ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 556 ท้องไส้ไม่ค่อยดี

ตอนที่ 556 ท้องไส้ไม่ค่อยดี

 

 

หลี่ว์ซู่คิดว่าระหว่างการมารวมตัวในครั้งนี้คงมีเหตุการณ์สู้กันเกิดขึ้นบ้างล่ะ แต่พวกเขาก็ดูเข้ากันได้ดีอย่างสงบเรียบร้อย หลี่ว์ซู่เองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน

 

 

มีใครสักคนเดากว่าความสัมพันธ์ถ่านไฟเก่าของหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยจะกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง หลี่ว์ซู่ไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้เลย!

 

 

เรื่องนี้ค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน เพราะน่าหลานเชวี่ยมาเป็นตัวแทนของตระกูลที่พวกเขากำลังจะคุยธุรกิจด้วย หลี่อีเสี้ยวคงไม่ได้จะคุยเรื่องธุรกิจกับน่าหลานเชวี่ยกันสองต่อสองหรอกใช่ไหม

 

 

หลี่ว์ซู่เคาะประตูห้องแล้วเดินเข้าไป น่าหลานเชวี่ยเหลือบมองขณะที่เขาเข้ามา ถึงแม้เธอจะรู้ว่าหลี่ว์ซู่ออมมือให้ในการต่อสู้ตอนนั้นแต่เธอก็ยังอดโมโหไม่ได้อยู่ดี

 

 

ที่โมโหไม่ใช่เพราะว่าหลี่ว์ซู่โจมตีเธอหรอกนะ แต่ก็เพราะหลี่ว์ซู่ปล่อยหมัดใส่หลี่อีเสี้ยวต่างหากล่ะ!

 

 

หลี่ว์ซู่มองไปที่โต๊ะทำงานของหลี่อีเสี้ยว มีถุงขนมใหญ่สองถุงวางอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนว่าเพิ่งมีใครซื้อขนมมาจากซูเปอร์มาเก็ต

 

 

หลี่ว์ซู่สงสัยว่าน่าหลานเชวี่ยเป็นคนเอามาให้หลี่อีเสี้ยวหรือเปล่า เขารู้สึกว่าสองคนนี้จะกลับมาคบกันอีกหรือเปล่านะ…

 

 

“อะแฮ่ม…เธอออกไปก่อนดีไหม” หลี่อีเสี้ยวพูดกับน่าหลานเชวี่ยอย่างกระอักกระอ่วน น่าหลานเชวี่ยเองก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่

 

 

เธอมองไปที่หลี่อีเสี้ยวแล้วตอบกลับ “เชิญสองคนคุยกันตามสบาย ตระกูลน่าหลานจะสู้กับตระกูลอื่นอย่างเป็นธรรมแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

พอพูดจบเธอก็หันหลังจากไป ครั้งนี้เธอมาเป็นตัวแทนของตระกูล และเธอเองก็ไม่ได้มาใช้เส้นสายอะไรด้วยความสัมพันธ์ของเธอกับหลี่อีเสี้ยว

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าน่าหลานเชวี่ยเป็นคนมีเหตุมีผล แต่เธอก็ทะเลาะขัดแย้งกับหลี่อีเสี้ยวอยู่ตลอดเวลา อาจเพราะดวงทั้งสองคนไม่สมพงษ์กันจริงๆ ก็ได้

 

 

หลี่อีเสี้ยวรอจนน่าหลานเชวี่ยเดินลับออกไปก่อนถึงค่อยถาม “มีตัวแทนจากหกตระกูลมากันในครั้งนี้ แน่ใจนะว่าจะได้เงินมากขนาดนั้นน่ะ”

 

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้หรอกครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ

 

 

“ท้องไส้ฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ย่อยแพนเค้กก้อนใหญ่ที่นายกำลังจะหามันมาได้ไม่ไหวหรอก พอถึงเวลาก็อย่าทำให้เสียเรื่องก็แล้วกัน ฉันถึงกับโดนสือเสวจิ้นตักเตือนมาเมื่อวานเชียวนะ!”

 

 

“ท้องไส้ไม่ค่อยดีงั้นเหรอครับ” หลี่ว์ซู่งง “เป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับ B แล้วท้องไส้ยังไม่ดีได้ไงเนี่ย”

 

 

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันชอบท้องเสียมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เมื่อก่อนน่ะฉันใช้ทิชชูเช็ดก้นไม่ค่อยทันหรอก ก็เลยใช้เครื่องรางของขลังแทน” หลี่อีเสี้ยวพูดขณะที่ล้วงเข้าไปในถุงขนมบนโต๊ะ

 

 

เขาหยิบถุงบิสกิตแครนเบอร์รี่ขึ้นมาแล้วส่งให้หลี่ว์ซู่ “เอ้า กินเสียหน่อยสิ ยัยผู้หญิงบ้านั่นเอามาให้”

 

 

หลี่ว์ซู่เปิดถุงขนมและกินบิสกิตหนึ่งอันเข้าไป อืม…ก็ไม่เลวนะ แล้วเขาก็มองหลี่อีเสี้ยวขณะที่กำลังเปิดถุงขนมห่อหนึ่งแล้วหยิบถุงกันชื้นอันเล็กๆ ในถุงออกมา หลี่อีเสี้ยวโรยสารกันชื้นที่อยู่ในถุงลงบนบิสกิตแล้วก็มองหลี่ว์ซู่ด้วยความสงสัยว่าทำไมไม่ทำแบบนั้นเหมือนกัน “อ้าว ไม่ชอบโรยผงบนขนมก่อนกินเหรอ”

 

 

“…มะ ไม่เป็นไรครับ ผมชอบกินแบบนี้” หลี่ว์ซู่เงียบไปก่อนจะตอบ

 

 

เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าบะหมี่สำเร็จรูปแบบไม่ลวกด้วย แล้วก็ใส่ผงปรุงรสด้วยเหรอ ไม่คิดเหรอว่านั่นจะออกมารสชาติแปลกประหลาดน่ะ

 

 

ดีนะที่เจ้าหมอนี่เป็นผู้บำเพ็ญที่มีร่างกายแข็งแรงไม่เหมือนคนอื่น เลยจบแค่ท้องเสีย ถ้าคนอื่นกินคงไม่มีชีวิตรอดไปแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าทำไมท้องไส้ของหลี่อีเสี้ยวไม่ค่อยดี เพราะไม่มีใครบอกน่ะสิว่าอันนั้นมันกินไม่ได้ หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกแปลกๆ น่าหลานเชวี่ยเองก็อยู่กับหลี่อีเสี้ยวตั้งแต่เช้าจนค่ำแล้วทำไมเธอถึงจะไม่รู้เรื่องนี้ เธอก็ไม่ได้เตือนหลี่อีเสี้ยวเหมือนกันเหรอ

 

 

หลี่ว์ซู่มองเขาไปในถุงขนมอีกทีแล้วก็พบว่าทั้งถุงนั้นเต็มไปด้วยสารกันชื้น…

 

 

น่าหลานเชวี่ยไม่ได้มาที่นี่เพื่อเอาใจหรือมาส่งขนมให้ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอยังแค้นหลี่อีเสี้ยวอยู่ แล้วเธอเองก็รู้นิสัยของเขาดีด้วย เธอเลยเอาขนมนี่มาให้เพื่อวางยาหลี่อีเสี้ยว! การกระทำเช่นนี้ราวกับเธอต้องการบอกว่า ถ้าเธอทำร้ายฉันก็เอาเลย ฉันก็จะทำร้ายเธอคืนเหมือนกัน!

 

 

หลี่ว์ซู่ตัวสั่น ผู้หญิงนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมาก!

 

 

“ถึงแม้ว่ายัยบ้านั่นจะโมโหร้ายไปหน่อย แต่เธอก็ทำกับฉันดีนะ เธอเอาขนมมาให้ถึงที่นี่แม้ว่าเธอจะรู้ว่าฉันอยู่ที่ตลาดมืด” หลี่อีเสี้ยวหัวเราะออกมาแล้วก็ชื่นชมน่าหลานเชวี่ยไปด้วย

 

 

“เอาที่สบายใจเลยครับ…” หลี่ว์ซู่ค่อยๆ วางบิสกิตกลับเข้าไปในถุง

 

 

หลี่ว์ซู่ล่ะอยากเจอคุณยายของน่าหลานเชวี่ยเสียจริงๆ เขาอยากจะรู้ว่าเธอจะมีพฤติกรรมเจ้ายศเจ้าอย่างขนาดไหน แล้วก็ เขายังอยากถามเรื่องคำแนะนำในการดูดวงอีกด้วย…

 

 

หลี่อีเสี้ยววิ่งเข้าห้องน้ำทันทีในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง เขาบ่นพึมพำด้วยความสงสัย

 

 

“แปลกมากเลย ช่วงนี้ฉันก็คิดว่าดูแลสุขภาพกระเพาะตัวเองดีเป็นพิเศษแล้วนะ”

 

 

หลี่ว์ซู่นั่งอยู่ในห้องทำงานนั้นคนเดียวและคิด ในครั้งนี้มีตระกูลตั้งหกตระกูลที่มา หลี่อีเสี้ยวบอกว่าจะให้ศิลาวิญญาณไปตระกูลละไม่กี่พันเม็ดก็ได้อยู่ ถึงแม้ว่าราคาของศิลานี้จะสูงเกินจริง แต่พวกตระกูลใหญ่ยอมจ่ายแน่นอนเพื่อควบคุมตลาดมืดแห่งนี้

 

 

แต่ปัญหาก็คือเขาไปขายศิลาวิญญาณให้ทีละตระกูลไม่ได้ เขาจะต้องประกาศขายพร้อมกันไปเลยทีเดียว!

 

 

ตระกูลพวกนี้ต้องนัดแนะพูดคุยกันเองมาก่อนแล้วแน่ๆ ถ้าตระกูลที่ซื้อศิลาวิญญาณไปตระกูลแรกปล่อยให้ข้อมูลรั่วไปยังตระกูลอื่นๆ แน่นอนว่าหลี่ว์ซู่จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องชะลอการขายศิลาที่เหลืออยู่ออกไป

 

 

หลี่อีเสี้ยวย้ำกับตระกูลใหญ่เหล่านี้หลายต่อหลายครั้งแล้วว่าพวกเขาสามารถเอาของวิเศษหรือทรัพยากรสำหรับฝึกฝนเพื่อมาแลกกับศิลาวิญญาณได้ หลี่ว์ซู่อยากเพิ่มระดับของตัวเองและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจริงๆ

 

 

หลี่ว์ซู่คิดว่าพวกตระกูลใหญ่ก็ไม่น่าจะเสียอะไรมาก ถ้าเขาไม่ประกาศขายศิลาวิญญาณแล้วละก็ พวกตระกูลใหญ่ก็คงไม่มีทางหาศิลามากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าตระกูลเหล่านี้คงจะไม่ชอบใจกับกระบวนการและผลลัพธ์เท่าไหร่นัก

 

 

แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญ หลี่ว์ซู่รู้ว่าเดี๋ยวพวกเขาก็จะเข้าใจถึงความคิดของเขาในครั้งนี้เอง

 

 

การเจรจาจะเริ่มเมื่อไหร่ยังไม่ได้ตกลงกัน ตระกูลเหล่านั้นเลยเฝ้ารอหลี่อีเสี้ยวกับหลี่ว์ซู่ให้เป็นฝ่ายติดต่อมา ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่ก็อยากจะเห็นว่าพวกเขารอได้นานแค่ไหน

 

 

พอมีผู้บำเพ็ญมาที่เมืองลั่วมากขึ้นเข้า คนเข้าออกในตลาดมืดเองก็เยอะขึ้นไปด้วย เพื่อรองรับความต้องการซื้อที่มากขนาดนี้ หลี่อีเสี้ยวเลยจ้างให้ผู้บำเพ็ญลับขุดหลุมหลบระเบิดให้เยอะขึ้นไปอีก

 

 

หลุมหลบระเบิดแห่งนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์การก่อสร้างที่ถูกทิ้งไว้มากมาย เนื่องจากไม่มีใครอยากจะเก็บกวาด หลี่อีเสี้ยวเลยจัดการมันเองเสียเลย…

 

 

ในการเจรจาขายครั้งนี้ หลี่ว์ซู่จะได้ส่วนแบ่งเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์โดยที่หลี่อีเสี้ยวได้ไปเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ในส่วนของตลาดมืดแล้วจะกลับกัน หลี่ว์ซู่ได้ส่วนแบ่งจากกำไรในตลาดมืดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนหลี่อีเสี้ยวจะได้ไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์

 

 

หลี่อีเสี้ยวเป็นคนคุมตลาดมืด แต่ถ้าไม่มีศิลาวิญญาณจากหลี่ว์ซู่แล้ว คนก็คงไม่มาตลาดมืดเยอะขนาดนี้

 

 

ก่อนการเจรจาจะเริ่มขึ้น ตระกูลใหญ่ทั้งหลายก็ได้ส่งคนมาดูลาดเลาในตลาดมืดนี่เรียบร้อยแล้ว ส่วนหลี่ว์ซู่กับหลี่อีเสี้ยวนั้นไม่ค่อยสนใจในเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ คนจากตระกูลใหญ่ส่งคนมาเพื่อดูว่าตลาดมืดนี่จะรองรับคนได้กี่คน และมาสำรวจดูด้วยว่าของหายากจะโผล่มาลงที่ตลาดมืดบ่อยแค่ไหนเพื่อจะได้เอาไปพิจารณาว่าพวกเขาควรลงทุนที่นี่หรือไม่

 

 

ซึ่งผลออกมาก็คือคุ้มค่ามาก!

 

 

พวกตระกูลใหญ่รู้ว่าผู้บำเพ็ญลับทั้งหลายมาที่นี่ก็เพราะตระกูลใหญ่ๆ มารวมตัวกัน แต่สภาพการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณในเมืองลั่วนั้นเหมาะกับพวกเขา ถึงพวกเขาจะออกไปจากที่นี่แล้ว วิทยาลัยลั่วเฉิงก็ยังคงจะตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ต่อไป

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset