Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2000 คำเชิญประลองของหมีอู๋หยา

ตอนที่ 2000 คำเชิญประลองของหมีอู๋หยา
เมื่อเสวียนจิ่วอิ้นนั่งลงข้างๆ หลินสวิน สีหน้าของผู้แข็งแกร่งบางคนในที่นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ตระกูลเสวียน เผ่าจักรพรรดิโบราณที่ลึกลับตระกูลหนึ่ง บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ขุมอำนาจและผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ถึงขั้นไม่รู้ถึงการมีอยู่ของตระกูลเสวียน

มีแค่ขุมอำนาจใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่ที่รู้ดีว่ารากฐานของตระกูลเสวียนเก่าแก่เพียงใด

ตระกูลนี้ใช้คำว่า ‘เสวียน’ มาเป็นแซ่ เดิมก็เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง นัยที่แซ่นี้สื่อถึงสามารถทำให้บุคคลระดับจักรพรรดิบางคนตื่นตระหนก

ที่พำนักของตระกูลนี้ไม่มีใครล่วงรู้ ตระกูลนี้มีขุมอำนาจที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีคนพูดได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ยามที่คนในตระกูลเสวียนออกมาข้างนอก ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างหกเรือนมรรคใหญ่ก็ไม่มีทางล่วงเกินได้ง่ายๆ

เหมือนตอนที่แดนลับโลกาสวรรค์ปิดฉากก่อนหน้านี้ ยามเผชิญหน้ากับเสวียนจิ่วอิ้นที่เรียกร้องความยุติธรรมให้หลินสวิน ผู้ที่มีฐานะสูงส่งอย่างจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็ไม่กล้าลงมือรุนแรง ได้แต่กักขังเสวียนจิ่วอิ้นไว้ ไม่ให้เขาก่อความวุ่นวาย

เท่านี้ก็รู้แล้วว่าตระกูล ‘เสวียน’ นี่ไม่ธรรมดาระดับใด และเสวียนจิ่วอิ้นก็เป็นถึงทายาทของตระกูลเสวียน ย่อมไม่มีใครกล้าดูหมิ่นเป็นธรรมดา

แต่ใครต่างคาดไม่ถึง ต่อให้รู้ดีว่าหลินสวินเป็นเศษเดนของคีรีดวงกมล เสวียนจิ่วอิ้นก็ยังนั่งอยู่กับหลินสวิน!

“เจ้าไม่กังวล แต่ข้ากังวล”

หลินสวินคิดไปคิดมา ก่อนเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับการเข้าในประตูทลายออกมาทีละเรื่อง

“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม สุดท้ายจะมีแค่คนเดียวที่เข้าไปในประตูทลายได้ ถึงตอนนั้นข้าไม่อยากห้ำหั่นกับเจ้าอีก”

สายตาหลินสวินมองยังเสวียนจิ่วอิ้น ท่าทางจริงจัง

“ให้ตายเถอะ ได้แค่คนเดียวหรือ…”

เสวียนจิ่วอิ้นตกตะลึง เกาหัวแกรกๆ พลางกล่าว “ช่างทำให้คนปวดกะโหลกเสียจริง”

จากนั้นเขาก็ตบเข่าฉาด พูดพลางยิ้มระรื่น “พี่หลิน เจ้าคิดว่าจะแข่งกับคนอื่นอย่างไรก่อนเถอะ”

เขากวาดตามองทั่วลาน “เจ้าดูสิ ถ้าตัวอันตรายมากเช่นนี้ลงมือพร้อมกันต้องเปิดฉากการต่อสู้ชุลมุนแน่ แต่ขอแค่เจ้ามีโอกาสชิงแท่นมรรคนั้นได้ พวกเขาจะต้องโจมตีเจ้าพร้อมกันแน่นอน ถึงตอนนั้นสถานการณ์ที่เจ้าต้องเผชิญก็คือศัตรูรอบด้าน น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ!”

“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เจ้า ใครก็ตามที่ขึ้นไปอยู่บนแท่นมรรคนั่นย่อมต้องถูกล้อมโจมตี ดังนั้นจึงพูดว่าคิดจะเข้าไปในประตูทลายนั่นคงไม่ง่ายดายนัก”

สีหน้าหลินสวินราบเรียบไร้คลื่นลม กล่าวอย่างสบายๆ “ต้องการชิงมหาศุภโชค จำเป็นต้องแบกรับอันตรายใหญ่หลวง เดิมนี่ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้”

“ช่างเถอะ ข้าจะคอยดูเรื่องสนุกแล้วกัน”

เสวียนจิ่วอิ้นกล่าวทอดถอนใจเบาๆ “เดิมทีข้าก็ไม่สนใจมหาสมบัติแรกกำเนิดอะไรนั่นอยู่แล้ว ต่อให้แย่งมาได้ มีหรือจะกล้าแยกไปตั้งสำนักใหม่ หากเจ้าเฒ่าในตระกูลข้ารู้เข้าจะต้องฆ่าข้าตายแน่”

“การมาที่นี่ครานี้ ข้าแค่อยากลองดูว่าเขตต้องห้ามเซียนโบราณนี่เป็นแดนอันตรายแบบไหนกันแน่ ถือโอกาสเรียนรู้ฝีไม้ลายมือของคนรุ่นเดียวกันไปด้วยสักหน่อย หากต้องสู้กับพวกเจ้าจริงๆ แล้วดันตายอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็คงจบเห่แล้ว”

พูดจบก็เอนกายลงบนก้อนหินที่อยู่ข้างๆ อย่างเกียจคร้าน นั่งไขว่ห้างอย่างสบายๆ พลางกล่าว “ดังนั้นการดูเรื่องสนุกจึงดีที่สุด”

หลินสวินเหมือนคิดอะไรได้ “คงไม่ใช่ว่าไม่อยากจะฉีกหน้าข้า ดังนั้นจึงยอมแพ้ไปกระมัง”

เสวียนจิ่วอิ้นหัวเราะพรืดออกมา “พี่หลินหนอพี่หลิน ผู้ชายตระกูลเสวียนไม่เคยทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองไม่สบายใจ”

กล่าวถึงตอนท้ายปากเขาก็กล่าวพึมพำ “ยิ่งไปกว่านั้น… แค่มหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นเดียว ตระกูลเสวียนของข้าก็ใช่ว่าจะไม่มี”

น้ำเสียงสบายๆ แต่กลับเผยความโอหังโดยไม่ตั้งใจ

คราวนี้หลินสวินถึงได้รู้ว่า ที่แท้ในตระกูลของเจ้าหมอนี่ก็มีมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นหนึ่งด้วย!

ตระกูลเสวียน เป็นเผ่าจักรพรรดิโบราณแบบไหนกันแน่

เวลาล่วงเลยไปทีละน้อย

ประตูทลายที่สูงพันจั้ง ผุพังและเต็มไปด้วยหมอกควัน ภายในนั้นมีละอองแสงแห่งระเบียบมหามรรคแน่นขนัดส่องประกาย ดูประหนึ่งภาพฝันลวงตา

แต่เห็นจะมีเพียงแท่นมรรคที่ผ่านเข้าออกประตูได้ตามใจนั่นที่ยังไม่ปรากฏ

ทว่ากลับมีบุคคลแห่งยุคคนแล้วคนเล่าทยอยกันมา ทำให้บรรยากาศในที่นั้นเปลี่ยนเป็นกดดันและตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม

“พี่หลิน พลังกายของเจ้าฟื้นคืนถึงขีดสุดหรือยัง”

ทันใดนั้นพลันมีเสียงที่ราบเรียบดั่งวารีดังขึ้น ทำลายความเงียบในที่นั้น เมื่อเห็นคนพูด ทุกคนต่างเผยสีหน้าประหลาด

คนผู้นั้นร่างผอมบาง สวมเสื้อคลุมขาว ผมขาวทั้งศีรษะ นัยน์ตาที่ผ่องแผ้วดุจทะเลสาบนิ่งสงบล้ำลึก

หมีอู๋หยา!

ศิษย์แกนหลักอันดับหนึ่งของเรือนมรรคยุทธจักร ตำนานที่ครองอันดับหนึ่งของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์มาหกร้อยปี!

ผู้ที่ถูกคนมองว่าเป็นบุคคลที่ไร้คู่ต่อกรอย่างแท้จริงในระดับมกุฎราชันอริยะ!

ตรงหน้าประตูทลายนี้ หากพูดถึงคนที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่สุด ย่อมเป็นหมีอู๋หยาโดยไม่ต้องสงสัย

เขาเอ่ยปากเวลานี้เพื่อการใด

ทุกคนล้วนใคร่รู้

มีเพียงผู้สืบทอดของเรือนมรรคยุทธจักรพวกนั้นที่รู้อยู่แก่ใจ

ในใจหมีอู๋หยามองหลินสวินนี่เป็น ‘ผู้ร่วมวิถี’ นานแล้ว เคยทอดถอนใจว่า ‘มรรคข้าไม่เดียวดาย ข้ามีคู่ต่อสู้แล้ว’

ด้วยเหตุนี้หมีอู๋หยาจึงปล่อยโอกาสที่จะไล่ล่าหลินสวินไปครั้งหนึ่ง บอกว่ายอมไม่แย่งชิงศุภโชคของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ ปรารถนาแค่จะประลองกับหลินสวินอย่างยุติธรรมสักครั้ง!

นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้สืบทอดของเรือนมรรคยุทธจักรพวกนั้นเห็นศิษย์พี่หมีอู๋หยาที่ประหนึ่งกระสาป่าในพยับเมฆ ไม่สนใจเรื่องทางโลกเรื่อยมา ให้ความสำคัญกับคนผู้หนึ่งเช่นนี้

หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิกับพื้นลืมตาขึ้น มองหมีอู๋หยาที่อยู่ห่างออกไปก่อนกล่าวเรียบๆ “ฟื้นตัวกลับมานานแล้ว ไม่ทราบว่าพี่หมีมีเรื่องใดชี้แนะ”

หมีอู๋หยากล่าวอย่างสบายๆ “ไม่ถึงขั้นชี้แนะ แค่อยากถือโอกาสนี้มาสู้ตัดสินกับเจ้าสักครั้ง”

ตูม!

เมื่อเอ่ยปากออกมาก็ม้วนกลืนทั้งที่นั้นเหมือนพายุ ทำให้ทุกคนแตกตื่น สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

หมีอู๋หยา!

ราชันในตำนานที่เปล่งประกายบนฟ้าดาราคนหนึ่ง เวลานี้กลับส่งคำเชิญประลองด้วยตัวเอง!

น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว นี่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ถึงอย่างไรด้วยฐานะและชื่อเสียงของหมีอู๋หยาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

ด้วยในใจทุกคนเห็นว่า ต่อให้หลินสวินเย้ยฟ้าและแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางไปเทียบกับหมีอู๋หยาได้ และไม่อาจยกขึ้นมาเทียบชั้น!

“อ้อ เจ้ามีจุดประสงค์ใดกันแน่”

หลินสวินยังนั่งอยู่กับพื้น ท่าทางไม่สะทกสะท้าน

หมีอู๋หยาคิดไปคิดมาแล้วกล่าว “หนึ่งไม่แสวงชื่อ สองไม่หาผลประโยชน์ ก็แค่เจอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสี จึงอยากพ่ายแพ้สักครา”

“แค่นี้หรือ”

หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว

“มีเพียงเท่านี้”

หมีอู๋หยาสีหน้าราบเรียบ ดวงตาจ้องมองหลินสวิน “ข้าอยู่ในขอบเขตที่ไร้คู่ต่อกรนี้มานานเกินไปแล้ว เดิมคิดว่าก่อนทะลวงปราณคงไม่มีคนที่พอจะประลองได้อีก ไม่คิดเลยว่าหลังจากได้เจอพี่หลิน จิตต่อสู้ที่เงียบไปนานแล้วในใจข้าจะตื่นขึ้นอีกครั้ง”

ทุกคนมองหน้ากันไปมา ในใจไม่อาจนิ่งสงบ

พวกเขาเพิ่งรู้ว่าที่แท้ในใจของหมีอู๋หยา ก็ยอมรับหลินสวินเป็นคู่ต่อสู้ที่สามารถประลองด้วยไดเแล้ว!

หากกระจายออกไป ทั่วทางเดินโบราณฟ้าดาราคงโกลาหลไปด้วยแน่!

หลินสวินยืนขึ้น ปัดเสื้อผ้าเล็กน้อยแล้วยิ้มกล่าว “หากข้าคนแซ่หลินปฏิเสธอีก เกรงว่าคงถูกคนมองว่าหวาดกลัว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สู้กันหน่อยจะเป็นไร”

“ศิษย์พี่หมี เปิดศึกตอนนี้คงไม่เหมาะอยู่บ้าง” ผู้สืบทอดของเรือนมรรคยุทธจักรคนหนึ่งรีบกล่าวเตือน

เหมือนการต่อสู้ของหลินสวินและจือไป๋ก่อนหน้านี้ จือไป๋แพ้แล้วก็ต้องออกจากที่นี่ไปอย่างเงียบเชียบ แต่แม้ว่าหลินสวินจะชนะ พลังกายของเขาก็ผลาญไปค่อนข้างมากเช่นกัน

ตามเหตุผลแล้วการประลองนี้ของหมีอู๋หยากับหลินสวิน ต่อให้ไม่พูดถึงผลแพ้ชนะ หากแท่นมรรคนั้นปรากฏในช่วงที่ต่อสู้กัน สำหรับทั้งสองคนคงเสียเปรียบไม่น้อยแน่!

“การต่อสู้ของพวกเราใกล้จะเริ่ม มีหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้”

หมีอู๋หยากล่าวเรียบๆ ไม่สะทกสะท้าน

บุคคลแห่งยุคอย่างเขา ทันทีที่ตัดสินใจ เจตจำนงย่อมไม่สั่นคลอนเหมือนคนทั่วไป

ทุกคนที่อยู่ใกล้ต่างตื่นเต้นอยู่ในใจ

การต่อสู้นี้แม้ยังไม่ได้เริ่ม แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่านี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่สามารถสะท้านฟ้าดาราได้แน่ ยากจะพบเห็นในรอบพันหมื่นปี!

แน่นอนว่าหลังจากศึกนี้ คนที่แพ้ต้องบาดเจ็บสาหัส ส่วนคนที่ชนะก็ย่อมใช้พลังกายไปมากเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สำหรับผู้ชมอย่างพวกเขาคือเรื่องดีอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย!

ถึงอย่างไรหมีอู๋หยาและหลินสวินก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เป็นภัยคุกคามต่อคนอื่นมากเกินไป

หมีอู๋หยาก้าวออกมา กลิ่นอายไม่ลึกลับซับซ้อน แต่กลับดึงดูดสายตาของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

“พี่หลิน เชิญ”

เขาผายมือเชิญ

ของวิเศษย่อมเร้นลับ คนก็เช่นกัน เมื่อชะล้างสิ้นทุกสิ่ง มากด้วยประสบการณ์ ก็จะมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของการกลับคืนสู่สามัญ

หมีอู๋หยาในตอนนี้เหมือนยืนง่ายๆ อยู่อย่างนั้น แต่ในสายตาหลินสวินกลับแฝงความรู้สึกว่าสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่ ไม่เปิดช่องให้จู่โจม

“เอาเถอะ วันนี้ข้าคนแซ่หลินจะเผยร่างเดิมเป็นการให้เกียรติ”

หลินสวินก้าวออกไปก้าวหนึ่ง

ร่างพลันเปลี่ยนเป็นร่างเดิมทันที ผมดำแผ่สยาย บุคลิกนิ่งสงบยากจับต้อง เทียบกับกายมรรคทองขาวแล้วดูเฉียบคมน้อยกว่า แต่มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ละโลกีย์ไร้มลทินมากขึ้น

ทุกคนต่างหันมามอง ในใจสะท้านไหว

สิ่งที่เจ้าหมอนี่ใช้ก่อนหน้านี้เป็นแค่ร่างแยกร่างหนึ่งหรือ ทั้งยังเอาชนะจือไป๋ได้ด้วย?

นี่จะทำให้คนใจสั่นเกินไปแล้ว!

ร่างแยกยังแข็งแกร่งเช่นนั้น ร่างเดิมของเขาจะทรงพลังระดับใด

กลับเห็นนัยน์ตาของหมีอู๋หยาฉายประกายเจิดจ้าวูบหนึ่ง “พี่หลินนี่เหนือความคาดหมายจริงๆ การประลองนี้… ต้องน่าสนใจมากแน่!”

หลินสวินสัมผัสพลังของร่างเดิม ประหนึ่งกลับคืนสู่ต้นกำเนิด ยามนี้สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรอบตัวล้วนขานรับราวกับโห่ร้องยินดี

นัยน์ตาดำของหลินสวินดูล้ำลึกพลางกล่าว “ขอถามแค่ประโยคเดียว ตัดสินเป็นตายหรือไม่”

หมีอู๋หยากล่าวเนิบช้า “สู้ให้สุดกำลัง ไม่สนเป็นตาย”

“ได้”

หลินสวินพยักหน้า

เวลานี้บรรยากาศในที่นั้นหนาวเหน็บและตึงเครียดถึงขีดสุด กลิ่นอายการคุมเชิงที่น่าหวาดกลัวไร้รูปแผ่อวลออกมา

หลายคนต่างหน้าเปลี่ยนสี อกสั่นขวัญแขวน พากันถอยร่น ห่วงว่าจะถูกลูกหลง

วู้ม!

ทว่าในตอนนี้เอง เสียงกัมปนาทที่แปลกประหลาดพลันดังก้องมาจากประตูทลายนั้น ก็เห็นแท่นมรรคปรากฏ พุ่งออกมาจากละอองแสงระเบียบมหามรรคแน่นขนัดและส่องประกายนั่น

แท่นมรรคนี้สูงไม่เกินสามฉื่อ ลักษณะคล้ายดอกบัว ดูเก่าแก่ลายพร้อยเปี่ยมกลิ่นอายแห่งกาลเวลา ทันทีที่ปรากฏตัวในฟ้าดินแห่งนี้ ก็ปลดปล่อยกลิ่นอายไพศาลที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตออกมาทันที บีบกดจนห้วงอากาศสั่นครืน เหมือนกำลังยอมจำนน

ทุกคนต่างอึ้งไป

ใครก็คิดไม่ถึงว่าขณะที่หมีอู๋หยาใกล้จะเปิดศึกกับหลินสวิน แท่นมรรคที่พวกเขาเฝ้ารออย่างลำบากมาแสนนานนี้ดันปรากฏขึ้น!

จากนั้นทุกคนพลันแตกตื่น ผู้แข็งแกร่งแต่ละคนต่างขับเคลื่อนพลังดังกึกก้อง จิตต่อสู้ทะลุเมฆ แต่ละคนล้วนเตรียมพร้อมรับมือทุกเมื่อ

“ให้ตายเถอะ มาได้จังหวะจริงๆ…”

เสวียนจิ่วอิ้นพึมพำกับตัวเอง

หมีอู๋หยาสายตาวูบไหว สุดท้ายก็ทอดถอนใจ “การต่อสู้ชุลมุนใกล้มาเยือน สู้กันตอนนี้คงไม่เหมาะ พี่หลิน เจ้าว่าอย่างไร”

แววตาหลินสวินล้ำลึก มองแท่นมรรคที่พุ่งออกมาจากประตูทลายนั่นแล้วกล่าวง่ายๆ “มิสู้เจ้ากับข้าประชันสูงต่ำในการต่อสู้ชุลมุนนี้เลยเป็นอย่างไร”

……………………………..

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset