

 

แต่หลี่อวิ๋นฉู่ไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเรื่องนี้มันง่ายขนาดนั้น ทำไมไม่จัดการประมูลขึ้นมาเลยล่ะ ทำไมจะต้องมายุ่งยากทำเรื่องแบบนี้ด้วย สงสัยว่าจะมีความลับอยู่เบื้องหลังเสียแล้ว แต่หลี่อวิ๋นฉู่เองไม่ยอมให้ตระกูลตัวเองเสียเปรียบในการแข่งขันกับอีกห้าตระกูลที่เหลือแน่

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset