A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1847 หลุมยักษ์และการส่งตัว

ชั้นที่สองย่อมอันตรายกว่าชั้นแรกเป็นอย่างมาก แต่ในสายตาของหานลี่และพวกก็ยังคงไม่มีค่าอันใด

พวกเขาตรวจสอบแผนที่ หลังจากมั่นใจตำแหน่งของตนเองแล้วก็เดินทางไปทางทิศตะวันออก

การเดินทางนี้ใช้เวลาสามวันสามคืน หานลี่และพวกไม่เพียงสังหารปีศาจระดับกลางไประหว่างทาง ยังต้องพบกับผู้คุ้มกันสองสามกลุ่ม

พลังยุทธ์ของคนเหล่านี้ต่ำที่สุดก็ระดับเทพแปลง ผู้นำคือสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์

จากฐานะอาวุโสใหญ่ของเผ่าวิหคสวรรค์ของจินเย่ว์ ผู้คุ้มกันเหล่านี้ย่อมไม่มาหาเรื่องอันใด ส่วนใหญ่แค่ซักถาม แล้วก็ปล่อยให้พวกเขาจากไปอย่างปลอดภัย

ทว่าสถานการณ์นี้จินเย่ว์กลับอดที่จะมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่ได้

เพื่อจับคนคนเดียว คาดไม่ถึงว่าจะต้องใช้คนจำนวนมากเพียงนี้ เรื่องนี้ดูเหมือนจะมีกลิ่นประหลาดๆ

หรือว่าเรื่องที่เหมืองแร่ถูกขโมย จะยังมีความลับอันใดอยู่

จินเย่ว์ดูแลเผ่าวิหคสวรรค์มาหลายปี ย่อมมีแผนการในใจที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะค่อยๆ เกิดความสงสัย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้คุ้มกันกลับไม่เผยสีหน้าประหลาดใจใดๆ ออกมา

ดังนั้นทั้งสามคนจึงมาถึงทางเข้าของชั้นที่สามอย่างราบรื่น เป็นแม่น้ำใต้ดินที่ลึกลับแห่งหนึ่ง

ไล่ไปตามสายน้ำ หลังจากที่หมอกสีดำปลิวไหวไปสองสามชั่วยาม หานลี่และพวกทั้งสามก็มาถึงชั้นที่สามของหุบเหวลึก!

……

สามวันต่อมาหานลี่และพวกทั้งสามก็กำลังบินอยู่บนที่ร้างรกร้างที่มีแต่กองหินระเกะระกะ ฉับพลันนั้นก็สัมผัสได้ว่าไกลออกไปมีไอวิญญาณฟ้าดินวนเวียนอยู่ จากนั้นลำแสงสีเงินสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบที่ปลายฟ้า

เสียงอึกทึกดังขึ้น แผ่นดินทั้งหมดสั่นเทาไม่หยุด

หานลี่และจินเย่ว์หน้าเปลี่ยนสี อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้

“สหายจิน ดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ พวกเราไปดูได้หรือไม่?” หานลี่ลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม

“สถานการณ์รุนแรงเช่นนี้ หากผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ในละแวกเห็นว่าเราไม่ไป จะเห็นได้ชัดว่าพวกเราใจฝ่อเกินไป เกรงว่าคงไม่เหมาะสม” จินเย่ว์แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ไปดูสักหน่อยเถิด” แม้ว่าหานลี่จะไม่คิดมาก แต่ก็รู้ว่าสตรีผู้นี้กำลังกังวล จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยสนับสนุน

ส่วนเหลยหลันก็ไม่มีข้อคิดเห็นอื่น

ดังนั้นทั้งสามจึงเปลี่ยนทิศทาง ตรงไปทางจุดที่มีลำแสงอัสนีสีเงินขาวเปล่งแสงสว่างวาบเมื่อครู่

หลังจากที่พวกเขาบินมาได้หมื่นกว่าลี้ในรวดเดียว ในที่สุดก็หยุดลำแสงหลีกหนีลงบนเนินสูงแห่งหนึ่ง

ทั้งสามมองปรากฏการณ์ด้านล่าง ล้วนมีสีหน้าแปลกประหลาดใจไปเล็กน้อย

กองหินด้านล่าง มีหลุมยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางยี่สิบสามสิบจั้งปรากฏขึ้นตรงนั้น

รอบๆ หลุมเป็นสีดำเกรียม ส่งกลิ่นไหม้เกรียมโชยมา ราวกับว่าถูกสายฟ้าโจมตีก็ไม่ปาน

ฉับพลันนั้นหานลี่พลันยกมือขึ้น ตะปบไปทางขอบของหลุมยักษ์

เสียง “สวบ” ดังขึ้น ของสิ่งหนึ่งบินออกมาจากซากหินหลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็ร่อนลงมาในมือของหานลี่

คาดไม่ถึงว่าจะใบมีดสั้นสีฟ้าที่ชำรุดไปกว่าครึ่ง แม้ว่าผิวจะมีรอยแตก เปล่งแสงเย็นยะเยียบเรืองๆ แค่มองก็รู้ว่าเดิมคงจะเป็นสมบัติอาคมที่อานุภาพไม่น้อยเลย

“ดูแล้ว คนอื่นคงถูกอัสนีสวรรค์สายนั้นสังหารจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว แม้แต่สมบัติอาคมประจำกายก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ทว่าหากเป็นอัสนีที่แค่โจมตีก็สามารถสังหารสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาและเทพแปลงได้ อานุภาพของมัน ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ สหายหาน ท่านคิดว่าอย่างไร?”  จินเย่ว์มองเห็นทุกอย่างก็เอ่ยถามขึ้น

“ความรุนแรงของอัสนีสวรรค์เมื่อครู่ พวกเราอยู่ไกลขนาดนั้นยังสัมผัสได้ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ลงมือน่าจะเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านสายฟ้า และสมบัติอาคมชิ้นนี้ก็มีจิตสังหารอยู่ หลังจากที่เจ้านายเพลี่ยงพล้ำไปก็ยังไม่สลายหายไป น่าจะเป็นผู้คุ้มกันเหล่านั้น” หลังจากที่หานลี่โยนมีดชำรุดในมือออกไป ก็เอ่ยอย่างมั่นใจออกมา

“ใช่แล้ว ที่นี่มีกลิ่นอายของคนที่เพลี่ยงพล้ำไปมากกว่าสามคน และผู้ที่ลงมือครั้งนี้ แปดเก้าส่วนน่าจะเป็นคนลึกลับที่ขโมยแร่ผู้นั้น” จินเย่ว์โบกมือข้างหนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็ดูดสมบัติชำรุดสองสามชิ้นออกมาจากกองหิน หลังจากพิจารณาเล็กน้อยก็เอ่ยอย่างเห็นด้วย

“คนผู้นั้นร้ายกาจนัก คาดไม่ถึงว่าจะสังหารสมาชิกผู้คุ้มกันสามคนพร้อมกัน!” เหลยหลันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง

“นั่นก็ไม่แปลก หากไม่เป็นเช่นนั้น คนผู้นั้นจะทำเรื่องที่อาจหาญเช่นนี้ได้อย่างไร จนถึงยามนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดมา ดูแล้วบริเวณนี้คงไม่มีผู้คุ้มกันอื่นแล้ว ทว่าระหว่างกลุ่มผู้คุ้มกันด้วยกันจะมีเคล็ดวิชาสัมผัสถึงกันและกันอยู่ หลังจากนี้ไม่นานน่าจะมีคนมา พวกเราไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่นาน ไปกันเถิด!” จินเย่ว์ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น

“สหายกล่าวมีเหตุผล ที่นี่อยู่ห่างจากที่พวกเราทำเครื่องหมายเอาไว้แค่ไม่กี่วัน พวกเรารีบไปกันเถิด จะได้วางใจ” หานลี่รู้สึกยินดี ทันใดนั้นก็เอ่ยสนับสนุน

เหลยหลันพลันพยักหน้าอย่างมีความคิด

ดังนั้นทั้งสามคนจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งตรงไป

หลังจากนั้นครึ่งวันถึงได้มีลำแสงหลีกหนีสิบกว่าสายบินมาจากอีกด้านพลางพุ่งมาทางหลุมยักษ์

และในยามนี้หานลี่และพวกกลับอยู่ห่างไปไกลเป็นพันหมื่นลี้แล้ว…

เจ็ดวันต่อมากลางอากาศเหนือเทือกเขาสีดำทะมึนที่ทอดยาว หานลี่ใช้มือหนึ่งถือจานทรงกลมสีขาวเอาไว้ กระบี่สีทองยี่สิบสามสิบเล่มเริงระบำรายล้อมอยู่ สับฝูงวิหคปีศาจที่ดูคล้ายกับอีกาสีดำขนาดใหญ่ที่กำลังกรูกันเข้ามาเป็นชิ้นๆ จนกลายเป็นฝนโลหิต

อีกด้านของหานลี่ตรงหน้าของจินเย่ว์มีกระจกสีทองปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ พ่นหมอกลำแสงสีทองออกมา รัดร่างของปีศาจจำนวนมากจนแหลกเป็นชิ้นๆ

ส่วนเหลยหลันผู้นี้ก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ปีกที่แผ่นหลังเปล่งแสงสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีเงินสายหนึ่งสาดซัดไม่หยุด กลายเป็นตาข่ายอัสนีขนาดเล็กห่อหุ้มร่างของตนเองเอาไว้

บางครั้งที่มีวิหคปีศาจเข้ามาชนกับตาข่ายอัสนี ก็จะเกิดเสียงฟ้าร้องแล้วกลายเป็นเถ้าถ่าน

และหลังจากที่บินไปข้างหน้าอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดวิหคปีศาจสีดำเหล่านั้นก็เบาบางลง และสุดท้ายก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาพลางแตกฮือออกไป

ทั้งสามคนเห็นเช่นนี้ ย่อมเก็บสมบัติอาคมและเคล็ดวิชาทันที พลางบินไปข้างหน้าต่อ

หนทางต่อจากนี้หานลี่กวาดตามองบนจานทรงกลมในมือเป็นบางครั้งคราว ราวกับว่าสิ่งนี้สามารถบอกตำแหน่งที่แม่นยำให้เขาได้อย่างไรอย่างนั้น

ยามนี้จานทรงกลมสีขาวในมือของหานลี่พลันส่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา จากนั้นลำแสงสีขาวพลันไหลวนโคจรไปมา คาดไม่ถึงว่าจะเข้าสู่สภาวะกระตุ้นไปตามกลไก

“ถึงแล้ว ที่นี่แหละ!” หานลี่รีบก้มหน้ามองตำแหน่งบนจานทรงกลมในมือ ทันใดนั้นก็หยุดลำแสงหลีกหนี แล้วเอ่ยด้วยความดีใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ จินเย่ว์และเหลยหลันก็หยุดลงเช่นกัน

“ที่นี่คือสถานที่ที่สหายพูดถึงหรือ ดูจะไม่ค่อยเหมือนนัก บรรยากาศที่นี่มั่นคงมาก และไม่มีร่องรอยของห้วงมิติเวลาใดๆ!” แววตาคู่งามของจินเย่ว์กวาดมองไป ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม ราวกับว่ายังมีท่าทีสงสัย

“สหายจินโปรดวางใน ในเมื่อท่านอาวุโสผู้นี้บอกว่าที่นี่ ย่อมไม่ผิดแน่” หานลี่เงยหน้าแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ

“สหายหานมั่นใจเช่นนี้ก็ดีแล้ว ในเมื่อข้าพาสหายมาที่นี่ ก็ควรจะเอาคาถาท่อนหลังออกมาได้แล้วสินะ” จินเย่ว์พยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ ผู้แซ่หานไม่มีทางกลับคำ นี่คือคาถาท่อนหลัง สหายรับไว้เถิด!” หานลี่ฉีกยิ้ม พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง คัมภีร์สีเหลืองม้วนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ และสะบัดข้อมือโยนออกไป

จินเย่ว์ดวงตาเปล่งประกาย มือเรียวคว้าเอาไว้ คัมภีร์ม้วนนั้นถูกดูดเข้ามาที่หว่างนิ้ว จากนั้นก็แตะที่หน้าผากของนางพลางตรวจสอบ

ส่วนหานลี่ก็ไม่สนใจทุกสิ่งเลยสักนิด แค่สะบัดแขนเสื้อ ธงอาคมห้าสีจำนวนห้าต้นบินออกมาวนล้อมรอบร่างหายของหานลี่เอาไว้ คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียง “ปังๆ” กลายเป็นเสาลำแสงห้าสีทั้งห้าต้น และพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

มือหนึ่งร่ายอาคม ร่ายอาคมโจมตีเสาลำแสงอย่างต่อเนื่อง ชั่วขณะนั้นเสาลำแสงเหล่านี้ก็เปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเขตอาคมลำแสงห้าสีขึ้นกลางพวกมัน และเปล่งแสงระยิบระยับ

หานลี่บริกรรมคาถา ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดบินออกมาจากแขนเสื้อ คาดไม่ถึงว่าจะมีมากกว่าร้อยก้อน และทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบจมหายเข้าไปในเขตอาคมลำแสง แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นเขาก็โยนจานทรงกลมในมือขึ้นไป ให้ลอยอยู่ตรงหน้า จากนั้นนิ้วทั้งสิบก็ร่ายไปมา ดูเหมือนว่าจะกระตุ้นอาวุธนี้อย่างช้าๆ

เหลยหลันที่อยู่ด้านข้างเห็นทุกอย่าง แต่เมื่อเห็นจานทรงกลมนั้นเริ่มเปล่งแสงเจิดจ้า ก็ค่อยๆ กลายเป็นดวงแสงสีขาว ยามนี้ทนไม่ไหวที่จะมองจินเย่ว์แวบหนึ่ง

เห็นเพียงหญิงสาวในยามนี้ แม้ว่าดวงตาทั้งสองจะปิดลงเล็กน้อย แต่ใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจ เห็นได้ว่าคาถาน่าจะเป็นความจริง

นี่จึงทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์เหลยหลันผู้นี้รู้สึกผ่อนคลายลง

ฉับพลันนั้นหานลี่ก็หัวเราะต่ำๆ ออกมา มือหนึ่งชี้ไปที่จานทรงกลม

ลำแสงสีขาวที่สร้างขึ้นพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะลอยไปที่ใจกลางของเขตอาคมห้าสีอย่างช้าๆ และเกิดเสียงอึกทึกขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวเข้ากันอย่างไม่มีรอยแยก

“สหายจินคิดว่าอาคมนี้เป็นอย่างไร มีจุดใดที่ไม่พอใจหรือไม่?” หานลี่ในยามนี้หยุดร่ายอาคม และหันหน้ามาเอ่ยกับจินเย่ว์อย่างราบเรียบ

“ไม่มี คาถาครึ่งหลังเป็นของจริง ข้าขอเป็นตัวแทนคนในเผ่าขอบคุณสหายหาน!” จินเย่ว์พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ชักจิตสัมผัสออกมาจากคาถา และเอ่ยอย่างพึงพอใจ

“หึๆ ข้าน้อยและเผ่าของท่านแค่ทำการแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น ในเมื่อสหายจินพึงพอใจ ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาแล้ว ข้าน้อยขอตัวลา” หลังจากที่หานลี่กระตุกมุมปาก ก็คารวะจินเย่ว์ขณะเอ่ย

“แม้จะเป็นข้าก็ขอให้การเดินทางของสหายหานราบรื่น!” จินเย่ว์ก็คารวะน้อยๆ แล้วฉีกยิ้มเช่นกัน

“หึๆ อาศัยคำพูดของสหาย หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง บุตรศักดิ์สิทธิ์เหลย หวังว่าเจ้าก็จะพัฒนาพลังยุทธ์ได้เข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์โดยไว!” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา แล้วกล่าวลาเหลยหลันเช่นกัน

“ขอบพระคุณคำอวยพรของท่านอาวุโสหาน ชนรุ่นหลังจะพยายามเต็มที่” เหลยหลันมีสีหน้าสลับซับซ้อนเล็กน้อยแล้วพลันคารวะพลางตอบ

“ช้าไม่ได้แล้ว ผู้แซ่หานควรไปแล้ว” หานลี่พยักหน้าให้ทั้งสองเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เคลื่อนไหวกายอย่างไม่ลังเลอีก คนก็เหยียบเข้าไปในเขตอาคมลำแสง

เสียงบริกรรมคาถาดังออกมาจากเขตอาคม

จากนั้นเขตอาคมก็ส่งเสียงอึกทึกออกมา อักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากเขตอาคมลำแสง ดวงแสงสีขาวตรงใจกลางขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า แทบจะยึดครองพื้นที่เขตอาคมทั้งหมดเอาไว้

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset