Advent of the Archmage – ตอนที่ 235: อาณาจักรวิญญาณ

อาเซเลียสามารถกลับมาที่ป้อมโครงกระดูกตอนไหนก็ได้ อุปกรณ์ระดับพระเจ้าที่เธอถือครองอยู่นั้นมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ ดังนั้นลิงค์กับพรรคพวกของเขาจึงต้องรีบหนีเข้าไปในอาณาจักรวิญญาณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

2 นาทีต่อมา พวกเขาก็หนีออกมาจากใจกลางอาณาจักรพาแลคอันโหดร้ายและหนาวเหน็บได้สำเร็จ

 

อย่างไรก็ตาม, นี่ยังห่างจากป้อมโครงกระดูกมาได้ไม่ถึงไมล์ ซึ่งระยะนี้ยังไกลไม่พอเพราะอสรพิษทมิฬสามารถระบุตำแหน่งของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย พวกเขาต้องมุ่งหน้าต่อไป

 

“เร็วเข้า! เร่งฝีเท้าเร็ว!” ลิงค์ตะโกน

 

ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าคนอื่นจะกำลังดิ้นรนอยู่ พวกเขาเดินทางได้ช้ากว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำ

 

“ลิงค์ ดูเหมือนว่าออร่าต่อสู้ของฉันจะหมดแล้วหล่ะ” แอนนี่พูดพร้อมกับขมวดคิ้ว

 

“ขาข้าไม่มีแรงเลย ไหงข้าถึงมีเรี่ยวแรงน้อยขนาดนี้เนี่ย?” เฟลิน่าพูดในขณะที่เธอเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆพร้อมกับแบกคาร์โนสไว้บนหลังของเธอ นี่คงจะเป็นงานง่ายๆถ้าอยู่ในอาณาจักรกายภาพ ยังไงก็ตาม ในอาณาจักรวิญญาณนั้น เธอรู้สึกเหนื่อยมากๆหลังจากที่แบกเขาเดินไปได้แค่นิดเดียว

 

ลิงค์มองไปทางป้อมโครงกระดูกในระหว่างที่เขาอธิบาย “การเปลี่ยนอาณาจักรนั้นเท่ากับว่าเปลี่ยนกฏและหลักการของโลกนั้นไปด้วย ในอาณาจักรวิญญาณ พลังทางกายภาพที่พวกเราใช้จะถูกระงับเอาไว้ กลับกันพลังวิญญาณที่มักจะถูกมองข้ามในอาณาจักรกายภาพนั้นจะมีผลอย่างมาก ในอาณาจักรวิญญาณ ตราบใดที่คนๆนั้นยังคงมีความเชื่อและความหวัง เขาคนนั้นก็จะได้รับพลังอันมหาศาล”

 

ทุกคนสับสนกับคำพูดของลิงค์ พวกเขาต่างก็มองหน้ากันและเห็นสีหน้าสับสนของกันและกัน

 

พวกเขาสามารถเข้าใจความหมายเป็นคำๆได้ ยังไงก็ตาม พอพวกมันมารวมกันเป็นประโยค มันดูเหมือนกับรหัสที่ไม่สามารถอ่านได้เลย นี่มันช่างน่าอับอายจริงๆ

 

พอไม่มีใครตอบกลับ เขาก็หันกลับมาเห็นสีหน้าสับสนของทุกคนและเขาก็ตบหน้าผากของตัวเองเบาๆเป็นเชิงขอโทษ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะสาธิตมันให้เห็นกับตา “ดูดีๆนะ!”

 

หลังจากนั้นพวกเขาก็เห็นกลุ่มแสงสีขาวล้อมรอบตัวลิงค์เหมือนกับโดมไฟอ่อนๆ มันไม่ใช่แสงที่จ้าอะไร แต่เป็นแสงที่อ่อนโยนและขยายลงไปจนถึงส่วนเท้าของลิงค์

 

ก่อนหน้านี้ ทุกคนนั้นยุ่งอยู่กับการหลบหนีและดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นปรากฏการณ์นี้เลย ตอนนี้พวกเขารู้สึกตัวแล้วว่าไม่ใช่แค่ลิงค์คนเดียวที่มีผ้าคลุมพิเศษรอบๆตัวเขา ทุกคนก็มีมันเหมือนกัน แต่ว่าของคนอื่นๆนั้นจะมีความสว่างเพียงแค่ครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับของลิงค์

 

หลังจากที่ลองเปรียบเทียบดู ในบรรดาพวกเขาแปดคน ลิงค์เป็นคนที่มีแสงสว่างมากที่สุด ตามมาด้วยเฟลิน่า ที่มีความสว่างของผ้าคลุมเกือบเท่าครึ่งนึงของลิงค์ ส่วนลำดับสามก็คือคาร์โนส ถึงแม้ว่าสถานการณ์ของเขาจะค่อนข้างแปลกก็ตาม

 

เขานั้นถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีเทาแทน และเมื่อสังเกตใกล้ๆจะพบว่ามีงูดำเลื้อยเข้าๆออกๆร่างกายของเขา มันดูน่าสยดสยองมากๆ

 

ลิงค์อธิบายในระหว่างที่เขาวิ่งไปข้างหน้า “ปกติสิ่งนี้ถูกเรียกว่าแสงแห่งวิญญาณ ยิ่งวิญญาณแข็งแกร่งเท่าไหร่ แสงก็จะยิ่งสว่างขึ้นเท่านั้น และนี่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยบ่งบอกความแข็งแกร่งในอาณาจักรวิญญาณ สภาพของคาร์โนส….ดูไม่ค่อยดีเลย”

 

เฟลิน่าพยักหน้าเป็นการเห็นด้วยเพราะว่าเธอได้แบกคาร์โนสตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เธอพูด “ร่างกายของเขาเย็นเหมือนน้ำแข็งเลย และข้าก็ได้ยินเสียงอันน่าสยดสยองดังออกมาจากร่างกายของเขาด้วย ข้าเกรงว่าเขาน่าจะใกล้กลายเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์แล้วหล่ะ”

 

พอได้ยินคนที่อยู่ข้างๆเขาพูด คาร์โนสก็พูดขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด เขาพูดงึมงำด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอมากๆ “ไม่ ข้ายังไหวอยู่…ข้าจะไม่มีทางให้มันกลืนกินสติของข้าได้…อ้ากกก…”

 

ถ้าเกิดว่าเขายังคงมีสติเหลืออยู่ครึ่งนึง นั่นก็หมายความว่ายังคงมีความหวังเหลืออยู่

 

ลิงค์ยื่นมือของเขาไปรับร่างอันกำยำของคาร์โนสมาจากไหล่ของเฟลิน่า และการกระทำของเขานั้นก็ดูราวกับว่าคาร์โนสตัวเบาเหมือนขนนกเลย

 

ทุกคนต่างก็ตกใจกับการกระทำนี้ ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้! ยังไงซะลิงค์ก็เป็นนักเวทย์ หลังจากที่อยู่กับเขามาตลอดทั้งภารกิจ พวกหน่วยสอดแนมก็เข้าใจในพลังและความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาดี เขาไม่น่าจะมีพลังมากพอที่จะยกคาร์โนสได้สบายๆแบบนี้อย่างแน่นอน

 

“เห็นรึยัง นี่คือพลังของวิญญาณ ฉันไม่ได้ใช้แรงเยอะเลย ฉันเพียงแค่ต้องการที่จะยกเขาขึ้น และฉันก็ทำการกระทำนั้นด้วยความเชื่อและความตั้งใจที่มากพอ ซึ่งผลก็คือ ฉันสามารถยกเขาขึ้นได้อย่างง่ายดาย ”

 

หน่วยสอดแนมยังคงสับสนกับปรากฏการณ์นี้ ในขณะที่แอนนี่กับเฟลิน่าดูเหมือนว่ากำลังคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่

 

หลังจากที่ผ่านไปซักพัก เฟลิน่าก็ลองยืดแขนไปรับตัวคาร์โนสมาจากไหล่ของลิงค์ ดูเหมือนว่าเธอจะทำมันได้อย่างสะดวกเช่นกัน จากนั้นเธอก็หัวเราะอย่างเบิกบานและพูด “ข้าเข้าใจที่เจ้าหมายถึงแล้ว นักเวทย์ เจ้านี่มันมีความรู้มากจริงๆ”

 

ลิงค์พยักหน้า “ใช่แล้ว เอาหล่ะ พวกเราต้องเร่งความเร็วขึ้นแล้ว เชื่อฉันสิ พวกนายทุกคนก็สามารถทำมันได้นะ!”

 

ทหารสอดแนมเหล่านี้เป็นทหารสอดแนมระดับสูงในอาณาจักรนอร์ตัน หลังจากที่ได้เห็นการสาธิต 2 รอบ พวกเขาก็เริ่มที่จะประสบความสำเร็จในการเคลื่อนไหวในอาณาจักรวิญญาณและก็สามารถเร่งความเร็วได้  โดยเฉพาะแอนนี่ ความเร็วของเธอในอาณาจักรวิญญาณนั้นเร็วยิ่งกว่าความเร็วสูงสุดของเธอในอาณาจักรกายภาพเสียอีก ซึ่งมันทำให้เธอสามารถไล่ตามหลังลิงค์และเฟลิน่าได้อย่างสบายๆ

 

“นี่มันสุดยอดไปเลย”

 

“น่าสนใจจริงๆ”

 

“เฮ้นักเวทย์ ถ้าเกิดว่าข้าเชื่อว่าข้าสามารถบินได้ ข้าจะสามารถบินได้จริงๆในอาณาจักรวิญญาณไหม?” เฟลิน่าถาม

 

ลิงค์ส่ายหน้าและตอบคำถาม “นั่นคงจะเป็นไปได้ยากนะ กฎฟิสิกส์ของอาณาจักรกายภาพนั้นก็ใช้ร่วมกันกับอาณาจักรวิญญาณ คุณจะสามารถบินได้ถ้าเกิดว่าคุณเชื่อมั่นมากพอ แต่มันก็จะต้องมาพร้อมกับการแลกเปลี่ยนอันมหาศาลด้วย และมันก็มีขีดจำกัดของพลังวิญญาณเช่นกัน  มาเถอะ พวกเราต้องเร่งแล้ว หัวหน้าของป้อมโครงกระดูกคงจะมาไล่จับพวกเราในไม่ช้านี้”

 

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มหนีด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม

 

หลังจากที่ผ่านไปได้ครึ่งนาที อยู่ๆทุกคนก็รู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาหนักขึ้นอย่างกะทันหัน มันเหมือนกับว่ามีใครเอาหินมาวางทับมัน จากนั้นพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นฟ้าและเห็นว่าท้องฟ้าที่เคยเป็นสีเทานั้นมีสีที่เข้มกว่าเดิม และที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือความเร็วของพวกเขานั้นตกลงอย่างมาก พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังก้าวขาอยู่ในบ่อโคลนเลย

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“มันเป็นไปได้ยังไง?”

 

“มันอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?” เฟลิน่าหันไปมองลิงค์

 

ลิงค์มีสีหน้าเข้มขรึมในขณะที่เขาหันไปมองท้องฟ้าที่อยู่เหนือป้อมโครงกระดูก คนที่เหลือหันตามทางที่เขามองและพบกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว

 

อนาคอนด้าสีดำที่มีความกว้างอย่างน้อย 15 ฟุตและยาวกว่า 600 ฟุตได้ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า มันลอยอยู่บนท้องฟ้าราวกับว่ามันไม่มีน้ำหนักเลย

 

ความเปล่งประกายในร่างกายของมันนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า จากระยะไกลๆ มันดูเหมือนกับว่าร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิงสีดำจากนรกเลย ภายใต้ผลของเปลวเพลิงนี้ ท้องฟ้าที่อยู่ในระยะ 10 ไมล์รอบๆมันได้กลายเป็นสีที่ดำยิ่งกว่าเดิม

 

มันดูเหมือนกับว่าจุดจบกำลังใกล้เข้ามาเลย!

 

ในตอนนี้ พวกเขาเพิ่งจะอยู่ห่างจากป้อมโครงกระดูกแค่ไม่กี่ไมล์เท่านั้น พวกเขายังสามารถมองเห็นการกระทำของอนาคอนด้ายักษ์ได้อย่างชัดเจน แทนที่จะไล่ตามพวกเขา อนาคอนด้ายักษ์กลับเริ่มทำการดูดกลืนในตอนที่มันอ้าปาก

 

ทันใดนั้น, พวกเขาก็เห็นวิญญาณมากมายลอยไปทางปากอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ถึงแม้ว่าวิญญาณพวกนี้จะดูสับสน แต่พวกมันก็ยังคงกรีดร้องอย่างเศร้าโศกในตอนที่พวกมันรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับพวกมัน

 

นี่เป็นเสียงกรีดร้องของวิญญาณที่สร้างความบอบช้ำให้แก่คนธรรมดาเป็นพิเศษ หน่วยสอดแนมนั้นใจสลายในทันทีที่เห็นฉากนี้ แม้กระทั่งนักรบมังกรเฟลิน่าเองก็ตัวซีดเพราะฉากอันน่าสะพรึงกลัวนี้เช่นกัน

 

แอนนี่ถามลิงค์ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ทำไมมันถึงกินวิญญาณหล่ะ?”

 

ลิงค์ส่งสัญญาณให้ทุกคนวิ่งต่อไปในระหว่างที่เขาอธิบาย “ก่อนหน้านี้ฉันได้ทำให้ผู้ถืออุปกรณ์ระดับเทพอาเซเลียบาดเจ็บ เพื่อที่จะช่วยเหลืออาเซเลีย มันจะต้องใช้พลังของตัวเองบางส่วน ซึ่งการรักษาอุปกรณ์ระดับเทพให้สามารถคงอยู่ในโลกแห่งฟิรุแมนได้นั้น มันจะต้องมีแหล่งพลังงานที่มั่นคง และวิญญาณก็เป็นแหล่งพลังงานที่เยอะและมีประสิทธิภาพที่สุดที่สามารถหาเจอได้ในโลกนี้”

 

ลิงค์ตัดสินใจที่จะเลิกปิดบังความจริงและบอกทุกอย่างที่เขารู้

 

ในตอนที่ทุกคนได้ยินคำพูดของเขา พวกเขาทุกคนถึงกับสะดุดในตอนที่พวกเขาก้าว

 

ทำไมพวกมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้? อุปกรณ์ระดับเทพเจ้า? ไม่ใช่ว่านั่นคืองูยักษ์หรอกหรอ? มันกลายเป็นอุปกรณ์ระดับเทพไปตั้งแต่เมื่อไหร่? มันมีความสัมพันธ์ยังไงกัน?

 

เฟลิน่าเองก็ตกใจเหมือนกับหน่วยสอดแนมคนอื่นๆ เธอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “อสรพิษทมิฬ…อาวุธของราชินี ลอร์ธอย่างงั้นหรอ? โอ้ เทพเจ้ามังกร โปรดให้พรแก่ข้าด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมมันถึงทำลายสมดุลของโลกได้! มันคืออุปกรณ์ของเทพแห่งความมืด พอมาคิดว่านี่ข้ากำลังต่อสู้กับอุปกรณ์ระดับเทพอยู่-ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!”

 

นี่ยิ่งทำให้พวกหน่วยสอดแนมตกใจเข้าไปใหญ่ พวกเขาคิดมาตลอดว่าคนที่อยู่ในป้อมโครงกระดูกนั้นเป็นเพียงแค่นักเวทย์ที่แข็งแกร่ง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีอุปกรณ์ระดับเทพเจ้ามาเกี่ยวข้องด้วย

 

พอคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่พวกเขาลอบเข้าไปในป้อมโครงกระดูกแล้ว ทุกคนก็ถึงกับเสียวสันหลังวาบขึ้นมาในทันที

 

“พวกเราจะทำยังไงกันต่อดี? พวกเราไม่สามารถจัดการกับอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าได้แน่ๆ พวกเราอาจจะหนีไม่ได้ด้วยซ้ำ” หน่วยสอดแนมกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังพร้อมกับมีเสียงสะอื้นในน้ำเสียงของเขา

 

ทุกคนหันไปมองลิงค์ นักเวทย์ที่เคยพาพวกเขาหนีรอดจากอันตรายมาได้นักต่อนักและดูเหมือนจะมีความรู้มากมายผู้นี้คือความหวังสุดท้ายของพวกเขา

 

ลิงค์ยังคงมีสีหน้าที่เยือกเย็นและไม่เห็นแม้แต่เศษเสี้ยวความกลัวเลย ซึ่งนี่เป็นข้อยืนยันได้อย่างชัดเจน

 

เขาพูดอย่างใจเย็น “อย่าตื่นตระหนกไป ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอุปกรณ์ระดับพระเจ้า  แต่มันก็ยังคงเป็นอาวุธที่มีข้อจำกัดอยู่ ดูที่มันตอนนี้สิ; มันดูมีชีวิตชีวาในอาณาจักรวิญญาณ กินวิญญาณเหมือนกับว่าไม่มีวันพรุ่งนี้แล้ว ความจริงแล้วมันคือภาพสะท้อนของอุปกรณ์ระดับพระเจ้าในอาณาจักรกายภาพ ดูเหมือนว่า ตอนนี้อาเซเลียกำลังใช้อาวุธดูดกลืนวิญญาณอยู่ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่สังเกตุเห็นพวกเรา”

 

อุปกรณ์ระดับพระเจ้านั้นแข็งแกร่งก็จริง ยังไงก็ตาม มันไม่ใช่สำหรับอาเซเลีย อุปกรณ์ระดับพระเจ้านั้นอาจจะมอบพลังอันมหาศาลให้แก่อาเซเลียก็จริง แต่ว่ามันไม่สามารถเพิ่มความฉลาดให้กับเธอได้  และนี่ก็คือโอกาสของลิงค์

 

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของลิงค์และมั่นใจว่าอุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้นเพียงแค่ดูดกลืนวิญญาณอยู่เฉยๆ พวกเขาก็สามารถขจัดความรู้สึกกลัวของพวกเขาได้

 

จากนั้นลิงค์ตบมือและพูดให้กำลังใจ “เถอะหน่า พวกเราเพียงแค่ต้องวิ่งไปเรื่อยๆจนกว่าจะพ้นจากอันตรายเท่านั้นเอง”

 

ไม่มีอะไรต้องพูดอีกแล้ว จากนั้นพวกเขาก็วิ่งเอาชีวิตรอดด้วยความเร็วสูงสุด

 

ลิงค์วิ่งตามหลังกลุ่มของเขา และหันไปมองข้างหลังเขาเป็นครั้งคราเพื่อที่จะดูการเคลื่อนไหวของอสรพิษทมิฬ ในตอนที่เขามอง การแจ้งเตือนภายในเกมก็ได้เด้งขึ้นมาที่หน้าอินเตอเฟสของเขา

 

เปิดใช้งานชุดภารกิจระดับอีพิค: ป้อมโครงกระดูกส่วนที่ 4

ภารกิจ: หลบหนี

รางวัล1: ค่าโอมนิ 200 แต้ม

รางวัล2: อักขระวิญญาณเลเวล-7

 

200 แต้มโอมนินั้นไม่เยอะมาก ยังไงก็ตามอักขระวิญญาณเลเวล 7 นั้นดูน่าดึงดูดมากๆ ลิงค์เคยได้รับความสะดวกสบายจากอักขระวิญญาณมาแล้วและเขาก็ไม่สามารถยอมทิ้งมันไปได้ เขารับภารกิจโดยไม่ลังเลและเริ่มวิ่งต่อ

 

หลังจากที่ผ่านไปได้ 2 นาที เขาก็สังเกตเห็นว่าอสรพิษทมิฬบนท้องฟ้าได้หยุดการกลืนกินวิญญาณแล้ว มันเริ่มมองไปรอบๆและ 10 วินาทีหลังจากนั้นมันก็จ้องเข้ามายังทิศทางที่ลิงค์อยู่

 

ลิงค์รู้สึกตื่นกลัวขึ้นมา เขาถูกจับได้แล้วงั้นหรอ? ยังไงก็ตาม มันก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อสรพิษทมิฬไม่ได้เจอเขา แต่เป็นคาร์โนสต่างหาก คาร์โนสที่ถูกปกคลุมด้วยพลังของอุปกรณ์ระดับเทพเจ้านั้น ทำให้คู่ต่อสู้สามารถหาตัวเขาได้อย่างง่ายดาย

 

พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าเกิดว่าพวกเขาไม่ปัดเป่างูพิษที่อยู่ในร่างกายของคาร์โนส กลุ่มของพวกเขาก็เหมือนกับถือคบเพลิงอยู่ท่ามกลางความมืด พวกเขาไม่มีทางหนีจากการตามล่าของอาเซเลียได้

 

ซวยแล้วไงหล่ะ!

 

ยังไงก็ตามสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็ได้เกิดขึ้น-อสรพิษทมิฬที่อยู่บนท้องฟ้าเริ่มเคลื่อนที่มาทางพวกเขา

 

เฟลิน่าเองก็รู้สึกได้ถึงการกระทำของอสรพิษทมิฬและทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องออกมา “มันมาทางพวกเราแล้ว-เร็วอะไรขนาดนี้เนี่ย! พวกเราจะทำยังไงกันดี?”

 

นี่คืออุปกรณ์ระดับเทพเจ้า พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับมันตรงๆเลย

 

ลิงค์เองก็รู้สึกถึงสิ่งนี้เช่นกัน ความจริงแล้ว เขาได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นและพูดออกมา “อย่าตระหนกไป มันยังไม่จบ พวกเราอยู่ในอาณาจักรวิญญาณ และศัตรูก็ยังไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ที่ไหน ดูมันสิ มันยังมองหาพวกเราอยู่เลย!”

 

ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมองในทันที และแน่นอนว่า อสรพิษทมิฬกำลังเลื้อยไปในอากาศโดยไม่มีทิศทางที่แน่นอน  แม้ว่ามันจะเคลื่อนที่มาถูกทาง แต่บางทีมันก็เลี้ยวผิดและไม่ได้มาทางพวกเขาตรงๆ

 

“ฟังนะ ในตอนนี้พวกเรากำลังขึ้นเหนืออยู่ พวกเราจะต้องวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ ในตอนที่พวกเราผ่านป่าแบล็คฟอเรสไปได้และไปถึงป้อมบนยอดภูเขาน้ำแข็ง พวกเราก็จะชนะการต่อสู้นี้!”

 

ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นและตามลิงค์ไป พวกเขาเดินทางขึ้นไปทางเหนือต่อ

 

ในอาณาจักรวิญญาณ พวกเขาเคลื่อนที่ได้เร็วกว่ามาก พวกเขาสามารถเคลื่อนที่ได้ 150 ฟุตต่อวินาที พอระยะห่างระหว่างพวกเขากับอสรพิษทมิฬเพิ่มขึ้น พวกเขาก็ได้ความมั่นใจกลับคืนมาและสามารถวิ่งได้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่วิ่งไปได้นานกว่าครึ่งชั่วโมง อสรพิษทมิฬก็ได้หายไปจากทัศนวิสัย

 

ลิงค์พูดเชียร์ “เห็นมั้ย อุปกรณ์ระดับพระเจ้าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดหรอก”

 

พอเห็นฉากนี้ ทุกคนก็โล่งใจและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากผ่านไปอีกชั่วโมง พวกเขาก็เคลื่อนที่ไปได้มากกว่า 100 ไมล์และเข้ามาอยู่ในป่าแบล็คฟอเรสแล้ว มีต้นไม้มากมายปรากฏขึ้นที่อาณาจักรวิญญาณและความจริงอีกอย่างก็คือไม่มีหิมะอยู่ที่พื้นเลย พื้นผิวของต้นไม้นั้นส่องแสงจางๆ มันดูแทบจะเหมือนกับของที่อาณาจักรกายภาพเลย เพียงแค่ว่ามันจางกว่าเท่านั้น

 

ทันใดนั้นเอง เฟลิน่าก็หยุดและอ้าปากค้าง “นี่มันแปลกมาก; พวกเจ้าเห็นเงาวิ่งผ่านไปรึเปล่า?”

Advent of the Archmage

Advent of the Archmage

Type: Author: , ,
เรื่องย่อ ลิงค์เป็นอาร์จเมจที่เก่งที่สุดในทุกๆเซิร์ฟเวอร์ เขาเพิ่งจะโค้นล้มบอสที่แข็งแกร่งที่สุด,เจ้าแห่งความลึก โนโซม่า ด้วยปาร์ตี้ของเขา อย่างไรก็ตาม,แทนที่เขาจะกลับไปที่เมื่อง เขากลับถูกส่งตัวไปที่พื้นที่ลับด้วยพิกเซลCG มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสูญญากาศ และภายในนั้นก็ได้มีเสียงที่ยิ่งใหญ่และมากด้วยอำนาจที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าแห่งแสงสว่างดังขึ้น “ลิงค์ เจ้าเต็มใจที่จะเป็นผู้ช่วยชีวิตที่จะดึงโลกแห่งฟิรูแมนออกจากความปั่นป่วนไหม?” ภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้มันอะไรกัน! ถ้ามันเป็นโลกจริง ลิงค์ คงจะปฏิเสธไปในทันที อย่างไรก็ตามเขาก็มีความแน่วแน่ที่จะเป็นฮีโร่ในเกมส์ “จัดไปเลย!” ลิงค์ ตอบอย่างมั่นใจ “ถ้างั้นก็ขอให้เจ้าโชคดี” และนั่นจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่เต็มไปด้วย เวทย์มนตร์,มิตรภาพ,การทรยศ,ความรัก และความสิ้นหวังของ ลิงค์ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของฟิรุแมน Link was the top Archmage in the entire server. He had just defeated the strongest boss, the Lord of The Deep, Nozama with his party. However, instead of going back to town, he was transported to a secret location with pixelated CG. It sort of felt like a vacuum, and within it came a glorious and commanding voice that calls himself the God of Light. “Link, would you be willing to be the saviour who will pull the World of Firuman out from the churning abyss?” What a huge mission! If it was in the real world, Link would have rejected it immediately. However, he was bent on being the hero in game. “Bring it on!” Link answered confidently. “Then, best of luck.” And so began Link’s journey of magic, friendship, betrayal, love and despair in the ever changing World of Firuman.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset